ภายในคฤหาสน์ขององค์ชายทั้งสอง หลัวหมิงเฟยผายมือเชิญฉินอวี้โม่นั่งลงและชวนจิบน้ำชาอย่างสบาย ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของพวกท่านได้ หากต้องการให้เราร่วมมือด้วย เราก็ยินดีเป็นอย่างมาก แต่ทว่า…เราก็มีเงื่อนไขบางอย่างอยู่”
หลัวหมิงเฟยกล่าวราวกับคาดเดาจุดประสงค์ของกลุ่มฉินอวี้โม่ไว้ก่อนแล้ว
“เงื่อนไขอะไรงั้นหรือ ?”
ในการเจรจากับผู้ที่ชาญฉลาด การทำความเข้าใจอย่างชัดเจนตรงกันถือเป็นสิ่งที่ดี ในเมื่อครานี้เป็นการเจรจาที่นำไปสู่การร่วมมือกัน การที่มีความจริงใจและชัดเจนต่อกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา
“ง่ายมาก พี่รองและข้าไม่สนใจในตำแหน่งราชาเอลฟ์ หากอาการของท่านแม่ดีจนฟื้นขึ้นมาและต้องการสละบัลลังก์ เราสองพี่น้องก็จะขอปฏิเสธการเข้าชิงตำแหน่ง แน่นอนว่าหลัวหมิงรุ่ยและหลัวอวิ๋นซีก็ไม่ควรได้รับตำแหน่งนั้นเช่นกัน ส่วนหลัวหมิงซีก็ไม่ได้มีคุณสมบัติที่เพียงพอตั้งแต่แรก หากท่านโน้มน้าวใจให้น้องห้ารับตำแหน่งนั้นได้ เราทั้งสองก็ยินดีให้ความร่วมมือ”
หลัวหมิงเฟยยิ้มพร้อมกับกล่าวถึงเงื่อนไขของตนและพี่ชายซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อย
พวกนางไม่เคยคิดเลยว่าหลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงหล่างจะไม่สนใจในตำแหน่งราชาเอลฟ์ นางคิดมาตลอดว่าสองพี่น้องคู่นี้ปรารถนาที่จะครอบครองตำแหน่งนั้นมากเช่นกันและการได้สืบทอดบัลลังก์จากมารดาคือจุดมุ่งหมายสูงสุด ไม่คิดเลยว่าความเป็นจริงจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“แม้จะมีข้อดีมากมายกับการได้ครองตำแหน่งนั้น ทว่ามันก็ต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่มากเกินไป โดยธรรมชาติแล้วพี่รองก็ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น นอกจากเรื่องการทหาร เขาก็ไม่ชอบจัดการเรื่องเล็กน้อยอื่น ๆ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่สนใจตำแหน่งดังกล่าว สำหรับตัวข้า ข้าเคยชินกับความอิสระและข้าก็มิได้มีความทะเยอทะยานมากนัก ตำแหน่งนั้นมีข้อจำกัดที่ชัดเจนและข้าก็ไม่ต้องการที่จะถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตนั้น แต่น้องห้านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงบนิ่งและใจเย็นอยู่เสมอ ทว่าเขาก็เป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงมากที่สุดในบรรดาพี่น้องทุกคน เรียกได้ว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น น้องห้าก็รักในความถูกต้องเป็นธรรมและเห็นใจผู้อื่น หากชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในการปกครองของเขา ทั้งชนเผ่าจะต้องดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”
หลัวหมิงเฟยกล่าวอธิบายอย่างจริงใจและเปิดเผยว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งนั้นจริง ๆ
“เอาล่ะ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็สามารถรับปากแทนเขาได้”
ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันถามความคิดเห็นของหลัวหมิงฮ่าวด้วยซ้ำทว่ากลับรับปากแทนเขาไปตรง ๆ หลัวหมิงเฟยกล่าวถูกต้องทุกประการ ตำแหน่งราชาเอลฟ์เหมาะสมกับหลัวหมิงฮ่าวอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น แผนการตั้งแต่ต้นของพวกนางก็คือการให้องค์ชายห้าสืบทอดตำแหน่งนั้น
ตอนนี้การที่หลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงหล่างกล่าวเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา แน่นอนว่ามันทำให้พวกนางกังวลน้อยลงและโล่งใจมากขึ้น
“ไม่ต้องถามความเห็นของน้องห้าก่อนหรือ ?”
การที่ฉินอวี้โม่ตกคำรับปากในทันทีทำให้หลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงหล่างชะงักไปเล็กน้อย พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะมีอำนาจตัดสินใจแทนหลัวหมิงฮ่าวได้
“เราเคยหารือเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว แม้หมิงฮ่าวจะไม่สนใจตำแหน่งราชาเอลฟ์ เขาก็เคยกล่าวไว้ว่าตราบใดที่ชาวเอลฟ์และราชินีต้องการเขา ต่อให้มีดงกระบี่หรือทะเลเพลิงอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าเอลฟ์ก็เป็นเพียงดินแดนเล็ก ๆ การครองตำแหน่งราชาเอลฟ์ก็มิได้มีอะไรมากไปกว่าการสูญเสียอิสรภาพส่วนหนึ่งและต้องจัดการกับสิ่งที่น่ารำคาญมากขึ้นซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่จนเกินไป เพราะเหตุนั้น ข้าจึงสามารถรับปากในเงื่อนไขของพวกท่านได้ทันที”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวอธิบาย บุคคลที่รักในความถูกต้องเป็นธรรมและเห็นใจผู้อื่นอย่างหลัวหมิงฮ่าวเป็นบุคคลที่หาได้ยากอย่างยิ่ง นั่นเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุที่ฉินอวี้โม่และหลัวหมิงฮ่าวกลายเป็นมิตรที่ดีและพร้อมฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปด้วยกัน
“โอ้ เรามิได้มองน้องห้าผิดไปเลยจริง ๆ”
จู่ ๆ หลัวหมิงหล่างผู้ซึ่งนิ่งเงียบมานานก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกสงสัยใคร่รู้ในตัวน้องห้าของตนขึ้นมา หลัวหมิงฮ่าวเป็นคนดีอย่างแท้จริง
“พี่รอง ข้าบอกท่านแล้วว่าน้องห้าเป็นคนที่ดีมาก”
หลัวหมิงเฟยยิ้มกว้างเช่นกัน เขารู้สึกชื่นชมหลัวหมิงฮ่าวมาเป็นเวลานานแล้ว
“เอาล่ะ ทีนี้เราก็ร่วมมือกันได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าก่อนอื่นข้าต้องถามพวกท่าน พวกท่านทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของชนเผ่าเอลฟ์มากเพียงใด ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวตรงเข้าประเด็นและเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ในเมื่อตอนนี้ตัดสินใจร่วมมือกันแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังสิ่งใดจากกัน การที่ทั้งสองฝ่ายแบ่งปันข้อมูลของตนเอง นั่นก็อาจนำไปสู่สิ่งใหม่ ๆที่ ไม่เคยทราบมาก่อน
“เราไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เราเพียงทราบว่าทุกอย่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลตู้ก็เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เช่นกัน”
หลัวหมิงเฟยไม่ปิดบังและกล่าวตอบตามความจริง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทราบรายละเอียดมากนักและทราบเพียงว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับหลัวหมิงรุ่ย
“เป็นจริงอย่างที่ว่า มันเกี่ยวข้องกับพวกเขาจริง ๆ พวกเราสืบทราบมาว่าพวกเขาร่วมมือกับฝ่ายมารและใช้ทักษะสาปวิญญาณกับราชินีเอล์ฟมารดาของพวกท่าน สำหรับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้มันก็ถูกกัดกร่อนโดยพลังของบุปผาแห่งความมืด ดังนั้นมันจึงเหี่ยวแห้งโรยราไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้”
ฉินอวี้โม่ก็กล่าวสรุปข้อมูลที่ได้ยืนยันก่อนหน้านี้กับหลัวหมิงเฟยและหลัวหมิงฮ่าวอย่างคร่าว ๆ บางทีองค์ชายทั้งสองตรงหน้าอาจจะมิได้รับรู้เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้มาก่อน
ทว่าทันทีที่นางกล่าวจบ หลัวหมิงหล่างก็ตบโต๊ะเสียงดังและลุกพรวดทันที เวลานี้สีหน้าของเขาตึงเครียดอย่างยิ่งและเดินมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“พี่รอง อย่าเพิ่งใจร้อนไปขอรับ”
หลัวหมิงเฟยเองก็จนปัญญายิ่งนัก เขาทำได้เพียงปรามพี่ชายและกล่าวเพื่อมิให้เขาทำสิ่งใดบุ่มบ่าม
เขาจะไม่รับรู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายของตนจะรู้สึกโกรธแค้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ และตอนนี้เขาก็ต้องการมุ่งหน้าออกไปตามหาหลัวหมิงรุ่ยด้วยตัวเอง
“แม้กระทั่งกับแม่ของตัวเอง หลัวหมิงรุ่ยก็ยังคิดชั่วช้าเช่นนี้ได้ !”
หลัวหมิงหล่างกล่าวอย่างเย็นชา นี่คือสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้เลยและเป็นสิ่งที่เขาโกรธแค้นมากที่สุด หลัวหมิงรุ่ยมีจิตใจที่โหดเหี้ยมและชั่วร้ายเกินไป แม้แต่ราชินีเอลฟ์ผู้เป็นมารดาก็ยังไม่เว้นและคิดหาทางกำจัดผู้เป็นมารดาหลายครั้งหลายครา บุคคลเช่นนี้ช่างบัดซบจริง ๆ !
“พี่รอง เราก็ทราบมานานแล้วมิใช่รึว่าเขาเป็นคนอย่างไร”
หลัวหมิงเฟยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาขณะกล่าวให้พี่ชายใจเย็นลง
“อวี้โม่ โม่ฉือ ลูกพี่ลูกน้อง พี่รองมักที่จะมีอารมณ์ร้อนเช่นนี้อยู่เสมอ หากข้าไม่ช่วยปรามให้ใจเย็นตลอดหลายปีที่ผ่าน เกรงว่าคงเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้นมาหลายครั้งหลายครา”
หลัวหมิงหล่างมิใช่คนโง่เขลา ในฐานะผู้บัญชาการของกองทัพเอลฟ์ เขาก็มีทั้งสติปัญญาและไหวพริบที่ดี เพียงแต่เขาไม่อาจอดทนอดกลั้นกับการกระทำที่ชั่วช้าและไร้ศีลธรรมได้เลย ทุกคราที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขามักจะควบคุมโทสะไม่ได้และต้องการบั่นหัวคนผู้นั้นให้ได้โดยเร็ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะหลัวหมิงเฟยคอยจับตาดูข้างกายและห้ามปรามเขาไว้ เกรงว่าคงเกิดสถานการณ์ที่เกินควบคุมขึ้นมากมาย
“การที่เกิดเรื่องเช่นนี้กับคนในครอบครัวก็ย่อมมีอารมณ์เป็นธรรมดา ข้าเข้าใจความรู้สึกขององค์ชายรองดี”
จู่ ๆ หานโม่ฉือกล่าวก็กล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงชื่นชมต่อหลัวหมิงหล่าง ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเป็นถึงผู้บัญชาการของกองทัพเอลฟ์ ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้มากมาย
จากนั้นหลัวหมิงหล่างก็สงบสติอารมณ์ลงและนั่งลงตามเดิม
“สรุปก็คือหากต้องการจัดการกับปัญหาทั้งหมดนี้ พวกเราจะต้องตามหาต้นโพธิ์ในตำนานให้พบ ทว่าในเวลานี้พวกท่านก็ยังไม่มีเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับมันเลย”
เมื่อได้รับข้อมูลต่าง ๆ จากฉินอวี้โม่ หลัวหมิงเฟยก็ทำการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วและกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาก็ทราบถึงปริศนาความลึกลับของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่น้อยและตระหนักดีว่าการตามหามันมิใช่เรื่องง่ายเลย
“ถูกต้อง ในกรณีนี้ หากท่านไม่ขัดข้องสิ่งใดก็ช่วยส่งคนออกไปสืบเบาะแสเกี่ยวกับมันด้วยเถิด อีกอย่าง…ไม่ทราบว่าในชนเผ่าเอลฟ์มีสถานที่ที่พิเศษหรือสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ใดหรือไม่ รวมถึงมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในที่ใดหรือไม่ ตราบใดที่เราพบต้นโพธิ์นั้น แน่นอนว่าทุกอย่างจะได้รับการสะสางคลี่คลาย”
หลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยประจำการอยู่ที่กองทัพตลอดทั้งปี พวกเขาจึงทราบหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในกองทัพของพวกเขาก็มีสมาชิกเป็นจำนวนมากและกระจายตัวอยู่ในทุกซอกทุกมุมของชนเผ่าเอลฟ์ บางทีในหมู่คนเหล่านั้นอาจมีบางคนที่ทราบเกี่ยวกับสถานที่หรือสิ่งที่ประหลาดแตกต่างจากที่อื่น
“เอาล่ะ เราจะให้คนคอยจับตาดูไว้ หากเราพบเบาะแสใด เราจะรีบแจ้งให้พวกท่านทราบโดยเร็วที่สุด”
หลัวหมิงเฟยพยักศีรษะก่อนเตรียมวางแผนส่งคนในกองทัพออกไปสืบข้อมูลดังกล่าว
“เรือนน้ำชา โรงประมูลและอีกหลายแห่งล้วนเป็นแหล่งสืบข่าวที่ดี เราจะไปสำรวจดูว่ามีเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์หรือไม่ พวกท่านก็ต้องระวังตัวและจับตาดูความเคลื่อนไหวทางฝ่ายตู้ซีรั่วไว้ให้ดี อย่างน้อยภายในหนึ่งเดือนนี้ก็คงจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้น”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าไม่สามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองได้ เรื่องการจับตาดูความเคลื่อนไหวทางฝ่ายของตู้ซีรั่วจึงตกเป็นหน้าที่ขององค์ชายทั้งสอง นอกจากนี้ สิ่งที่ทั้งสองมีไม่ขาดมือก็คือกำลังคนและม้า พวกเขาน่าจะจับตาดูตู้ซีรั่วได้สะดวกมากกว่า
ภายในหนึ่งเดือนนี้ ทุกคนจะต้องคอยควบคุมมิให้เกิดปัญหาใดในชนเผ่าเอลฟ์ได้ มิฉะนั้นมันอาจส่งผลร้ายอย่างยิ่งต่อทั่วทั้งชนเผ่า
สองพี่น้องหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยก็มองหน้ากันก่อนพยักศีรษะอย่างจริงจัง พวกเขาจะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในหมู่เอลฟ์และไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายใดอย่างแน่นอน
“อีกอย่าง ทางด้านภูเขาเอลฟ์ หากท่านทำได้ก็ส่งคนไปคอยคุมค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นั่นด้วย คนของหลัวหมิงรุ่ยอยู่ที่นั่นตลอดเวลาและนั่นมิใช่เรื่องดีเลย หากมีใครเข้าไปสร้างความเสียหายที่นั่น มันจะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงต่อเรา”
ก่อนหน้านี้ หลัวจื้อเลี่ยก็ต้องการที่จะส่งคนไปคุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จุดทางเข้าของภูเขาเอลฟ์เช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ดีนักเพราะหลัวหมิงรุ่ยอาจใช้เรื่องนี้รายงานกับบรรดาผู้อาวุโสและทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หากคนของหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟยถูกส่งไปที่นั่น มันจะไม่มีปัญหาใด ต่อให้หลัวหมิงรุ่ยทราบเรื่อง เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็เป็นองค์ชายของชนเผ่าเอลฟ์เหมือนกันและการแก่งแย่งชิงดีกันเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่เป็นธรรม หากฝ่ายใดพ่ายแพ้เสียท่าไป ก็ทำได้เพียงกล่าวโทษที่ตนเองไม่ได้มีความสามารถที่มากพอและไม่อาจโทษใครอื่นได้
“เอาล่ะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
หลัวหมิงหล่างพยักศีรษะและรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ตอนนี้หัวใจของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยโทสะและไม่มีที่ระบาย เพราะเหตุนั้นเขาจึงยินดีที่จะใช้ลิ่วล้อของหลัวหมิงรุ่ยเป็นที่ระบายในครานี้
“พี่รอง ระวังตัวด้วยล่ะ”
หลัวหมิงเฟยกล่าวโดยที่ไม่ขัดขวางหลัวหมิงหล่างแต่อย่างใด พี่รองของเขาเป็นบุคคลที่พึ่งพาและไว้วางใจได้ ตราบใดที่ปล่อยให้เขาลงมือจัดการ รับประกันได้ว่าแม้แต่หลัวหมิงรุ่ยก็จะทำอะไรไม่ถูก
“อวี้โม่ โม่ฉือ ข้าจะพาพวกท่านออกไปสืบหาข่าวรอบ ๆ เมืองราชวงศ์เอง ถึงอย่างไรพวกท่านก็ยังไม่คุ้นเคยกับชนเผ่าเอลฟ์และไม่ทราบว่าสถานที่ใดเป็นที่สืบข้อมูลที่ดี ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย มันจะได้สะดวกมากขึ้น”
หลัวหมิงเฟยเสนอที่จะออกไปสืบหาเบาะแสเพิ่มเติมกับกลุ่มของฉินอวี้โม่
แน่นอนว่าพวกนางไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด หากมีหลัวหมิงเฟยอยู่ด้วย การดำเนินการต่อไปก็จะสะดวกขึ้นมากเป็นแน่
ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ทุกคนก็แยกย้ายกันออกเป็นสองกลุ่ม หลัวหมิงหล่างนำคนส่วนหนึ่งตรงไปที่ภูเขาเอลฟ์ในขณะที่หลัวหมิงเฟยนำทางฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่ามุ่งหน้าไปที่ศูนย์การค้าของเมืองราชวงศ์
…..
ในขณะเดียวกันนี้ ใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งเป็นช่องทางที่นำไปสู่ดินแดนเทพมายา
เขาคือบุรุษรูปงามผู้มีรอยยิ้มอ่อนประดับบนใบหน้าซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงสายลมอ่อนๆของฤดูใบไม้ผลิ
เขาหยุดเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวครู่หนึ่งก่อนเหาะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของชนเผ่าเอลฟ์….