ประธานสมาคมช่างหลอมของดินแดนเทพมายามีนามว่า ‘เฉินโหยว’ เขามีอายุหลายร้อยปีแล้ว และแม้ว่าจะมีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น ทว่าทักษะการหลอมของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครในดินแดนมองข้ามได้
กล่าวกันว่าเมื่อร้อยปีก่อน เฉินโหยวก็เป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์และเป็นประธานของสมาคมช่างหลอมแล้ว หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ในตอนนี้ไม่มีใครทราบได้ว่าทักษะการหลอมของเขาพัฒนาไปมากเพียงใด
ทุกคนทราบดีว่าในสถานการณ์ปกตินั้นเฉินโหยวมักจะไม่หลอมสิ่งใดขึ้นมา ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือหลอมขึ้นมา สิ่งที่ถูกหลอมจากมือของเขาจะกลายเป็นสิ่งที่สามารถสั่นคลอนไปทั้งดินแดน ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจะแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ได้มันมาครอง
“ในอดีตท่านประธานเฉินโหยวเคยสยบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้และผสมผสานเข้ากับมันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ส่งผลให้เพลิงนั้นกลายเป็นอาวุธคู่กายของเขา กล่าวกันว่าทักษะการหลอมอุปกรณ์ของเขาบรรลุถึงสภาวะในตำนานอย่างสภาวะฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว นอกจากผู้นำของเกาะวายุนิ่ง เขาก็น่าจะเป็นช่างหลอมที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพมายาแห่งนี้”
อวิ๋นเฟิงกล่าวขึ้นเบา ๆด้ วยน้ำเสียงชื่นชมต่อเฉินโหยวอย่างชัดเจน ในฐานะช่างหลอม เป็นธรรมดาที่เขาจะชื่นชมช่างหลอมที่เก่งกาจมากฝีมือ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในฝีมือการหลอมของตนเองพอสมควร ทว่ามันก็ยังด้อยกว่าเฉินโหยวและผู้นำเกาะวายุนิ่งอีกหลายขุม
และในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ ยอดฝีมือช่างหลอมเพียงสองคนที่อวิ๋นเฟิงรู้สึกชื่นชมจากใจจริงก็มีเพียงแค่เฉินโหยวและผู้นำเกาะวายุนิ่งเท่านั้น
“โอ้ ? ว่าแต่ระหว่างผู้นำของเกาะวายุนิ่งและประธานเฉินโหยว ใครมีฝีมือเก่งกาจมากกว่ากันรึ ?”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของอวิ๋นเฟิง ฉินอวี้โม่ก็นึกสนใจขึ้นมา นางเองก็เป็นช่างหลอมอุปกรณ์ เป็นธรรมดาที่นางจะให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้ ทักษะการหลอมในปัจจุบันของนางก็ถือว่าไม่ได้อ่อนแอเลย นอกจากนี้การที่มีตัวช่วยพิเศษอย่างเพลิงจักรพรรดิของซิวอยู่นั้น นางก็อาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินโหยวและผู้นำเกาะวายุนิ่งมากนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็ไม่ได้รู้เรื่องนัก แต่กล่าวกันว่าผู้นำของเกาะวายุนิ่งเคยหลอมอาวุธชิ้นหนึ่งที่สามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้และนั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทักษะของเขายอดเยี่ยมเพียงใด”
อวิ๋นเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
ขอบเขตสูงสุดของศาสตร์การหลอมอุปกรณ์ก็คือการที่สามารถหลอมอุปกรณ์ที่มีจิตวิญญาณเป็นของตนเองและมีความสามารถในการจำแลงร่างมนุษย์ได้ ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้นำของเกาะวายุนิ่งที่หลอมอุปกรณ์ทรงพลังเช่นนั้นได้ เฉินโหยว—ประธานสมาคมช่างหลอมก็เคยหลอมขึ้นมาได้หนึ่งชิ้นเช่นกัน
เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงถือว่าเป็นช่างหลอมที่ทรงพลังที่สุดสองคนของดินแดนเทพมายา
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเกิดความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้นำเกาะวายุนิ่งมากขึ้น นางทราบดีว่าความสามารถในการหลอมอุปกรณ์ในระดับนั้นบ่งบอกถึงพลังของช่างหลอมได้ดีเช่นกัน ทั้งผู้นำของเกาะวายุนิ่งและประธานสมาคมช่างหลอมล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังซึ่งคู่ควรแก่การเคารพชื่นชมและนางสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้
“อีกอย่าง… ข้าได้ยินมาว่าสหายน้อยอวี้โม่เองก็เป็นช่างหลอมฝีมือดีเช่นกัน ไม่ทราบว่าตอนนี้ฝีมือของท่านอยู่ในระดับใดรึ ?”
อวิ๋นเฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมที่เก่งกาจ เพียงแต่ไม่ทราบว่าทักษะการหลอมของนางพัฒนาขึ้นไปถึงระดับใด
“ท่านจอมยุทธ์อวิ๋นเฟิงจะได้ทราบในไม่ช้า”
ฉินอวี้โม่ไม่ตอบอีกฝ่ายโดยตรงทว่ากล่าวอย่างมีเลศนัย นางเองก็ไม่ทราบว่าตอนนี้ทักษะและพลังการหลอมอุปกรณ์ของตนบรรลุระดับใด
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยมของฉินอวี้โม่ อวิ๋นเฟิงก็เพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่เอ่ยถามให้มากความ ฉินอวี้โม่ผู้นี้มักจะทำให้เขารู้สึกถึงความลึกลับและยากเกินหยั่งถึงอยู่ตลอดเวลา และในตอนนี้เมื่อได้พบกันหลังจากผ่านไปหลายปีนั้น ความรู้สึกเหล่านั้นก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกได้ว่าทักษะการหลอมของฉินอวี้โม่มิได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย อีกทั้งยังอาจจะเหนือชั้นกว่าเขาด้วยซ้ำ
เวลานี้ เฉินโหยวยืนผงาดอยู่บนแท่นยกสูงในลานจัตุรัสซึ่งด้านหลังของเขาเป็นบรรดาสมาชิกของสมาคมช่างหลอมที่มากฝีมือทั้งหลาย
สมาชิกผู้ที่อายุน้อยที่สุดคือศิษย์เอกของเฉินโหยวและมีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนเทพมายาพอสมควร เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เฉินโหยวรับเลี้ยงมาซึ่งมีนามว่า ‘เฉินซิน’ และเป็นบุรุษหล่อเหลาผู้มีอายุอยู่ในช่วงวัยสามสิบปีเท่านั้น
พรสวรรค์ด้านการหลอมของเฉินซินถือว่ายอดเยี่ยมจนน่าทึ่งซึ่งเหนือชั้นยิ่งกว่าเฉินโหยวเสียอีก ด้วยอายุเพียงสามสิบปีเศษ ๆ เขาก็เป็นถึงช่างหลอมระดับปรมาจารย์แล้วและยังมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นของตนเองเช่นกัน กล่าวได้ว่าเขาเป็นศิษย์ที่มีโอกาสจะพัฒนาเหนือกว่าอาจารย์จริง ๆ และเป็นศิษย์รักที่เฉินโหยวภาคภูมิใจมากที่สุด
นอกเหนือจากเฉินซินผู้นี้ ผู้อาวุโสเจ็ดคนของสมาคมช่างหลอมก็ล้วนเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์และทรงพลังอย่างยิ่ง และเป็นเพราะมีผู้อาวุโสทรงพลังเจ็ดคนนี้ สมาคมช่างหลอมจึงเลื่องชื่อเทียบได้กับเกาะวายุนิ่งและไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
“ขอบคุณทุกท่านที่เดินทางมาถึงเมืองซิ่งหัวและตอบรับการเรียกรวมพลช่างหลอมของข้า ข้าผู้นี้ซาบซึ้งและขอบคุณทุกท่านจากใจจริง”
เฉินโหยวยิ้มและกล่าววาจาอย่างสุภาพ แม้เขาเป็นช่างหลอมระดับสูงอันดับต้น ๆ ของดินแดนซึ่งแม้แต่ผู้ที่เป็นถึงผู้นำของขุมกำลังใหญ่ ๆ อย่างวิหารทมิฬก็ยังต้องเกรงใจเขา อย่างไรก็ตาม เฉินโหยวก็ยังเป็นคนอ่อนน้อมและไม่ยกตนข่มผู้ใดเพียงเพราะสถานะของตนเอง
“ท่านประธานสมาคมช่างสุภาพยิ่งนัก นี่เป็นเกียรติของพวกเราต่างหากที่ได้มาช่วยสมาคมช่างหลอม”
ว่านเจียงยืนขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สำหรับโอกาสที่ดีในการผูกมิตรไมตรีกับสมาคมช่างหลอมเช่นนี้ ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายไม่ยอมพลาดอย่างแน่นอน
“ท่านประธานเฉิน เดิมทีผู้นำของพวกเราก็ต้องการที่จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทว่าเป็นเพราะในช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับหลอมอุปกรณ์บางอย่าง ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บตัวจดจ่อสมาธิและออกมาไม่ได้ ข้าจึงเป็นตัวแทนมาร่วมงานรวมพลครานี้ หวังว่าท่านประธานเฉินจะไม่ขัดข้อง”
ตัวแทนจากเกาะวายุนิ่งในครานี้คือชิงตาน—ผู้อาวุโสรองของเกาะวายุนิ่งซึ่งเป็นช่างหลอมทรงพลังฝีมือดีรองลงมาจากผู้นำขุมกำลัง เขาเป็นผู้ที่ทุกคนในเกาะวายุนิ่งให้ความเคารพนับถือ
ผู้ที่อยู่ถัดจากเขาก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีปัญหาขัดแย้งกับหานซื่อที่โรงประมูลซิ่งหัวก่อนหน้านี้
เมื่อบุรุษผู้นั้นสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เขาก็ส่งยิ้มทักทายด้วยท่าทางสุภาพทันที
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสั่งสอนบทเรียนให้กับหานซื่ออย่างสาสมแล้ว แม้มิได้ทำเพื่อเขา แต่บุรุษวัยกลางคนก็รู้สึกโล่งใจและสดชื่นขึ้นมาก สำหรับจอมยุทธ์ลึกลับทั้งสองคนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกประทับใจอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ น้องตานกล่าววาจาสุภาพเกินไปแล้ว”
เฉินโหยวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมช่างหลอมและเกาะวายุนิ่งเป็นไปด้วยดียิ่งนัก
“เพียงแค่การที่เจ้ามาด้วยตัวเอง ชายแก่ผู้นี้ก็ซาบซึ้งใจยิ่งนักแล้ว”
เฉินโหยวยิ้มและกล่าวเสริมอีกประโยค แม้เกาะวายุนิ่งและสมาคมช่างหลอมจะมีความสัมพันธ์เชิงคู่แข่ง ทว่าทั้งสองฝ่ายก็เป็นมิตรที่ดีต่อกันอย่างยิ่ง เขาเคยพบปะพูดคุยกับผู้นำเกาะวายุนิ่งหลายครั้งหลายคราและทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความชื่นชมต่อกันและกัน
“ท่านประธานเฉินโหยว ไม่ทราบว่าผู้ที่ส่งจดหมายท้าดวลมาสู่สมาคมช่างหลอมคือผู้ใดรึ ? ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ทางสมาคมกังวลถึงเพียงนี้ได้”
ใครคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ นับตั้งแต่มาถึงที่นี่ เขาก็ยังไม่เห็นผู้ที่ส่งจดหมายท้าดวลที่ว่านั้นเลย
คนอื่น ๆ ก็มองเฉินโหยวด้วยความสงสัยเช่นกันก่อนกวาดสายตามองรอบลานจัตุรัสทว่าไม่พบขุมกำลังที่แปลกประหลาดหรือผิดปกติแต่อย่างใด
“ฮ่า ๆ ๆ เชื่อว่าพวกเขาใกล้จะมาถึงแล้ว”
เฉินโหยวยิ้มและความระแวดระวังฉายชัดในแววตา หากมิใช่เพราะผู้ที่ส่งจดหมายท้าดวลครานี้ลึกลับและซับซ้อนเกินไป เขาก็คงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนถึงเพียงนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้คนของดินแดนเทพมายา ดูเหมือนว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอนาน !”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนคนสวมหน้ากากและเสื้อคลุมสีดำจะปรากฏกายกลางอากาศ กลิ่นอายจากร่างของพวกเขาประหลาดยิ่งนักและมีพลังความแข็งแกร่งในระดับที่ไม่สามารถสัมผัสได้ อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายและสภาวะพลังชั่วร้ายที่แผ่ออกมาก็ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกขวัญผวา
“พลังของบุปผาแห่งความมืด”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว จู่ ๆ เสี่ยวม่านก็รู้สึกถึงบางอย่างและกล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
ฉินอวี้โม่ได้ยินวาจาของอสูรสาวและสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที
‘บุปผาแห่งความมืด’ คือสิ่งที่คนของฝ่ายมารขโมยไปก่อนหน้านี้ บัดนี้กลุ่มคนชุดดำมีกลิ่นอายของสิ่งนั้น นางไม่มีความจำเป็นต้องคาดเดาถึงตัวตนของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ พวกเขาจะต้องเป็นสมาชิกของขุมกำลังมารร้ายอย่างแน่นอน
“เหอะ มากันเพียงไม่กี่คน หาที่นั่งลงก่อนเถอะ มันคงจะไม่สบายตัวนักหากต้องยืนอยู่กลางอากาศเช่นนั้น”
เฉินโหยวยิ้มอ่อนและดูเหมือนว่าเขาคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้นานแล้ว น้ำเสียงของเขาราบเรียบเฉยเมยทว่ามันก็แอบแฝงไปด้วยความหมายของการที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ต่อให้คนจากฝ่ายมารมาถึงเมืองซิ่งหัวเพื่อก่อความวุ่นวาย พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเมือง แม้ว่าคนชุดดำเหล่านี้จะทรงพลังอย่างยิ่ง พวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าน่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด
“โอ้ ขอบคุณประธานเฉิน”
ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มสมาชิกฝ่ายมารกล่าวและแสยะยิ้มเย้ยหยัน เมื่อเห็นที่ว่างใกล้กับว่านเจียงและคนอื่น ๆ เขาก็ลดระดับลงเหยียบพื้นดินและเดินเข้าไปนั่งลง
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นนั่งลงใกล้กับว่านเจียง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก และเมื่อไตร่ตรองดูพวกนางก็พบว่าที่นั่งว่างเหล่านั้นก็ถูกสงวนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป
“ฮ่าๆ ๆ ในเมื่อพวกเจ้าส่งจดหมายท้าดวลมาก่อน เหตุใดจะต้องปิดบังตัวตนกันเช่นนี้ ? พวกเราหลายคนยังคงจดจำพวกเจ้าขุมกำลังมารร้ายได้และไม่เคยลืมเลือน”
อวิ๋นเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่ายในทันที
เมื่อได้ยินตัวตนของคนเหล่านั้นจากปากของอวิ๋นเฟิง หลายคนก็นิ่งเงียบไป
“ข้าก็ได้ยินมานานแล้วว่าจอมยุทธ์อวิ๋นเฟิงแห่งนครเวหาไม่ใช่บุรุษที่ธรรมดา ทว่าเมื่อพบกันในตอนนี้ มันก็ยังทำให้พวกเราประหลาดใจไม่น้อย”
บุรุษผู้นั้นยิ้มกริ่มทว่ายอมรับตัวตนอย่างว่าง่าย
เมื่อได้ยินว่ากลุ่มคนชุดดำแท้จริงแล้วคือสมาชิกของฝ่ายมาร สีหน้าของหลายคนในที่นี้ก็เปลี่ยนไปเป็นความกังวล
“ที่แท้พวกเขาก็เป็นสมาชิกของฝ่ายมารนี่เอง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกแล้ว”
ใครบางคนกระซิบกระซาบขณะสายตามองไปที่กลุ่มคนชุดดำด้วยแววตาหวาดกลัว
“ไม่ต้องกังวลไป… พวกเขามากันเพียงไม่มากและครั้งนี้พวกเขาก็มาเพื่อท้าดวลกับสมาคมช่างหลอม ข้าคิดว่าพวกเขาเพียงจะประชันฝีมือการหลอมเท่านั้นและจะไม่ต่อสู้กัน”
อีกคนพยายามกล่าวปลอบใจทั้งสหายและตนเอง ขุมกำลังมารร้ายเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งและเพียงชื่อนั้นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้แล้ว
“ในเมื่อเจ้าประกาศท้าดวลกับสมาคมช่างหลอมของเรา จากนั้นก็นำช่างหลอมของพวกเจ้าออกมาเถอะ และกล่าวมาว่าพวกเจ้าต้องการแข่งขันอย่างไร พวกข้าจะได้คิดหาทางรับมืออย่างเต็มที่”
เฉินโหยวไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลาและกล่าวตรงเข้าประเด็นทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ประธานเฉินโหยว…ช่างหลอมของเราอยู่ที่นี่มาตลอดมิใช่หรือ ?”
ชายชุดดำจากฝ่ายมารยิ้มกริ่มทว่าเฉินโหยวและคนอื่น ๆ ตกตะลึงจนพูดไม่ออกทันที
ทุกคนหันขวับมองไปรอบ ๆ ลานจัตุรัสทันที ทว่าเมื่อไม่เห็นผู้ใดแสดงตัว ทุกคนก็ฉงนสงสัยยิ่งกว่าเดิม
สายตาของฉินอวี้โม่เลื่อนมองไปที่แท่นสูงโดยสัญชาตญาณ นางรู้สึกมาเสมอว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
จากนั้นเพียงครู่เดียว ใครคนหนึ่งบนแท่นสูงก็ยืนขึ้นมาซึ่งทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที…
.