เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ดึงพลังวิญญาณกลับคืนมาตามเดิม สายตาของหลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ ก็จับจ้องตรงไปที่นางทันทีด้วยประกายแห่งความหวัง พวกเขาล้วนหวังว่าจอมยุทธ์จากต่างแดนผู้นี้จะค้นพบสาเหตุการหมดสติของราชินีเอลฟ์ได้
“ข้าค้นพบบางอย่าง ทว่าก็ยังไม่แน่ใจนัก ข้าจึงยังไม่อยากบอกทุกท่านในตอนนี้”
ฉินอวี้โม่มองเห็นถึงความคาดหวังของทุกคนอย่างชัดเจน ทว่านางก็เพียงกล่าวออกไปเช่นนี้โดยที่ไม่อธิบายสิ่งใด
เมื่อได้ยินประโยคแรก ทุกคนมีสีหน้าที่ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่สีหน้าของหลัวหมิงรุ่ยตึงเครียดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินอวี้โม่กล่าวประโยคสุดท้ายออกมา สีหน้าตื่นเต้นของหลายคนก็หม่นลงทันทีและกลับกลายเป็นความผิดหวัง
และแน่นอนว่าสีหน้ากังวลขององค์ชายใหญ่ก็ผ่อนคลายลงมากก่อนเปลี่ยนเป็นความเย้ยหยันเมื่อมองไปที่ฉินอวี้โม่ “เหอะ ข้าก็นึกว่าจะมีความสามารถมากมาย สุดท้ายก็ทำตัวลึกลับเพื่อกลบเกลื่อน”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็หันไปกล่าวกับหลัวจื้อเลี่ย “ท่านลุง ข้าคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวงและไม่ควรค่าแก่ความไว้ใจ ท่านขับไล่พวกนางออกไปจากพระราชวังเสียดีกว่า อย่าปล่อยให้พวกนางรบกวนความเงียบสงบของท่านแม่อีกเลย”
“เหอะ ข้าไม่คิดเช่นนั้น สาเหตุที่อวี้โม่ไม่กล่าวออกมาตามตรงเป็นเพราะคิดว่ามีใครบางคนที่ไว้ใจไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย บางทีหาก ‘ใครบางคน’ ออกไปก่อน นางก็อาจจะกล่าวความจริงออกมาได้”
หลัวหมิงเฟยคลี่ยิ้มทว่าเชื่อในคำพูดของฉินอวี้โม่อย่างแท้จริง เขามององค์ชายใหญ่อย่างยียวนพร้อมกับกล่าววาจาอย่างคลุมเครือ
“น้องสาม นี่เจ้ากำลังกล่าวให้ร้ายเหน็บแนมใครงั้นรึ ?”
หลัวหมิงรุ่ยยิ้มอย่างไม่โกรธเคือง เขาไม่เชื่อเลยว่าฉินอวี้โม่จะพบสิ่งผิดปกติใด ๆ ถึงอย่างไรทักษะสาปวิญญาณที่พวกเขาใช้ก็เป็นศาสตร์ต้องห้ามที่มีผู้รู้เกี่ยวกับมันเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว ข้าเพียงกล่าวข้อคาดเดาของข้าก็เท่านั้น ดูพี่รองสิ เขาก็เห็นด้วยกับข้าเช่นกัน”
หลัวหมิงเฟยยิ้มและตอบโต้อย่างไม่ลดละ ต่อให้มีหลัวหมิงรุ่ยสิบคนก็ไม่อาจประชันฝีปากกับเขาเพียงคนเดียวได้
“เหอะ !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวหมิงรุ่ยก็แค่นเสียงออกมาและไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาทราบดีว่าเขามิใช่คู่มือของหลัวหมิงเฟยในเรื่องของฝีปาก อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่เห็นถึงความผิดปกติของราชินีเอลฟ์ และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาโล่งใจได้แล้ว
“ท่านลุงเจ้าคะ ไม่ทราบว่าข้าจะขอกระถางดอกไม้เหล่านี้ได้รึไม่ ? มันดูงดงามและมีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างมาก ข้าสนใจมันมากทีเดียว”
อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงรุ่ยยังไม่ทันจะหายใจได้ทั่วท้อง จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวสิ่งที่ทำให้เขาต้องกังวลขึ้นมาอีกครา
“ไม่มีทาง !”
ก่อนที่หลัวจื้อเลี่ยจะมีโอกาสตอบ หลัวหมิงรุ่ยก็ชิงตอบปฏิเสธทันควัน แน่นอนว่าเขาทราบดีว่ากระถางดอกไม้ทั้งสี่นี้มีบทบาทสำคัญอย่างไรและเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้ฉินอวี้โม่นำพวกมันออกไป
“จิ๊จิ๊จิ๊ องค์ชายใหญ่ เหตุใดจึงปฏิเสธอย่างเร่งรีบเพียงนี้ ? ราชาเลี่ยยังไม่ได้ตอบข้าเลย ทว่าท่านกลับดูกระตือรือร้นยิ่งนัก หรือว่ากระถางดอกไม้เหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการหมดสติขององค์ราชินี ?”
ท่าทางกระตือรือร้นจนออกนอกหน้าของหลัวหมิงรุ่ยยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ที่มีตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้ทันที เป็นจริงดังที่คิดไว้ กระถางดอกไม้เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของข่ายอาคมบางอย่างและกลิ่นหอมโชยของมันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการหมดสติของราชินีเอลฟ์อย่างแน่นอน
“โอ้ จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรเล่ า? เพียงแต่กระถางดอกไม้เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของข้าชื่นชอบมาก หมอหลายคนที่มาที่นี่ก็ล้วนกล่าวว่าดอกไม้เหล่านี้มีส่วนช่วยกับสุขภาพของท่านแม่ เพราะฉะนั้นข้าจึงมอบพวกมันให้เจ้าไม่ได้”
เมื่อตระหนักว่าตนสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ หลัวหมิงรุ่ยก็ยิ้มและรีบกล่าวคำอธิบายบังหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเขายังยกเรื่องสุขภาพของมารดามาเป็นข้ออ้างด้วยหวังว่าฉินอวี้โม่จะไม่ยืนกรานอีกต่อไป
“ท่านลุง ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เมินเฉยต่อหลัวหมิงรุ่ยไปอย่างสิ้นเชิงและหันไปมองหลัวจื้อเลี่ยพร้อมรอยยิ้ม นางเชื่อว่าผู้ที่ชาญฉลาดอย่างหลัวจื้อเลี่ยจะต้องสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หลัวจื้อเลี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะใช้ความคิดกับบางสิ่งบางอย่าง เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ เขาก็พยักศีรษะเบา ๆ
“โอ้ ในเมื่อเจ้าชอบมันมากก็เอากลับไปเถอะ สำหรับน้องสาวของข้า เมื่อนางฟื้นขึ้นมา ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับนางเอง”
วาจาของหลัวจื้อเลี่ยทำให้หลัวหมิงรุ่ยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยและเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงสิ่งใดหรือไม่
หยางเสวียนส่ายศีรษะเบา ๆ ให้กับหลัวหมิงรุ่ยเพื่อปรามมิให้เขากล่าวสิ่งใดต่อ เกรงว่าการที่องค์ชายใหญ่รีบปฏิเสธทันควันและแสดงท่าทางกระตือรือร้นอย่างประหลาดเมื่อครู่ทำให้หลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ เริ่มสงสัยในตัวเขาแล้ว กระถางดอกไม้เหล่านี้ นอกเหนือจากเชื่อมโยงกันกลายเป็นข่ายอาคมพิเศษ หากแยกพวกมันจากกัน พวกมันก็ไม่ต่างไปจากดอกไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่จะค้นพบความผิดแปลกใด ๆ นางก็คงจะไม่สามารถตรวจสอบหาความจริงใด ๆ ได้
“ในเมื่อจอมยุทธ์อวี้โม่ชื่นชอบมัน องค์ชายใหญ่ก็มอบให้นางไปเสียเถอะขอรับ นอกจากนี้ ในเมื่อจอมยุทธ์อวี้โม่กล่าวว่าค้นพบบางอย่างเกี่ยวกับองค์ราชินี เช่นนั้นเราก็ต้องขอเชิญให้ท่านพักอยู่ในพระราชวังของเราสักสองถึงสามวันเพื่อสังเกตดูอาการของราชินีต่อไป”
หยางเสวียนยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ เขาไม่อาจมองทะลุถึงความคิดที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้เลย ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามและคิดหาวิธีจัดการกับทั้งสองในภายหลัง
“ฮ่า ๆ ๆ ได้ยินมาว่าท่านหยางเป็นที่ปรึกษาที่องค์ชายใหญ่ไว้วางใจที่สุดและตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าท่านคู่ควรกับตำแหน่งนั้นอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าท่านหยางเสวียนสามารถตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างแทนองค์ชายใหญ่ได้แล้ว”
หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จงใจยั่วยุให้ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวหมิงรุ่ยและหยางเสวียนแตกหัก
หลัวหมิงรุ่ยหาใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาและเขาไม่สงสัยในตัวหยางเสวียนแม้แต่น้อย เขาเพียงพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านหยางเป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดและแน่นอนว่าคำพูดของเขาก็เป็นตัวแทนของข้า จอมยุทธ์อวี้โม่เก็บกระถางดอกไม้เหล่านี้ไปได้เลย สำหรับท่านแม่ ข้าจะอธิบายกับนางด้วยตัวเองในภายหลัง”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณองค์ชายใหญ่มาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลัวหมิงรุ่ยและหยางเสวียนจะแน่นแฟ้นถึงขั้นนี้ ดูเหมือนว่าหยางเสวียนผู้นี้เป็นบุคคลที่รับมือได้ยากอย่างยิ่งและถือว่าเป็นกระดูกสันหลังที่แท้จริงขององค์ชายใหญ่
จากนั้นนางก็ไม่รอช้าและเก็บกระถางดอกไม้เหล่านี้ไปไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวของตนอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวกับหลัวจื้อเลี่ย “ท่านลุง ตอนนี้พวกเราก็เริ่มเหนื่อยกันแล้ว พาเราไปหาที่พักผ่อนในพระราชวังก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าจะรับหน้าที่จัดการเรื่องนี้เอง”
หลัวหมิงซีไม่รอให้หลัวจื้อเลี่ยเอ่ยตอบและกล่าวขึ้นเพื่อเสนอตัวจัดหาที่พักให้กับฉินอวี้โม่
หลัวหมิงรุ่ยไม่ขัดขวางและพยักศีรษะเบา ๆ ให้กับหลัวหมิงซี เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้อีกต่อไป หากหลัวหมิงซีถือโอกาสรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
“ท่านลุง อวี้โม่ โม่ฉือ พวกเรามิได้พักอยู่ในพระราชวังอีกแล้ว ทว่าเรามีคฤหาสน์ของตัวเองอยู่ในเมืองราชวงศ์ พรุ่งนี้ขอเชิญทุกท่านไปพบพวกเราที่นั่นเถิด เราจะจัดงานเลี้ยงให้กับทุกคน”
หลัวหมิงเฟยกล่าวทิ้งท้ายก่อนร่ำลา พวกเขาจะไม่พักในพระราชวังทว่าจะพักในคฤหาสน์ของตนซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเมืองราชวงศ์
“เข้าใจแล้ว วันพรุ่งนี้เราคงต้องขอรบกวนท่านด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลงในทันที หากสามารถร่วมมือกับสองพี่น้องหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยได้ พวกนางจะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้นมาก
จากนั้นหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยก็หันหลังและเดินจากไปในขณะที่หลัวหมิงซีนำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ทันทีที่ทุกคนแยกย้ายกันออกไป สีหน้าที่เรียบเฉยของหลัวหมิงรุ่ยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความกระตือรือร้นจนแทบอยู่ไม่ติด
“ท่านหยาง การที่ท่านปล่อยให้นางเอากระถางดอกไม้พวกนั้นไป ท่านไม่กลัวหรือว่านางจะค้นพบความจริงได้?”
เขามองหยางเสวียนอย่างสับสนและกล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ฮ่า ๆ ๆ ครานี้คนพวกนั้นน่าจะเตรียมตัวมาพอสมควร ผู้ที่ชื่อว่าฉินอวี้โม่กล่าวว่าพบบางอย่างและอาจหมายถึงกระถางดอกไม้ทั้งสี่นั่น การที่เรามอบพวกมันให้นางเอาไปศึกษาอย่างละเอียดย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะถึงอย่างไร หากพยายามแล้วไม่พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ แน่นอนว่านางก็จะล้มเลิกความตั้งใจไปเอง”
หลังจากหยุดชั่วคราว หยางเสวียนก็กล่าวต่อ “อีกอย่าง หากให้นางตรวจสอบดูอาการของราชินีต่อไป มันก็ไม่มีทางรับประกันได้ว่านางจะไม่พบความผิดปกติของราชินี เมื่อถึงตอนนั้น หากพวกนางมีวิธีช่วยราชินีจริง ๆ มันจะส่งผลร้ายกับแผนของเราอย่างยิ่ง”
หยางเสวียนเป็นผู้ที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบดีอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะต้องค้นพบบางอย่างแล้วแน่ เพียงแต่ไม่กล่าวออกมาก็เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาสงสัยว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่ค้นพบคือความผิดปกติของกระถางดอกไม้ทั้งสี่เท่านั้น ซึ่งไม่มีทางเลยที่เขาจะคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทราบเรื่องทักษะสาปวิญญาณมานานแล้วและทราบว่าการหลับใหลของราชินีเอลฟ์เกี่ยวข้องกับศาสตร์ชั่วร้ายดังกล่าว
“ก็จริงอย่างที่ว่า ท่านหยางคิดถูกแล้ว แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
หลัวหมิงรุ่ยพยักศีรษะและกล่าวถามแผนการขั้นต่อไป
“เหอะ รอสักสองสามวันก่อนเถอะ รอให้หลัวจื้อเลี่ยพาคนพวกนั้นออกไป ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้การที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์แสดงสัญญาณของการฟื้นฟู แผนการของเราคงต้องเลื่อนออกไปก่อน”
หยางเสวียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างมั่นใจ
ในขณะเดียวกันนี้ ในระหว่างทางที่ส่งฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไปในที่พัก หลัวหมิงซีก็แอบรายงานนางเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ยินในช่วงที่ผ่านมานี้
ในตอนแรกเมื่อทราบว่าหลัวหมิงซีจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว หลัวจื้อเลี่ยก็ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงอย่างไรสิ่งที่เขาทราบมาตลอดก็คือองค์ชายสี่ผู้นี้ไม่เคยอยู่ในกฎระเบียบและชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น การที่เขาเปลี่ยนแปลงตนเองเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“เจ้าหมายความว่าตอนนี้หลัวหมิงรุ่ยไว้ใจเจ้าโดยสมบูรณ์แล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่มองหลัวหมิงซีพลางพยักศีรษะเบา ๆ เห็นได้ชัดว่าหลัวหมิงซีผู้นี้ไม่โง่เขลาอย่างที่เห็นภายนอก
“ใช่แล้ว ข้าเชื่อวาจาของเจ้าและทำตามที่เจ้าบอก ตอนนี้เขาไม่ได้นึกสงสัยในตัวข้ามากแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเป็นพิเศษ ข้าจึงไม่ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ ทว่าก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนชุดดำหลายคนมาที่นี่และข้าพบพวกเขาโดยบังเอิญ แม้ไม่ทราบว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน ข้าก็มั่นใจว่าคนชุดดำเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาที่ดีแน่”
ก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาพบหลัวหมิงรุ่ยและหลัวหมิงซีก็อยู่ในพระราชวังพอดิบพอดี แม้หลัวหมิงรุ่ยหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของเขาจนไม่ทราบเนื้อหาในบทสนทนาทั้งหมด ทว่าหลัวหมิงซีก็เลือกที่จะบอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่ด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเตรียมการต่อไป
“เอาล่ะ ทำได้ดีมาก พยายามสืบหาเบาะแสจากหลัวหมิงรุ่ยต่อไป หลังจากนี้เจ้าอาจได้กลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้ชนเผ่าเอลฟ์รอดพ้นจากหายนะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวชมผลงานของหลัวหมิงซีซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รับคำชมเชยจากผู้อื่นและมันทำให้เขารู้สึกได้ว่าการได้รับความชื่นชมและสรรเสริญมิใช่สิ่งที่เลวร้าย
หลังจากจัดการเรื่องที่พักจนเรียบร้อย ฉินอวี้โม่ก็เตรียมบอกหลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนค้นพบเพื่อหาทางสืบสวนต่อไป
.