เมืองราชวงศ์ของชนเผ่าเอลฟ์มิใช่เมืองที่ดูหรูหราโอ่อ่าหรือใหญ่โตมากนัก ทว่ามีความคล้ายคลึงกับเมืองระดับหนึ่งในดินแดนเทพมายามากกว่า
อาคารต่าง ๆ ของมันถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบทรงยุโรปโดยที่มีปราสาทรูปทรงเหมือนบ้านหลังเล็กตั้งตระหง่านอยู่ในศูนย์กลาง ทว่ากลับดูสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าเดินตามหลัวจื้อเลี่ยตรงเข้าไปโดยที่ไม่เผชิญอุปสรรคใดตลอดเส้นทางไปจนถึงอาคารหลักซึ่งเป็นอาคารที่มีห้องบรรทมของราชินีเอลฟ์ตั้งอยู่
เมื่อเข้าไปใกล้ประตู พวกนางก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าสบาย ๆ
เมื่อเห็นหลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปใกล้ สีหน้าของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีอี้หานเทียน หลัวหมิงรุ่ยและคนอื่น ๆ ตามมาข้างหลังไม่ไกล
“หยุดเดี๋ยวนี้ บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาใกล้ที่นี่ได้ !”
เมื่อเห็นหลัวจื้อเลี่ยและอีกสามคนที่ต้องการผ่านเข้าไปในพระราชวังของราชินีเอลฟ์ แน่นอนว่าผู้พิทักษ์หลายคนหน้าประตูก็ไม่ปล่อยให้คนแปลกหน้าผ่านเข้าไปได้ง่าย ๆ พวกเขาจึงขัดขวางคนกลุ่มนี้ไว้ทันที
หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกวาดสายตามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชาจนอีกฝ่ายรู้สึกขนลุกซู่ไปตาม ๆ กัน
“หากไม่ได้รับคำสั่งจากองค์ชายใหญ่ ไม่มีผู้ใดที่จะผ่านประตูนี้เข้าไปได้ ท่านทั้งหลายควรไปขอคำอนุญาตจากองค์ชายใหญ่มาเสียก่อน”
ใครคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลัวจื้อเลี่ยและคณะจึงกล่าวด้วยวาจาสุภาพและไม่กล้าทำให้เรื่องราววุ่นวายจนเกินไป
“เหอะ ราชาผู้นี้ไม่เคยทราบมาก่อนว่าหากข้าต้องการเข้าไปพบราชินี…ข้าจะต้องขออนุญาตจากองค์ชายด้วย !”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มอย่างไม่โกรธเคืองขณะแรงกดดันจากร่างของเขาแผ่ออกไปอย่างเปิดเผยจนกระทั่งผู้พิทักษ์หน้าประตูเหล่านั้นแทบไม่สามารถทรงตัวยืนตรงได้
“เจ้าพวกโง่ ! ไม่เห็นรึว่าท่านผู้นี้เป็นใคร ไม่คาดคิดว่าจะบังอาจขวางทางเช่นนี้!”
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดชั่วขณะ หลัวหมิงรุ่ยและกลุ่มของเขาก็ตามมาถึงพอดิบพอดี เพียงเห็นสถานการณ์ตรงหน้า องค์ชายใหญ่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าและเหวี่ยงขาเตะหนึ่งในผู้พิทักษ์อย่างแรงทันที
ในเมื่อไม่มีทางระบายโทสะที่พลุ่งพล่านในหัวใจและไม่มีทางขัดขวางคณะของหลัวจื้อเลี่ยได้ หลัวหมิงรุ่ยจึงทำได้เพียงระบายอารมณ์ลงที่ผู้พิทักษ์เหล่านี้
เมื่อครุ่นคิดถึงวาจาของหลัวจื้อเลี่ยเมื่อครู่นี้และมองดูเขาอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง เหล่าผู้พิทักษ์ก็เข้าใจได้ทันที ในชนเผ่าเอลฟ์ทั้งหมด ผู้ที่กล้าเรียนตนเองว่า ‘ราชา’ และยังมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเช่นนี้ นอกจากหลัวจื้อเลี่ยแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
ผู้พิทักษ์เหล่านั้นคุกเข่าลงพื้นทันทีและรีบแสดงท่าทางเคารพทว่าเจือด้วยความกังวล “พวกเราไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นราชาเลี่ยจึงได้กล่าววาจาล่วงเกินท่านเช่นนี้ ได้โปรด…ราชาเลี่ยโปรดอภัยให้พวกเราด้วยขอรับ !”
“นับจากวันนี้ไป พวกเจ้าจงออกไปคุ้มกันหน้าประตูเมือง !”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวกับพวกเขาอย่างไม่แยแสนักก่อนหันไปกล่าวกับผู้บัญชาการอี้หานเทียนและคนอื่น ๆ “ผู้บัญชาการอี้ นับจากนี้ข้าขอมอบหมายหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของราชินีเอลฟ์ให้กับพวกเจ้า”
แน่นอนว่าคนของอี้หานเทียนมีสีหน้าที่ยินดีอย่างยิ่งพร้อมกับกล่าวขอบคุณหลัวจื้อเลี่ยอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน สีหน้าของเหล่าผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลายเป็นเหยเกทันทีและลอบมองหลัวหมิงรุ่ยอย่างลับ ๆ โดยที่ต้องการให้เขากล่าวบางอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกตน
กรอดดด~
หลัวหมิงรุ่ยกัดฟันแน่นทันที หลัวจื้อเลี่ยไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิดและไม่คิดหารือกับเขาก่อนตัดสินใจสิ่งใด
“พวกเจ้าไม่ได้ยินคำสั่งของราชาเลี่ยงั้นรึ ?! ยังไม่รีบออกไปคุ้มกันหน้าประตูเมืองอีก !”
หยางเสวียนอ้าปากและถ่ายทอดคำสั่งออกไปโดยตรง
ผู้พิทักษ์เหล่านั้นไม่กล้าคัดค้านสิ่งใดและทำได้เพียงพยักศีรษะรับคำสั่งก่อนรีบวิ่งออกไปจากตัวพระราชวัง
“ฮ่า ๆ ๆ หลังจากผ่านมาหลายปี ราชาเลี่ยยังคงน่าเกรงขามไม่เคยเปลี่ยน”
หยางเสวียนยิ้มและกล่าวกับหลัวจื้อเลี่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจทราบได้ว่าความหมายที่แท้จริงของเขาคืออย่างไร
“ข้าเพียงไม่อยากฝากฝังความปลอดภัยของน้องสาวไว้ในมือผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจเท่านั้น”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและเดินตรงไปยังห้องที่เป็นจุดหมาย
“ท่านลุง พี่ใหญ่ น้องสี่ อวี้โม่ โม่ฉือ สั่วซีหย่า ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าทีเดียว”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะก้าวต่อไปได้ เขาและทุกคนก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นและพบว่าเสียงดังกล่าวมาจากสองพี่น้องหลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงหล่างที่กำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล
เมื่อเห็นคนทั้งสอง สีหน้าของหลัวหมิงรุ่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที สองพี่น้องที่ยากจะรับมือคู่นี้ พวกเขามาทำอะไรที่นี่กัน ?
สีหน้าของหลัวจื้อเลี่ยและกลุ่มของฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย พวกเขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าสองพี่น้องคู่นี้จะเดินทางมาที่นี่เช่นกันจึงมิได้แปลกใจนัก
“หมิงหล่าง หมิงเฟย พวกเจ้าทั้งสองก็มาที่นี่ด้วยรึ ?”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเปรียบเทียบกับองค์ชายใหญ่ เขาชื่นชอบหลานชายทั้งสองคนนี้มากกว่าหลายขุม
“ขอรับ ช่วงนี้ทางกองทัพไม่มีเรื่องใดที่น่าเป็นห่วง พี่สองและข้าก็กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของท่านแม่เป็นทุนเดิม เราทั้งสองจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อพบท่านแม่สักหน่อย ทว่าเมื่อเรามาถึงเมืองราชวงศ์และได้ทราบข่าวว่าท่านลุงและคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เราจึงรีบตามมาที่นี่ทันที”
หลัวหมิงเฟยพยักศีรษะก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อวี้โม่ โม่ฉือ คราก่อนที่ข้าเชิญชวนท่านทั้งสองไปที่ค่ายทหารของข้าเมื่อพวกท่านมีเวลาว่าง ทว่าข้าก็เฝ้ารอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ต้อนรับพวกท่านเลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบเช่นกันและกล่าว “พวกเราสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเมืองราชวงศ์แห่งนี้อย่างยิ่ง โม่ฉือเองก็มีความรู้เกี่ยวกับโรคหรืออาการประหลาดอยู่บ้าง เราจึงมาที่นี่พร้อมราชาเลี่ย เดิมทีเราวางแผนไว้ว่าหลังกลับจากที่นี่ เราจะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านและพักอยู่ที่นั่นสักระยะ”
สำหรับหลัวหมิงเฟยผู้นี้ ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตาไม่น้อยเช่นกัน แม้หลัวหมิงเฟยมีความคิดที่ล้ำลึกยากเกินหยั่งถึง เขาก็ไม่เป็นภยันตรายหรือปัญหาสำหรับพวกนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาและพี่ชายอย่างหลัวหมิงหล่างก็ดูจะเป็นบุคคลที่เปิดเผยและตรงไปตรงมากกว่าหลัวหมิงรุ่ยมาก
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
องค์ชายสามหัวเราะเบา ๆ “นี่คือพี่ชายของข้า—หลัวหมิงหล่าง—เทพบุตรสงครามแห่งชนเผ่าเอลฟ์”
เขาผายมือไปที่บุรุษผู้มีใบหน้านิ่งเฉยไม่ยิ้มแย้มถัดจากตนและกล่าวแนะนำพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
“พวกเราได้ยินชื่อเสียงเรียงนามขององค์ชายสองมานานนัก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกันเสียที”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะทักทายหลัวหมิงหล่าง
“เช่นกัน”
หลัวหมิงหล่างพยักศีรษะและตอบกลับอย่างสั้น ๆ ทว่าใบหน้ายังคงไม่ยิ้มแย้มเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่อยู่ในใจ เขาไม่อาจมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนทั้งสองได้เลย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองจะต้องมิใช่จอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปแน่
“ฮ่า ๆ ๆ ปกติแล้วน้องรองและน้องสามแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย เจ้าทั้งสองก็มิได้มาที่พระราชวังแห่งนี้มานานมากแล้ว”
หลัวหมิงรุ่ยกัดฟันแน่น กล่าวได้ว่าเขาเคยเผชิญกับความยากลำบากเพราะพี่น้องคู่นี้มาไม่น้อยทีเดียวและแน่นอนว่าย่อมไม่ชอบหน้าทั้งสองเท่าใดนัก
เพียงแต่เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ ๆ สองพี่น้องคู่นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน ปกติแล้วพวกเขาทั้งสองจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาดหากไม่มีธุระสำคัญจริง ๆ และเขาเชื่อว่าพวกเขาจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างเป็นแน่
“เป็นจริงอย่างที่ว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้กิจการทางการทหารยุ่งวุ่นวายมากและพวกเราก็ทราบดีว่าที่นี่มีใครบางคนที่ไม่ต้อนรับเรา”
หลัวหมิงเฟยกล่าวและยิ้มอย่างเหน็บแนมโดยไม่ปิดบัง
“เอาล่ะ ในเมื่อมากันแล้ว เราก็เข้าไปข้างในด้วยกันเถอะ”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวและผายมือเชิญชวนให้ทุกคนเข้าไปด้วยกัน
คนอื่น ๆ ไม่ปฏิเสธและเดินเข้าไปพร้อมหลัวจื้อเลี่ยทันที
ทันทีที่ผ่านเข้ามาข้างใน กลิ่นหอมของดอกไม้ก็โชยแตะจมูกของทุกคนซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นสบายอย่างยิ่ง จากนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นกระถางดอกไม้สีขาวสวยงามวางอยู่ทั้งสี่มุมของห้องซึ่งกลิ่นอบอวลที่แผ่ออกมาล้วนมาจากพวกมัน
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่ได้กลิ่นประหลาดดังกล่าว นางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลทว่าก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันมาจากสาเหตุใด
“นายหญิง หากข้าเดาไม่ผิด กลิ่นนี้น่าจะเป็นกลิ่นของดอกเหยียนฮวาขาว แม้กลิ่นของมันจะหอมมาก ทว่าการสูดดมเป็นเวลานานจะมีผลทำให้สติเลื่อนลอยได้”
เสียงของมารยาดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ มันมีความรู้ที่กว้างขวางและทราบความผิดปกติของดอกไม้ดังกล่าวทันทีที่เห็นมัน
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด การออกแบบของห้องและตำแหน่งของดอกไม้ทั้งสี่กระถางทำให้นางนึกถึงการวางข่ายอาคมบางประเภท ดูเหมือนว่าการที่ราชินีเอลฟ์หมดสติไปและมีอาการที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นั้นจะเกี่ยวข้องกับข่ายอาคมนี้
เมื่อพวกนางเดินเข้าไปใกล้เตียงและเห็นสตรีงดงามที่นอนหมดสติอยู่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
แม้ว่าพวกนางจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าราชินีเอลฟ์จะต้องเป็นสตรีที่งดงามและโดดเด่นมาก ทว่าพวกนางก็ยังแปลกใจเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง
ด้วยใบหน้างดงามประณีตที่ขาวผุดผ่อง รูปร่างสมบูรณ์แบบและรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับบนใบหน้าก็ทำให้ดูเหมือนนางเพียงหลับไปเท่านั้นและมิได้อยู่ในสภาวะอันตราย เพียงมองนางในตอนนี้ ผู้ที่ได้พบเห็นก็ต้องยอมรับว่าราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินทั้งงดงามและสูงสง่าเพียงใด
“หมิงรุ่ย ในช่วงที่ผ่านมานี้มีสัญญาณบ่งบอกว่าแม่ของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่ ?”
หลัวจื้อเลี่ยเอ่ยถามขณะมองราชินีเอลฟ์และขมวดคิ้วมุ่นอย่างเป็นกังวล
“ท่านลุงขอรับ ท่านแม่หมดสติมานานแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ข้าก็ดูแลท่านแม่เป็นอย่างดีและเชิญยอดฝีมือระดับสูงมากมายมาตรวจดูอาการของท่านแม่ ทว่าก็ยังไม่ได้เบาะแสใดเลยขอรับ ราวกับว่าจู่ ๆ ท่านแม่ก็หมดสติไปเสียเฉย ๆ บางทีสักวันนางก็อาจจะฟื้นขึ้นมาเอง”
หลัวหมิงรุ่ยกล่าวตอบในสิ่งที่หลายคนทราบอยู่แล้ว
“เอาล่ะ อวี้โม่ โม่ฉือ ในเมื่อเจ้าทั้งสองก็ชำนาญในด้านการแพทย์พอสมควร พวกเจ้าลองตรวจดูอาการของราชินีเอลฟ์ดูสิ”
หลัวจื้อเลี่ยกล่าวขณะหันไปมองจอมยุทธ์ทั้งสองและแสร้งทำเป็นขอความช่วยเหลือ
“ได้เลยเจ้าค่ะ ไม่มีปัญหา”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะตอบรับ ถึงอย่างไรทั้งสองก็มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เพื่อตรวจดูอาการของราชินีเอลฟ์อยู่แล้ว เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
หลัวหมิงรุ่ยไม่ขัดขวางทั้งสองแต่อย่างใด แม้จอมยุทธ์ที่เก่งกาจมากหน้าหลายตาก็ไม่สามารถตรวจพบสาเหตุการหมดสติของราชินีเอลฟ์ได้ เขาไม่เชื่อว่าคนหนุ่มสาวอย่างฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะค้นพบมันได้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินตรงเข้าไปข้างเตียงก่อนฉินอวี้โม่วางมือลงบนข้อมือบางของหลัวจื๋อยินในขณะที่หานโม่ฉือสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ เพื่อช่วยคุ้มกันนาง
พลังวิญญาณแกร่งกล้าแผ่จากร่างของฉินอวี้โม่และแทรกซึมเข้าไปในร่างของราชินีเอลฟ์อย่างรวดเร็ว หากต้องการทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของร่างกายหลัวจื๋อยิน นางต้องตรวจสอบด้วยวิธีการนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากควบคุมพลังวิญญาณและตรวจสอบทั่วร่างกายของราชินีเอลฟ์ ฉินอวี้โม่กลับไม่พบความผิดปกติใด ในเวลานี้ราวกับว่าราชินีเอลฟ์เพียงแค่นอนหลับอย่างสงบสุขและท่องอยู่ในดินแดนแห่งความฝันโดยที่ปราศจากความผิดปกติใด ๆ
ภายในร่างกายของหลัวจื๋อยิน พลังเอลฟ์ของนางก็ยังคงหนาแน่นอุดมสมบูรณ์และไม่มีทีท่าว่าจะแห้งเหือดไป
“นายหญิง ลองตรวจดูที่สมองของราชินีเอลฟ์ หากมีบางอย่างควบคุมไว้จริง พลังวิญญาณของท่านจะถูกขัดขวางและยากที่จะผ่านเข้าไปได้”
มารยากล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่ใช้พลังวิญญาณตรวจสอบบริเวณศีรษะของราชินีเอลฟ์
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่พยักศีรษะทันทีก่อนแผ่พลังวิญญาณตรงไปที่ศีรษะของหลัวจื๋อยิน
เป็นจริงดังที่คิดไว้ นางรู้สึกถึงแรงต้านทานบางอย่างก่อนผ่านเข้าไปถึงจุดหมาย ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ปิดกั้นการสำรวจบริเวณนี้ไว้ซึ่งพลังวิญญาณไม่สามารถทะลุผ่านเข้าไปได้
หลังจากพยายามหลายคราทว่ายังไม่พบหนทางทะลวงผ่านเข้าไปได้ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจดึงพลังวิญญาณของตนกลับคืนตามเดิม
อย่างน้อยที่สุด ข้อสันนิษฐานเดิมของพวกนางก็ได้รับการยืนยันแล้ว ราชินีเอลฟ์ถูกกัดกร่อนโดยทักษะวิชาที่แปลกประหลาดบางอย่าง ส่วนมันจะเป็นทักษะสาปวิญญาณหรือไม่นั้นก็ยังต้องอาศัยการยืนยันเพิ่มเติมต่อไป
.