ในอดีต หลี่ก่วนถูกจับตัวโดยคนของเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่คิดร้ายและหมายจะจัดการนางกับฉินอวี้โม่
ทว่าเพื่อมิให้เยี่ยเสี่ยวตี๋ใช้ตนเป็นเครื่องมือข่มขู่ฉินอวี้โม่ หลี่ก่วนก็เตรียมใจไว้แล้วว่าต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต นางก็ไม่ยอมให้ฉินอวี้โม่ต้องเดือดร้อนไปกับตน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาวิกฤต จู่ ๆ ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยชีวิตนางไว้
‘ผู้เฒ่าเซียวเหยา’ เป็นคนลึกลับยากเกินหยั่งถึงยิ่งนัก สำหรับพลังความแข็งแกร่งของเขา แม้แต่ฉินเทียนที่เป็นศิษย์ก็ไม่อาจทราบอย่างแน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งที่อยู่ของเขาก็ไม่แน่ชัดและลึกลับไม่ต่างกัน
สถานที่ที่ผู้เฒ่าเซียวเหยาใช้ฝึกฝนบ่มเพาะก็มีชื่อว่า ‘หุบเขาสราญรมย์’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลึกลับอย่างที่สุด หากฉินเทียนเดาไม่ผิด เขาเชื่อว่าหุบเขาดังกล่าวน่าจะอยู่ในมิติพิเศษ มิใช่ในดินแดนใดดินแดนหนึ่ง
ซึ่งในตอนนั้นเขาก็ช่วยชีวิตหลี่ก่วนไว้และพานางไปที่หุบเขาลึกลับแห่งนั้น
ผู้เฒ่าเซียวเหยาทราบถึงความคิดของหลี่ก่วนจึงให้นางพักอยู่ที่หุบเขาสราญรมย์ต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่นางสามารถปกป้องตัวเองได้และไม่ทำให้ฉินอวี้โม่เดือดร้อน นางจึงจะสามารถออกมาจากหุบเขานั้นได้
แน่นอนว่าหลี่ก่วนตอบตกลงโดยไม่ลังเลและอยู่ที่นั่นมาตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
แม้ชีวิตแต่ละวันในหุบเขาจะไม่มีสีสันมากนัก หลี่ก่วนก็ไม่เบื่อหน่ายแต่อย่างใด ผู้เฒ่าเซียวเหยาช่วยนางพักฟื้นร่างกายและฟื้นฟูกลับสู่ความแข็งแกร่งเดิมในตอนนั้นก่อนที่นางจะเริ่มฝึกวิชาอย่างจริงจัง
ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าเซียวเหยาจะไม่รับศิษย์เพิ่ม หุบเขาสราญรมย์ของเขาก็เต็มไปด้วยทรัพยากรและสมบัติมากมายรวมถึงคัมภีร์ทักษะยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ห้ามมิให้หลี่ก่วนใช้สิ่งเหล่านั้น อีกทั้งยังช่วยชี้แนะนางให้ฝึกฝนไปในทิศทางที่ถูกต้อง
แม้พรสวรรค์ของหลี่ก่วนในตอนนั้นจะเป็นเพียงระดับทั่วไป แต่นางก็ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก หลังจากผ่านมาหลายปี การฝึกฝนของนางดำเนินไปเรื่อย ๆ จนในตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางก็บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นแล้ว
เดิมทีนางตั้งใจที่จะฝึกวิชาจนบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงก่อนมาพบฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทว่าครานี้ผู้เฒ่าเซียนเหยาก็เหมือนจะมีลางบอกเหตุบางอย่างซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในดินแดนในอนาคต เพราะเหตุนั้นเขาจึงส่งหลี่ก่วนมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อแจ้งให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ทราบเป็นการล่วงหน้า
ผู้เฒ่าเซียวเหยาสั่งให้หลี่ก่วนแจ้งข่าวให้ฉินอวี้โม่ทราบว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในดินแดนนี้ในอีกสามปีข้างหน้า หลายชนเผ่าจะตกอยู่ในอันตรายของการสูญพันธุ์ เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จะต้องหาทางช่วยชนเผ่าเหล่านั้นข้ามผ่านสถานการณ์อันยากลำบากไปให้ได้ ฝ่ายมารยังไม่อาจถูกกำจัดได้ในตอนนี้ เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จึงยังไม่ต้องประจันหน้ากับพวกเขาในการต่อสู้ชี้ชะตาในช่วงนี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและเตรียมความพร้อมครบถ้วนรอบคอบแล้วจึงค่อยทำการต่อสู้กับฝ่ายมาร
ผู้เฒ่าเซียวเหยาแจ้งข่าวมาเพียงแค่นี้โดยไม่ได้บอกรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงกับหลี่ก่วน เขาเพียงกำชับว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ห้ามเปิดเผยต่อผู้อื่น ผลลัพธ์หลายอย่างถูกควบคุมโดยความคิดและการตัดสินใจของฉินอวี้โม่ ฉะนั้นแล้วนางจะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจสิ่งใด
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าใจมากขึ้นเล็กน้อยทว่าก็ยังไม่ชัดเจนนัก หลายชนเผ่าจะเผชิญกับอันตรายของการสูญพันธุ์ และไม่ว่าอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องช่วยพวกเขาอย่างนั้นหรือ…?
หลายชนเผ่าที่ผู้เฒ่าเซียวเหยากล่าวถึงนั้นนอกเหนือจากหมู่มวลมนุษย์คือชนเผ่าเอลฟ์ ชนเผ่าอสูรและเป็นไปได้ว่านั่นอาจรวมถึงชนเผ่ามายาและเผ่าโบราณอย่างสี่ตระกูลลับ
ชนเผ่าเหล่านี้ล้วนลึกลับและความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ถือว่าไม่อ่อนแอเลย หากกล่าวว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ฉินอวี้โม่ก็ไม่ทราบเลยว่าจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ทราบด้วยซ้ำว่าชนเผ่าเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชนเผ่าเอลฟ์และเผ่าอสูรที่ลึกลับ การตามหาที่ตั้งของชนเผ่าทั้งสองเป็นภารกิจที่ยากยิ่งนัก
ต่อให้นางและคนอื่น ๆ ต้องการช่วยเหลือพวกเขา มันก็ต้องดำเนินไปตามขั้นตอนทีละขั้น ๆ
“ผู้เฒ่าเซียวเหยาสั่งให้ข้านำแผนที่มาให้โดยกล่าวว่าเขาได้ทำเครื่องหมายบางจุดในแผนที่ไว้แล้ว ซึ่งเป็นพิกัดอย่างคร่าว ๆ ของเผ่าอสูร ชนเผ่าเอลฟ์และเผ่าอื่น ๆ สำหรับทางเข้าที่แท้จริงนั้นเขาเชื่อว่าเจ้าจะหามันได้เอง”
หลี่ก่วนหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมาและยื่นให้กับฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เปิดดูโดยเร็วและพบว่ามีเครื่องหมายจุดสีแดงบนแผนที่หลายจุดตามที่คาดไว้ จุดสีแดงเหล่านี้หมายถึงพิกัดของเผ่าต่าง ๆ ที่ผู้เฒ่าเซียวเหยากล่าวถึง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากมองสำรวจอย่างคร่าว ๆ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะตอบรับ
เห็นทีจะยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่นางต้องทำ เดิมทีฉินอวี้โม่คิดว่าจะมีเวลาผ่อนคลายอีกสักระยะหนึ่ง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะต้องเร่งฝึกยุทธ์พัฒนาฝีมือเสียแล้ว
หลังจากสนทนากันพักใหญ่ หลี่ก่วนก็เล่นสนุกกับเด็กน้อยทั้งสองและเสี่ยวโร่วอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวต่อไป ในขณะที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก้าวออกไปข้างนอก
การเตรียมการต่าง ๆ ของสมาคมช่างหลอมแทบจะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะทำให้หลายคนกล่าวถึงสมาคมช่างหลอมในทางที่ไม่ดีนัก ทว่าเมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่เข้ารับตำแหน่งประธานสมาคมคนใหม่ คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็ค่อย ๆ หายไป
ความจริงที่ว่าฉินอวี้โม่เป็นเทพมายาคนใหม่ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและความโกลาหลในดินแดน อีกทั้งการแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมของนางในเมืองซิ่งหัวก็ทำให้ผู้คนชื่นชมนางเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้มีจอมยุทธ์อิสระจำนวนมากที่รวมตัวกันในดินแดนทางเหนือด้วยความต้องการเข้าร่วมพันธมิตรดินแดนเหนือของนาง
เหตุการณ์นี้ทำให้ซวงเสวี่ย ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ในดินแดนทางเหนือมีงานล้นมือและถึงกับถอนหายใจเบา ๆ ให้กับอิทธิพลของผู้นำอย่างฉินอวี้โม่
หลังจากใช้เวลาอยู่สมาคมช่างหลอมอีกสองวัน ฉินเทียนและคนอื่น ๆ ก็ต้องกล่าวร่ำลาและแยกจากฉินอวี้โม่อย่างไม่เต็มใจนัก
ฉินอวี้โม่มีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการ และพวกเขาเองก็เช่นกัน ในเมื่อฉินอวี้โม่ผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้สำเร็จและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ ฉินเทียนก็ตัดสินใจที่จะใช้พลังความสามารถของตนเพื่อผนึกกำลังดินแดนทางใต้เช่นกัน ในเมื่อบุตรสาวของเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แล้วเขาจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร
การที่ได้พบปะกันในช่วงสั้น ๆ และต้องแยกจากกันเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนต่างก็ไม่เต็มใจนัก ทว่าเนื่องจากทราบดีว่าการแยกจากกันสั้น ๆ นี้ก็เพื่อการอยู่ร่วมกันที่ยาวนานในอนาคต พวกเขาจึงรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก
ฉินอี้เฟยก็แยกตัวกลับไปที่เรือนกระจกน้ำแข็งเช่นกัน ที่นั่นยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องกลับไปสะสาง
ส่วนเสี่ยวโร่วก็ต้องกลับไปที่จวนตระกูลเหมยเพื่อเตรียมความพร้อมในการพาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าไปในจวนตระกูลหานในอีกครึ่งปีข้างหน้า
สำหรับหลินจิ้งหงและคนอื่น ๆ พวกเขาก็ต้องกลับไปที่นครล่าฝันเช่นกันเพื่อรายงานต่ออธิการมู่อวิ๋นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวครานี้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือรอที่จะจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่นี่ให้เสร็จสิ้นก่อน หลังจากนั้นทั้งสองจะเดินทางไปที่นครล่าฝันเป็นอันดับแรก ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของสหายเก่าแก่มากมายและแน่นอนว่าทั้งสองต้องการพบกับพวกเขาเหล่านั้น
หลี่ก่วนยังไม่ได้จากไปไหนและประจวบเหมาะกับการที่เด็กทั้งสองยังต้องมีคนดูแล นางจึงอยู่ต่อในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อดูแลฉินอ้ายฉือและหานอ้ายโม่
หลังจากนั้นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็อยู่ในเมืองซิ่งหัวต่ออีกสองวันก่อนที่จะมุ่งหน้าออกไปจากเมืองซิ่งหัว ซึ่งในระหว่างนี้นางก็ช่วยสมาคมช่างหลอมหลอมอุปกรณ์ขึ้นมาเป็นจำนวนหนึ่งเช่นกัน
และแน่นอนว่าก่อนที่ทุกคนจะแยกจากกันไป ฉินอวี้โม่ได้หลอมอุปกรณ์สื่อสารและมอบให้กับพวกเขาแล้ว ด้วยวิธีนี้ ต่อให้แยกจากกันไกลเพียงใด พวกเขาก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกสบาย
หลังออกจากเมืองซิ่งหัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็วางแผนที่จะมุ่งหน้าตรงไปที่นครล่าฝันทันที เมืองซิ่งหัวตั้งอยู่ไกลจากนครล่าฝันพอสมควร ต่อให้มุ่งหน้าตรงไปอย่างเต็มความสามารถก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน
ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้ ภูมิภาคกลางคืออาณาเขตที่กว้างใหญ่ที่สุด แม้แต่พรมแดนทั้งสี่อย่างทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตกก็อาจไม่กว้างใหญ่เทียบเท่ากับภูมิภาคกลาง
ทันทีที่พ้นจากอาณาบริเวณของเมืองซิ่งหัว ทั้งสองก็ได้รับจดหมายเชิญจากนครเวหาซึ่งระบุว่าจ้าวนครเวหาอวิ๋นซื่อเทียนต้องการให้ฉินอวี้โม่ไปที่นั่นและต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อย
ในการเดินทางจากเมืองซิ่งหัวสู่นครล่าฝันจะต้องผ่านนครเวหาตรงกลางพอดิบพอดี ฉินอวี้โม่จึงไม่ลังเลและตอบรับไปทันที
นางเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับอดีตอัจฉริยะระดับแนวหน้าของดินแดนหวนหลิงและปัจจุบันนี้ก็เป็นถึงยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อวิ๋นซื่อเทียนก็เป็นสตรีเพศที่กล่าวกันว่ารูปงามไม่ด้อยไปกว่านาง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่อยากรู้จักคนผู้นั้นมากขึ้น
ตลอดเส้นทางผ่านผืนป่าแห่งหนึ่งไปทางตะวันออกคืออาณาเขตของนครเวหา แม้ดูเหมือนเป็นระยะทางไม่ไกล ทว่าแท้จริงแล้วมันก็มิใช่ระยะทางสั้น ๆ เลยเช่นกัน ป่าที่มีชื่อเรียกว่า ‘ป่าใบไม้เขียว’ ผืนนี้กว้างใหญ่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและข่ายอาคมที่ซับซ้อน การเดินทางผ่านป่าผืนนี้ไปถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียว
หานโม่ฉือมีพลังเทียบเท่ากับขอบเขตนภาเซียน ในขณะที่ฉินอวี้โม่ชำนาญด้านข่ายอาคมพอสมควรและมีอสูรมายาทรงพลังเป็นจำนวนมาก ทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงสิ่งใด ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับป่าผืนนี้ยิ่งนัก การที่มันมีข่ายอาคมหายากอยู่ที่นี่ หมายความว่าจะต้องเคยมียอดฝีมือผู้ใช้ข่ายอาคมอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจจะมีเศษซากบางอย่างของยอดฝีมือผู้นั้นที่หลงเหลืออยู่ในป่าผืนนี้ก็เป็นได้
หลังจากเดินเท้านานหนึ่งวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หยุดลงตรงหน้าอาณาเขตของป่าใบไม้เขียว เมื่อมองไปยังผืนป่าทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด ทั้งสองก็มีความคาดหวังเกิดขึ้นในใจ
ทั้งสองหยุดพักเพียงสั้น ๆ ก่อนเตรียมมุ่งหน้าเข้าสู่ผืนป่า
ในตอนนั้นเองที่ทั้งสองถูกหยุดไว้โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาจากในป่า
คนเหล่านั้นดูเหมือนกลุ่มทหารรับจ้างและมีหัวหน้ากลุ่มเป็นบุรุษที่ดูธรรมดาทั่วไป ทว่ามีกล้ามเนื้อที่เด่นชัดจนแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แทบปิดไม่มิด ข้างหลังเขาคือบุรุษในช่วงวัยสามสิบปีสามคนซึ่งมีรูปลักษณ์ดูดีพอสมควร และท่ามกลางบุรุษทั้งสามคนก็มีสตรีนางหนึ่งที่มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบต้น ๆ ถูกล้อมรอบคุ้มกันไว้
สตรีนางนั้นสวมอาภรณ์สีดำแดงตัดกับผิวขาวละเอียดและมีแส้เหน็บอยู่ข้าวเอวบาง นางมีรูปลักษณ์งดงามและดวงตากลมโตใสชัดซึ่งดูน่ารักอย่างยิ่ง จากรูปลักษณ์ท่าทางของนาง นางคงจะเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาพอสมควร
เมื่อเห็นหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ นางก็แสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“ช่างเป็นพี่ชายและพี่สาวที่รูปงามยิ่งนัก !”
สตรีผู้นั้นคลี่ยิ้มกว้างขณะเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ กลิ่นอายที่แผ่มาจากร่างของนางทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
“เข่อเอ๋อร์ อย่าทำตัววุ่นวาย”
บุรุษร่างกำยำมองสตรีผู้มีชีวิตชีวาอย่างจนปัญญาเล็กน้อย แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูอย่างชัดเจน
“ขออภัยท่านทั้งสอง นี่คือคุณหนูของเรา—เถียนเข่อเอ๋อร์ ข้าคือลุงรองของนาง—เถียนจ้ง ส่วนคนเหล่านี้คือสหายของเรา เห็นจากการที่ท่านทั้งสองกำลังจะเข้าไปในป่าใบไม้เขียว ข้าเกรงว่าท่านทั้งสองคงจะยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เราจึงหยุดพวกท่านไว้ หากไม่ขัดข้องสิ่งใด อย่าถือสาพวกเราเลย”
เถียนจ้งเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างยิ่งทว่าน้ำเสียงยังคงระวังท่าทีเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าคนเหล่านี้มิใช่ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและถือเป็นจอมยุทธ์มากฝีมือผู้หนึ่ง
ฉินอวี้โม่มิได้รู้สึกขุ่นเคืองใจคนเหล่านี้ นางเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าว “ข้าชื่อฉินอวี้โม่ นี่คือสามีของข้าชื่อว่าหานโม่ฉือ พวกเราจะไปที่นครเวหาจึงวางแผนที่จะข้ามผ่านป่าผืนนี้ไป ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่าอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ สีหน้าของเถียนจ้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยราวกับไม่รู้จักคนทั้งสองมาก่อน
เถียนเข่อเอ๋อร์ยิ้มกว้างและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ทราบทันที
.