เสี่ยวม่านเดินไปรอบ ๆ ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์พักใหญ่เพื่อสังเกตการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์ของมันก่อนกลับมาหยุดข้างฉินอวี้โม่เช่นเดิม
“นายหญิง ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ถูกกัดกร่อนโดยพลังความมืดและตอนนี้มันแทรกซึมเข้าไปถึงรากแล้ว ถ้าอยากฟื้นฟูให้มันกลับคืนสภาพเดิมและไม่เหี่ยวเฉาอีกต่อไป มันก็ไม่มีทางอื่นนอกจากตามหาต้นโพธิ์หรือบุปผาแห่งแสงให้ได้”
มันส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ต่อให้เป็นอสูรพฤกษาระดับสูงอย่างพลับพลึงแดง มันก็ไม่สามารถลบล้างพลังความมืดที่มาจากบุปผาแห่งความมืดได้เลย
“คนพวกนั้นทำให้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
ขณะมองตรงไปยังต้นเอลฟ์ที่มีสภาพเสื่อมโทรมตรงหน้า หลัวจื้อเลี่ยก็เป็นกังวลขึ้นมาและนึกโทษตัวเอง หากมิใช่เพราะเขาทราบเรื่องนี้ในเวลาที่สายเกินไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเลวร้ายเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“จากการสังเกตการณ์ของข้า คนพวกนั้นคงจะนำรากของบุปผาแห่งความมืดไปกลั่นเป็นน้ำยาพลังมืดก่อนเทลงบนต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้ต้นไม้นี้แข็งแกร่งมากพอที่จะต้านทานสิ่งแปลกปลอมแทบทุกอย่าง ทว่าพลังความมืดนี้ก็น่าสะพรึงกลัวเกินไป นั่นคือสาเหตุที่มันตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี้”
เสี่ยวม่านกล่าวข้อสรุปจากการสังเกตการณ์ของตนและรู้สึกหวาดหวั่นต่อบุปผาแห่งความมืดอย่างยิ่ง หากต้องเผชิญหน้ากับบุปผาแห่งความมืดในตอนที่ทรงพลังที่สุด แม้แต่มันก็มิอาจที่จะขัดขืนอะไรได้เลย
“เราเหลือเวลาอีกมากเพียงใด ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถามอย่างใจเย็น นับตั้งแต่ทราบแน่ชัดว่าต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกกัดกร่อนโดยพลังความมืด นางก็เตรียมความพร้อมไว้แล้ว บัดนี้นางจึงต้องการทราบว่าต้นเอลฟ์นี้จะยื้อเวลาชีวิตของมันได้อีกนานเพียงใด
“นายหญิง ข้าสามารถใช้พลังงานบางส่วนเพื่อยับยั้งพลังความมืดในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ชั่วคราวและทำให้มันคงอยู่ในสภาพนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อย่างมากมันก็ยืดเวลาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ท่านจะต้องตามหาต้นโพธิ์หรือบุปผาแห่งแสงให้ได้โดยเร็ว มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดช่วยต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ !”
หลังจากกล่าวจบ เสี่ยวม่านก็กลายร่างเป็นพลับพลึงแดงขนาดใหญ่ซึ่งแผ่กลิ่นอายสีแดงประหลาดไปรอบ ๆ และหลั่งไหลเข้าไปในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยต้านทานพลังความมืดภายในต้นของมัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวม่านเปิดเผยรูปร่างที่แท้จริงของตนเองจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้
ร่างของพลับพลึงแดงเป็นบุปผางดงามที่มีกลิ่นอายประหลาดสีแดงและมีดอกสีดำ เมื่อมันเปลี่ยนกลายเป็นร่างนี้ มันก็แผ่กลิ่นประหลาดอบอวลออกไปทันที หากจอมยุทธ์ระดับต่ำผู้ใดได้กลิ่นมัน พวกเขาเหล่านั้นก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเสี่ยวม่านและกลายเป็นหุ่นเชิดของมันไปโดยปริยาย
แม้แต่สั่วซีหย่าและหลัวหมิงฮ่าวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นดังกล่าวขณะที่สติรับรู้ของพวกเขาเริ่มเลื่อนลอยอย่างไม่ทันตั้งตัว
เวลาหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่เสี่ยวม่านจะกลับคืนร่างมนุษย์เช่นเดิม ทว่าในเวลานี้มันมีใบหน้าซีดเผือดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามันใช้พลังงานในร่างกายไปมากทีเดียว
“นายหญิง ข้าคงต้องขอตัวไปพักฟื้นสักระยะหนึ่ง ข้าขอฝากท่านจัดการที่เหลือ”
หลังจากกล่าวทิ้งท้ายกับฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้าเหยเก เสี่ยวม่านก็กลับเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวโดยทันที ครานี้ต้องยอมรับว่ามันใช้พลังงานไปมากทีเดียวและยากที่มันจะฟื้นฟูกลับสู่ความแข็งแกร่งเดิมหากไม่พักนานกว่าสิบวัน
ฉินอวี้โม่กำชับให้เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ช่วยกันดูแลเสี่ยวม่านก่อนหันกลับไปจดจ่อกับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าอีกครา
พลังของพลับพลึงแดงช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตบางส่วนให้กับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ กิ่งก้านและใบไม้ที่เคยเปลี่ยนสีแซมเหลืองก่อนหน้านี้กลับคืนเป็นสีเขียวมากขึ้นและกิ่งก้านที่เหี่ยวแห้งเปราะบางก็ดูจะแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวามากขึ้น
สภาวะพลังฟ้าดินโดยรอบก็เข้มข้นหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก และพลังของเอลฟ์ภายในร่างกายของสั่วซีหย่าและหลัวจื้อเลี่ยก็เหมือนจะฟื้นฟูกลับคืนมาบางส่วนเช่นเดียวกับชาวเอลฟ์ที่เหลือเช่นกัน
“ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองมาก”
หลัวจื้อเลี่ยมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยแววตาที่ซาบซึ้งใจ หากมิใช่เพราะความช่วยเหลือของคนทั้งสอง ครานี้ชาวเอลฟ์ทั้งชนเผ่าก็คงไม่มีความหวังใด ๆ
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ สิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือการตามหาต้นโพธิ์หรือบุปผาแห่งแสงให้พบโดยเร็ว มิฉะนั้น หากล่วงเลยเกินเวลาหนึ่งเดือน ชนเผ่าเอลฟ์คงจะล่มสลายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ พวกนางเพียงทำในสิ่งที่จำเป็น การช่วยชาวเอลฟ์ก็หมายถึงการช่วยแก้ปัญหาของพวกนางไปในตัวและหลัวจื้อเลี่ยไม่จำเป็นต้องขอบคุณในการกระทำดังกล่าว
“ต้นโพธิ์และบุปผาแห่งแสงจัดเป็นตัวตนในระดับสูงสุดภายในตระกูลพฤกษา หากต้องการตามหาร่องรอยเบาะแสของพวกมัน มันคงจะมิใช่เรื่องง่ายนัก”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวอย่างจนปัญญา แม้ทราบดีว่าในเมื่อบุปผาแห่งความมืดปรากฏขึ้นแล้ว ต้นโพธิ์และบุปผาแห่งแสงก็ต้องปรากฏขึ้นแล้วเช่นกัน เพียงแต่หากต้องการตามหาสองสิ่งนั้นให้พบก็ยังต้องพึ่งพาโชคดวงอีกด้วย สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างไปจากการงมเข็มในมหาสมุทร
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าใจความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังจำคำพูดย้ำเตือนที่ได้รับก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดีและรู้สึกมั่นใจอยู่ภายในใจลึก ๆ
“หากข้าคิดไม่ผิด ต้นโพธิ์น่าจะอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ของพวกท่าน เวลาหนึ่งเดือนถือว่าไม่น้อยจนเกินไป สำหรับเรื่องที่เราจะหามันจากที่ใดนั้น เราคงต้องพึ่งพาความสามารถและอิทธิพลของท่านลุง…”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับหลัวจื้อเลี่ยและบอกกล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทราบมาก่อนหน้านี้
ร่องรอยความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวจื้อเลี่ยทันทีที่ได้ยินว่าต้นโพธิ์อยู่ที่ใดสักแห่งภายในชนเผ่าเอลฟ์แห่งนี้ หากเป็นเช่นนี้จริง โอกาสช่วยต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็เพิ่มขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม เขาอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์มานานนับพันปีและไม่เคยพบว่าที่ใดประหลาดหรือผิดสังเกตแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับเบาะแสของต้นโพธิ์ ต่อให้ต้นโพธิ์อยู่ในชนเผ่าเอลฟ์จริง การตามหามันก็คงยากกว่าที่คิด
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีประกายของความหวังแม้เพียงริบหรี่ เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ ตราบใดที่เขายังอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ หลัวจื้อเลี่ยเชื่อมั่นว่าจะสืบหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์และตามหามันจนพบได้อย่างแน่นอน
“สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ เกรงว่าฝ่ายของศัตรูก็คงจะรู้สึกได้ ท่านควรเตรียมพร้อมเพื่อมิให้คนเหล่านั้นกระทำสิ่งใดบุ่มบ่ามระหว่างนี้ การอยู่รอดของชนเผ่าเอลฟ์จะได้รับการตัดสินที่แน่ชัดภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้”
ฉินอวี้โม่ก็ยังกล่าวเตือนหลัวจื้อเลี่ยและหลัวหมิงฮ่าวอีกว่านอกเหนือจากวิกฤตของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีวิกฤตของตระกูลราชวงศ์เอลฟ์อยู่ ทุกวันนี้องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลายต่างก็หมายปองตำแหน่งผู้ปกครองเอลฟ์ หลัวหมิงรุ่ยก็แอบร่วมมือกับตู้ซีรั่วมานานแล้วและสมคบคิดกับฝ่ายมาร หากค้นพบความเปลี่ยนแปลงของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่อาจรับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะหาทางทำสิ่งใดหรือไม่
“ไม่ต้องห่วง การที่มีข้าอยู่ หลังจากนี้สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์จะสงบลงมาก”
หลัวจื้อเลี่ยพยักศีรษะและกล่าวอย่างมั่นใจ เห็นทีเขาคงต้องมุ่งหน้าไปที่พระราชวังเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยสักหน่อย
“อวี้โม่ โม่ฉือ เจ้าทั้งสองไปที่เมืองราชวงศ์กับข้าเถอะ ตอนนี้น้องสาวของข้าก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา บางทีเจ้าทั้งสองอาจตรวจพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับอาการของนาง”
หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยเชิญชวนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างไม่ลังเล
หลัวจื๋อยินยังคงหลับใหลไม่ได้สติเช่นเดิมและเกรงว่าอาการของนางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายมาร ทว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็คาดเดาบางอย่างไว้แล้ว มันอาจเป็นเพราะทักษะสาปวิญญาณที่ทำให้นางตกอยู่ในอาการเช่นนั้น หากยืนยันได้ว่าเป็นเพราะศาสตร์ชั่วร้ายดังกล่าวจริง การปลุกราชินีเอลฟ์ให้ฟื้นขึ้นมาคงยากพอสมควร
“เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงทันที เดิมทีพวกนางวางแผนที่จะหาทางเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของหลัวจื๋อยินอยู่แล้ว ทว่าด้วยการเดินทางไปพร้อมกับหลัวจื้อเลี่ย การมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองราชวงศ์เพื่อไปพบหลัวจื๋อยินคงจะราบรื่นง่ายดายกว่ามาก
“เสี่ยวฮ่าว เจ้ากลับไปที่อาณาเขตของเจ้าก่อนเถอะ ช่วงนี้เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เผ่าของเจ้าจะเป็นผู้ช่วยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเรา”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวบอกหลัวหมิงฮ่าวให้เขาแยกตัวกลับไปจัดการเตรียมความพร้อมที่เผ่าอู๋เหวยก่อน หากเกิดสงครามภายในขึ้นมาในชนเผ่าเอลฟ์จริง เผ่าอู๋เหวยซึ่งเงียบสงบมาเสมอจะเป็นส่วนสำคัญในฝ่ายของพวกเขาอย่างแน่นอน
หลัวหมิงฮ่าวพยักศีรษะตอบรับแต่โดยดี ทว่าก่อนจากไป เขาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายด้วยการบอกให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือระวังตัวอยู่เสมอ หลังจากใช้เวลาคลุกคลีอยู่ด้วยกันมานาน พวกเขาทั้งหมดก็กลายเป็นสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันแล้ว
ขณะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ออกจากภูเขาเอลฟ์และมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองราชวงศ์ บรรยากาศของชนเผ่าเอลฟ์ในหลายพื้นที่ก็แตกต่างไปจากเดิมมาก
ภายในเมืองราชวงศ์ ใบหน้าของหลัวหมิงรุ่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเอลฟ์ในร่างกายของตนที่เพิ่มขึ้นมา เขาทราบดีว่าในเวลานี้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์กำลังถูกกัดกร่อนจนพลังเอลฟ์ค่อย ๆ จางหายไป แล้วเหตุใดจู่ ๆ พลังเอลฟ์เหล่านั้นจึงฟื้นฟูกลับขึ้นมาบางส่วนจนแทบจะฟื้นกลับคืนจุดสมบูรณ์เช่นนี้ ?
หลัวหมิงซีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ระหว่างช่วงที่ผ่านมานี้ หลัวหมิงรุ่ยไม่นึกสงสัยในตัวเขาเลยสักนิด แม้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปิดบังต่อน้องชายผู้นี้ ทว่าก็มีข้อมูลบางอย่างที่เขาหลุดปากเปิดเผยออกมา
“น้องสี่ เจ้ารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่นี้รึไม่ ?”
หลัวหมิงรุ่ยมองน้องชายและเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าพลังเอลฟ์ที่สูญหายไปก่อนหน้านี้จะฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง”
หลัวหมิงซีไม่ปิดบังและกล่าวแสดงถึงความรู้สึกของตน
“ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ของเราตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากและพลังเอลฟ์ภายในร่างกายของเราก็ไม่มีทางฟื้นฟูขึ้นมาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ส่งคนไปคุ้มกันที่นั่นอยู่ตลอดเวลาและไม่อนุญาตให้ใครย่างกรายเข้าไป ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าคงจะมีใครบางคนที่เข้าไปในภูเขาเอลฟ์และทำบางอย่างกับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่”
หลัวหมิงรุ่ยหาใช่คนโง่เขลาและเขาวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็วโดยคิดว่าคงจะมีใครบางคนเข้าไปที่ภูเขาเอลฟ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์
“พี่ใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าไปในภูเขาเอลฟ์ได้ การที่ผู้พิทักษ์เหล่านั้นกล้าขัดคำสั่งของท่านและปล่อยใครสักคนเข้าไป เราก็สามารถจินตนาการได้ถึงสถานะของคนผู้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลที่เข้าไปในภูเขาเอลฟ์จะต้องเป็นท่านลุงของเราอย่างแน่นอน”
หลัวหมิงซีทราบข่าวจากฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้แล้วและไม่แปลกใจแต่อย่างใด การที่เขากล่าวออกไปเช่นนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขาซึ่งทำให้องค์ชายใหญ่เชื่อใจเขามากยิ่งขึ้น
“เหอะ เจ้าแก่หนังเหนียวนั่น !”
เมื่อนึกถึงหลัวจื้อเลี่ย หลัวหมิงรุ่ยก็แค่นเสียงเย็นชาทันทีและจิตสังหารปรากฏในแววตา ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาได้รับข่าวว่าความแข็งแกร่งของหลัวจื้อเลี่ยผู้เป็นลุงฟื้นฟูขึ้นมาแล้วและตัดสินใจยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในชนเผ่าเอลฟ์ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาจำต้องเลื่อนแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ออกไปก่อน
“ไปเรียกท่านหยางมาที่นี่ ข้าอยากจะถามอะไรเขาสักหน่อย”
หลัวหมิงลุ่ยไม่รอช้าขณะเรียกคนรับใช้เข้ามาเพื่อให้ออกไปตามหยางเสวียน—หัวหน้าที่ปรึกษาของคฤหาสน์องค์ชายใหญ่มาพบเพื่อสอบถามบางอย่าง
หลัวหมิงซีก็มิได้กล่าวสิ่งใด ครานี้การที่หลัวหมิงรุ่ยไม่เอ่ยไล่เขาออกไปข้างนอก แน่นอนว่าเขาก็ไม่ยอมออกไปเองอย่างแน่นอน
บัดนี้ดูเหมือนว่าองค์ชายใหญ่จะไม่มีข้อกังขาในตัวเขาอีกต่อไปซึ่งช่วยให้เขาสืบข่าวได้ง่ายมากขึ้น
.