อารามและวิหารแห่งความมืดจัดเป็นสองขุมกำลังที่ลึกลับของดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ พวกเขาเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลจนผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต้องเกรงกลัว
กล่าวกันว่าทั้งสองขุมกำลังดังกล่าวนี้ล้วนมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นสำนักต่าง ๆ หรือตระกูลใหญ่ต่างก็ยำเกรงพวกเขา แม้แต่ราชวงศ์ของจักรวรรดิใหญ่ก็ยังถือว่ามีอำนาจด้อยกว่าขุมกำลังทั้งสอง
ทั้งอารามและวิหารแห่งความมืดไม่ได้มีจำนวนสมาชิกมากมายนัก ทว่าสมาชิกแต่ละคนกลับล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ทั้งสองขุมกำลังจัดเป็นมหาอำนาจแห่งดินแดนหวงหลิงนี้และไม่มีขุมกำลังใดเลยในแผ่นดินที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีศิษย์หรือสาวกคนใดของอารามและวิหารแห่งความมืดเลยที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่ง
ในครั้งนี้ ลิ่วเยว่ ผู้เป็นหลานชายของผู้อาวุโสแห่งอารามได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองของเมืองเยว่กวาง ลิ่วเยว่ผู้นี้นั้น ในอารามเขานับเป็นมีพรสวรรค์ค่อนข้างดีผู้หนึ่ง เวลานี้อายุของเขาเพิ่งจะสิบแปดปี ทว่ากลับเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราแล้ว เท่านั้นยังไม่พอเขายังครอบครองอสูรเทวะเจ็ดดาราเอาไว้อีกด้วย
ฉินอวี้โม่และแขกคนอื่น ๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำนั่งรอกันอยู่พักใหญ่ จากเฝ้ารอและพูดคุยกันตามปกติก็เริ่มหมดหัวข้อสนทนาและเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่าย จนกระทั่งหลาย ๆ คนมีท่าทีให้เห็นว่าเริ่มหมดความอดทนแล้ว และเป็นตอนนั้นเองที่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอย่างช้า ๆ
คนผู้นั้นเป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงิน และน่าจะมีอายุราว ๆ สิบแปดถึงสิบเก้าปี ถึงแม้จะเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วกลับดูคล้ายเป็นผู้ที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย หน้าตาของแขกผู้มาใหม่นี้ค่อนข้างหยาบกระด้างไม่ชวนมองเท่าไหร่นักอีกทั้งแววตาของเขาก็พร่ามัวไม่สดใส ดูจากภายนอกแล้วก็มิน่าใช่คนที่ชวนคบหาเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับตัวแทนจากอารามก่อนจะนั่งลง ซึ่งการที่เขานั่งลงตรงตำแหน่งนั้นก็บ่งชี้ว่าเขาคงจะเป็นลิ่วเยว่ตัวแทนจากอารามที่ทุกคนกำลังนั่งรอกันอย่างแน่นอน
“ขออภัยที่มาสาย”
ลิ่วเยว่เอ่ยขออภัย ทว่าภายในน้ำเสียงกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย
เมื่อได้ยินคำพูดสั้นห้วนรวมถึงน้ำเสียงของลิ่วเยว่ บรรดาแขกของงานเลี้ยงต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้… บุรุษที่มาจากอารามผู้นี้ช่างหยิ่งยโสมากจริง ๆ
“ท่านเจ้าเมืองหากมีอะไรจะกล่าวก็ขอให้รีบหน่อย เพราะข้าผู้นี้ยุ่งมาก”
ลิ่วเยว่กวาดสายตามองแขกเหรื่อทั้งหลายที่กำลังชักสีหน้าและใช้แววตาไม่พอใจจับจ้องมาที่ตัวเขา ทว่าบุรุษผู้มาจากขุมกำลังทรงอิทธิพลกลับไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา เขาหันหน้าไปมองท่านเจ้าเมืองอีกครั้งราวกับต้องการกดดันให้อีกฝ่ายรีบกล่าวเปิดงาน
ทว่าในระหว่างที่กำลังหันหน้ากลับไปนั้น สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับร่างอรชรของสตรีผู้หนึ่งที่ฝั่งตรงข้าม ลิ่วเยว่ที่บังเอิญเหลือบไปฉินอวี้โม่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปจ้องมองนางด้วยแววตาตกตะลึง
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก! ”
บุรุษผู้มาจากอารามมองดูฉินอวี้โม่พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นอย่างไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
‘สวมอาภรณ์ยาวสีขาว…ผิวเรียบเนียนดุจไข่มุก…ขาวเปล่งปลั่งดั่งหิมะบนยอดเขา…ใบหน้าสดใสงดงามราวกับดอกท้อ…ดวงตาเนื้อทรายเป็นประกายเฉิดฉาย…และคิ้วเรียวรูปใบหลิวดูงามสง่า…อีกทั้งยังดูมีกลิ่นอายแห่งสตรีชั้นสูง…นางคือหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพเซียน’
ลิ่วเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เกรงใจผู้ใดก่อนจะเดินตรงเข้าไปสตรีโฉมงามในความคิดของเขา
“แม่นางคนงามผู้นี้มีนามว่าอะไร ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติผูกมิตรไมตรีกับข้าได้รึไม่? ”
ถึงแม้วาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยจะราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขอ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันคือคำสั่งที่ห้ามมีข้อแม้ คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่มาจากอาราม หากเขาต้องการผูกไมตรี ไม่ว่าจะกับใคร คนผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เพราะพวกเขาเองจะถือว่าอีกฝ่ายก็ควรจะต้องยินดีและมีความสุขที่ได้เป็นสหายกับคนจากอารามอย่างพวกเขา
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่จ้องมองมาของชายผู้นี้แล้ว ทว่าในเวลานั้นนางไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าหน้าด้านลุกเดินมาหานางถึงที่เช่นนี้
ฉินอวี้โม่เงยหน้าขึ้นมามองลิ่วเยว่ที่แสร้งตีหน้าเป็นสุภาพบุรุษชั้นสูง นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเหมือนป่วยไข้ ….มากกว่านี้อีกนิด ‘เธอ’ ต้องอ้วกออกมาแน่ !
คนผู้นี้กำลังส่งสายตาหื่นกระหายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเป็นผู้ที่ไร้มารยาทอย่างมากราวกับไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน
“ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สนใจ”