— ปัง ! —
เสมือนว่าร่างของมังกรดินจะถูกบางอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างรุนแรง ร่างแข็งแกร่งขนาดมหึมาของมันกระเด็นขึ้นจากพื้นบริเวณนั้นทันที ก่อนจะลอยพุ่งเข้ามาในจุดที่ฉินอวี้โม่และพวกพ้องยืนอยู่
“หลบเร็ว !”
ฉินอวี้โม่อุทานออกมา นางคว้าแขนเสี่ยวโร่วแล้วรีบกระโจนหลบออกไปด้านข้าง
–ปัง !–
ร่างของมังกรดินตกลงมาบนพื้นตรงจุดที่คณะเดินทางของฉินอวี้โม่อยู่ก่อนหน้านี้อย่างพอดิบพอดี ความรุนแรงของแรงกระแทกทำให้พื้นดินแตกกระจาย ก้อนดินและฝุ่นดินกระจัดกระจายไปรอบด้าน
“ถุย ! ถุย ! แหวะ”
เสี่ยวโร่วพ่นเศษดินที่กระเด็นเข้ามาอยู่เต็มปากก่อนจะหันหน้าตะโกนออกไปในทิศทางหนึ่ง “เฮ้ ! เจ้าตั้งใจจะฆ่าเรารึไง”
ฉินอวี้โม่สะบัดแขนเสื้อและปัดฝุ่นออกจากตัว เมื่ออดีตคุณหนูผู้งดงามที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและโคลนมองดูสาวใช้น้อยที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมทำหน้าตามู่ทู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“คุณหนูยังหัวเราะได้อีกหรือเจ้าคะ ถ้าเราหลบไม่เร็วพอ เราอาจจะเจ็บหนักไปแล้วก็ได้”
เสี่ยวโร่วผู้หน้ายุ่งมองค้อนคุณหนูของนางไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันไปดูมังกรดินที่นอนแผ่หลานิ่งสนิทอยู่บนพื้นเพราะหมดลมหายใจไปแล้ว สาวน้อยผู้กำลังโมโหอดไม่ได้ที่จะเตะมันไปแรง ๆ ทีหนึ่ง
“ลองดูนี่สิเสี่ยวโร่ว เจ้าดูเหมือนกับแมวน้อยเลย”
ฉินอวี้โม่ยังคงยิ้มขบขันพลางหยิบเอากระจกสัมฤทธิ์ออกมาและยื่นให้เสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วรับมันมาและรีบดูใบหน้าของตัวเอง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระจก นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเช่นกัน……ในตอนนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กสาวเลอะเทอะไปด้วยโคลนดำ ๆ จนมองเห็นแต่ลูกตากลม ๆ สองข้าง ! ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดคุณหนูของนางถึงได้ขำนักหนา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
“ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าเกือบจะทำให้แม่นางทั้งสองบาดเจ็บแล้ว”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากบนท้องฟ้า คนผู้นั้นขี่อสูรมายาประเภทบินได้สีทองอร่ามร่อนลงมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขาเอามือลูบท้ายทอยของตัวเองพลางผงกหัวขึ้นลงอยู่หลายครั้งพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยซ้ำแล้วซ้ำอีก เขากำลังรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
ปักษาขนทองเป็นอสูรมายาที่มีความแข็งแกร่งในระดับที่ทัดเทียมกันกับเหยี่ยวปีกทองอย่างเสี่ยวจิน ยิ่งไปกว่านั้นอสูรมายาลักษณะใกล้เคียงกับเหยี่ยวตัวนี้ก็ดูจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลยด้วย
บุรุษผู้มาใหม่มีผมสีดำสนิท ขนคิ้วดกหนา ดวงตากลมโต ผิวหน้าเนียนละเอียด ใบหน้าของเขาดูอิ่มเต็มและใสกระจ่างคล้ายใบหน้าเด็ก โดยรวมแล้วเขาเป็นบุรุษที่ดูน่ารักมากกว่าหล่อ แม้ว่าเขาจะสูงกว่าฉินอวี้โม่ครึ่งศีรษะแต่นางก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะอายุมากกว่านางเท่าไหร่นัก… จะว่าไปแล้วหากเป็นในโลกก่อนของเธอ คำนิยามของบุรุษนี้ก็น่าจะตรงกับเหล่าศิลปินไอดอลชายอายุน้อยที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
“เอ่อ แค่ขอโทษแล้วจะจบได้อย่างนั้นหรือ ? ถ้าเกิดเราหลบไม่ทัน พวกเราคงถูกทับจนแบนแต๋ดแต๋ไปแล้ว”
เสี่ยวโร่วมองไปที่บุรุษคิ้วหนาตาโตที่อยู่ตรงหน้า นางยังไม่คลายจากความขุ่นเคืองทว่าความโกรธของสาวน้อยก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก
เพราะถึงอย่างไร การจะโกรธเคืองบุรุษผู้มีท่าทีไร้เดียงสาราวเด็กน้อยเช่นนี้ก็เป็นเรื่องยาก
“ข้าขอโทษจริง ๆ มังกรดินตัวนี้เที่ยวทำร้ายผู้คน ข้าไล่ล่ามันมาหลายวันแล้ว เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นแถวนี้จึงรีบมาดู พอเห็นว่าเจ้ามังกรดินชั่วช้ากำลังจะวิ่งหนีข้าก็เลยรีบร้อนให้อสูรมายาของข้าลงมือ ไม่คิดเลยว่ามันจะกระเด็นมาหาแม่นางทั้งสอง ขอต้องขออภัยอีกครั้ง”
โอวหยางชิงเฟิง ขอโทษอีกครั้ง เขารู้สึกผิดในความผิดพลาดเมื่อครู่ของตนเอง เขาไล่ล่ามังกรดินอยู่ในแถบนี้มาหลายวันแล้ว วันนี้สบโอกาสเจอตัวมันในขณะที่กำลังวิ่งหนีเขาจึงตัดสินในเผด็จศึก ทว่าคิดไม่ถึงว่าในตอนที่เขาลงมือ การโจมตีของเขาจะทำให้ร่างของเจ้ามังกรตัวใหญ่กระเด็นไปถูกหญิงสาวทั้งสองนี้ได้ ซึ่งถ้าหากพวกนางทั้งสองเป็นอะไรไป โอวหยางชิงเฟิงคงรู้ผิดจนชั่วชีวิตแน่
“เอาเถอะ ข้าไม่ตำหนิท่านหรอก”
เมื่อมองเห็นสีหน้าแววตา และท่าทางที่ดูสำนึกผิดจากใจจริงของบุรุษหน้าใสผู้นี้แล้ว เสี่ยวโร่วก็ไม่อยากจะถือสาหาความเขาอีก
“ขอบคุณแม่นางน้อยมาก”
เมื่อสิ้นเสียงเสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มร่าและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขไม่ต่างจากเด็ก ๆ
“ข้าจะมอบมังกรดินตัวนี้ให้แม่นางทั้งสองแทนคำขอโทษ”
โอวหยางชิงเฟิงชี้ไปที่มังกรดินที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น
“เฮ้ ! คุณชายทำเช่นนี้ไม่จริงใจเลยนะ มังกรดินตัวนี้เป็นของพวกเราอยู่แล้ว ต่อให้ท่านไม่เข้ามาเราก็จัดการมันได้ มามอบให้เราตอนนี้ไม่ตลกไปหน่อยหรือ”
เสี่ยวโร่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาเมื่อได้ยินวาจาของโอวหยางชิงเฟิง
ถูกต้องแล้ว มังกรดินตัวนี้เป็นของพวกนาง แม้โอวหยางชิงเฟิงจะไม่เข้ามานางก็เชื่อว่าม่อเสียจะสังหารมันได้ง่าย ๆ ทว่าโอวหยางชิงเฟิงกลับมาชิงลงมือสังหารมันตัดหน้าไปก่อนต่อหน้าต่อตาพวกนางเช่นนี้ ที่สำคัญเขายังกล้าจะใช้ ‘ซากของมังกรดินของพวกนาง’ มาเป็นสิ่งแทนคำขอโทษ เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวโร่วอดรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้
โอวหยางชิงเฟิงหมดคำพูดไปในทันที เขาเพิ่งสำนึกได้ว่าที่แม่นางน้อยผู้นั้นพูดมาก็ถูก
เมื่อเขาสังเกตเห็นเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ และมองเห็นม่อเสียที่เพิ่งจะเดินกลับมา บุรุษหน้าใสก็เอามือลูบท้ายทอยอีกครั้งอย่างขัดเขิน
“เอ่อคือ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากว่าท่านมีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หรือมีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกข้ามาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดโอวหยางชิงเฟิงก็กล่าวสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดออกมา
“แต่ก่อนจะพูดเรื่องนั้น คุณชายช่วยบอกเราได้หรือไม่ว่าเจ้าคือใคร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นมา บุรุษหน้าใสตาโต ทั้งกิริยาท่าทางก็ยังดูไม่โตเลยสักนิด แต่กลับกล้าออกมาผจญภัยภายในป่าแสงจันทร์และยังมีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นคู่หู ดังนั้นเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ อีกทั้งสภาวะพลังของเขายังแข็งแกร่งกว่านางด้วย หากคาดเดาไม่ผิดเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตนภมายา !
“ข้าชื่อ โอวหยางชิงเฟิง”
โอวหยางชิงเฟิงบอกชื่อของตัวเองออกไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วพยักหน้า
“ห๊าา ! นี่พวกเจ้าไม่ประหลาดใจเลยหรือที่ได้ยินชื่อข้า ?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูนิ่ง ๆ หลังจากได้ยินชื่อเขา โอวหยางชิงเฟิงก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“แล้วทำไมเราต้องประหลาดใจด้วยล่ะ ?”
เสี่ยวโร่วกลอกตา มันก็คือชื่อเรียกขานเท่านั้น มีอะไรต้องประหลาดใจกัน
“พวกเจ้าไม่รู้จักโอวหยางชิงเฟิงอย่างนั้นหรือ ?”
ตาโต ๆ ของโอวหยางชิงเฟิงเบิกกว้าง เขาจ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วสลับไปสลับมาแล้วถามอย่างงุนงง
“เจ้านี่หลงตัวเองจังเลยนะ มีเหตุผลอันใดที่พวกเราต้องรู้จักเจ้าด้วย ?”
เสี่ยวโร่วมองโอวหยางชิงเฟิงด้วยสายตาดูถูก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกนางจะต้องตกใจเมื่อได้ยินนามของบุรุษผู้นี้ด้วย
โอวหยางชิงเฟิงผงะไปก่อนจะรีบกล่าว “ข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งป่าแสงจันทร์ การที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อข้าก็แสดงว่าพวกเจ้าเพิ่งจะเคยเดินทางมายังป่าแสงจันทร์ครั้งแรกเช่นนั้นสินะ ?”
…ผู้ที่ถูกเรียกขานนามว่าโอวหยางชิงเฟิงนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักผจญภัยที่เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ว่า ‘ลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์’ เขาไม่ได้มีดีเพียงฝีมือที่สูงส่งเท่านั้น เขายังเป็นบุรุษมากไมตรี เป็นมิตรกับทุกผู้คน เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายที่มักจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ต่างก็ชื่นชอบเขามาก และบางคนก็ถึงกับให้ความเคารพยำเกรง ยกย่องนับถือเขา ขอเพียงเป็นผู้ที่เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์แห่งนี้หลายครั้ง หรือเคยศึกษาเรื่องราวของป่าแสงจันทร์มาเป็นอย่างดี ก็ย่อมต้องรู้จักนามของโอวหยางชิงเฟิง…
การที่นักเดินทางที่มีเพียงสองสตรีตัวน้อยกลุ่มนี้ไม่รู้จักนามของเขาจึงทำให้โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ทราบในทันทีว่าทั้งหมดต้องไม่เคยเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้มาก่อน
อีกทั้งหากพิจารณาดี ๆ สตรีทั้งสองมีอสูรมายาในระดับเทวะราชันที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้คอยคุ้มครอง การที่พวกนางจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์อย่างไม่เกรงภัยก็อาจจะไม่แปลกมากนัก
แววตาของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเรื่องที่โอวหยางชิงเฟิงบอกเล่า หากสิ่งที่เขากล่าวมาเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเขาเดินทางร่อนเร่อยู่ภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้บ่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกนางไม่น้อย
“โอวหยางชิงเฟิง แท้จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินทางเข้ามาในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ และเนื่องจากเจ้าก็มีความผิดติดค้างพวกเราอยู่ เหตุใดไม่อาสาเป็นไกด์ (Guide) นำทางให้เราเลยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยทีเล่นทีจริงด้วยใบหน้านึกสนุกพร้อมแย้มยิ้มมุมปาก นางต้องการหาประสบการณ์ภายในป่าแห่งนี้ หากว่าได้ผู้ที่คุ้นเคยมาคอยช่วยนำทางก็จะเป็นเรื่องที่สะดวกและประหยัดเวลาได้ไม่น้อย
“ไกด์คืออะไร ?”
โอวหยางชิงเฟิงก็ชะงักค้างไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่พูดก่อนจะเอ่ยถาม เขาไม่รู้จักคำว่าไกด์
“เอ่อ… ข้าหมายถึงว่าเราไม่คุ้นเคยกับป่าแสงจันทร์แห่งนี้และเรากำลังมองหาสถานที่ดี ๆ สำหรับฝึกวิชา ซึ่งข้าก็หวังว่าเจ้าจะพาพวกเราไปหาสถานที่เหมาะสมที่ว่าได้”
ฉินอวี้โม่อธิบายออกไปด้วยรอยยิ้ม… เก้อเขิน
“อ่อ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น สำหรับเขาแล้วเพียงแค่หาสถานที่เหมาะสมสำหรับฝึกวิชาไม่นับว่าเป็นปัญหาแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วพวกเราก็อย่ามัวช้ากันอยู่เลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยต่อ “ชื่อของข้าคือฉินอวี้โม่ ส่วนสาวน้อยผู้นี้คือเสี่ยวโร่ว ส่วนนั่นม่อเสีย โปรดแนะนำพวกเราด้วย”
เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็พยักหน้า และหลังจากลอบพิจารณารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่โดยละเอียดแล้วก็อดทำให้โอวหยางชิงเฟิงอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
ต้องบอกเลยว่าความรู้สึกของโอวหยางชิงเฟิงผู้นี้เชื่องช้ายิ่งนัก เขาใช้เวลานานมากกว่าจะสังเกตเห็นถึงความงามของฉินอวี้โม่ และอาจจะเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแล้วจึงทำให้ไม่มีโอกาสได้พบเจอสาวงาม เมื่อได้เห็นก็ทำให้บุรุษผู้อยู่ป่ามีใบหน้าแดงซ่านอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้เห็นท่าทางเปลี่ยนไปของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอ่อนอย่างรู้ทัน ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา… คุณหนูสี่ช่างเป็นสตรีที่งดงามมากจริง ๆ
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้นับว่าสัญชาตญาณระวังภัยและความระแวดระวังทั้งหลายที่มีต่อชายผู้นี้ของฉินอวี้โม่ลดทอนลงไปมาก เพราะหลังจากที่ลอบสังเกตและได้พูดคุยกันมา ดูแล้วบุรุษหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้เป็นคนที่เรียบง่ายและเป็นมิตรไม่น้อยทีเดียว
หลังจากเก็บเกี่ยวสมบัติมีค่าทั้งหลายจากร่างของมังกรดินยักษ์แล้ว ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วและม่อเสียก็เดินตามโอวหยางชิงเฟิงผู้เป็นอาสาสมัครนำทางไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาสถานที่พักค้างแรมดี ๆ ดังที่เขาบอกเล่า
ระหว่างการเดินทางไกล ฉินอวี้โม่ก็ได้ทราบว่าโอวหยางชิงเฟิงนั้นนับว่ายังเป็นเด็กอยู่มาก อายุของเขามากกว่านางเพียงสองปี นั่นแสดงว่าเขายังมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์… เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบในยุคที่เธอจากมานั้นก็ถือว่าค่อนข้างเด็ก อย่างน้อยก็ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ
“ชิงเฟิง หากว่าเดาไม่ผิดเจ้าคงจะอยู่ขอบเขตนภมายาแล้วสินะ”
หลังจากลอบตรวจสอบสภาวะพลังของอีกฝ่ายจนมั่นใจแล้วสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบังสหายสาวทั้งสอง
“ข้าเพิ่งจะทะลวงผ่านขึ้นมาได้ไม่นานนัก”
โอวหยางชิงเฟิงเป็นคนเรียบง่ายและซื่อตรง เขาเริ่มรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขาจึงปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนเป็นสหาย เมื่อสหายถามไถ่เขาจึงตอบออกไปตามตรงไม่ปิดบัง
“เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตนภมายาได้?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามสิ่งที่นางสงสัยมานานกับโอวหยางชิงเฟิง ในที่สุดนางก็ได้พบกับจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาแล้ว นางต้องการจะรู้ถึงวิธีการทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตนี้
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ในตอนที่ข้ายังอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา มีอยู่วันหนึ่งที่ข้าต้องต่อสู้เป็นตายแบบตัวต่อตัวกับอสูรมายาที่แข็งแกร่งมาก ในตอนนั้นเมื่อถึงคราววิกฤต จู่ ๆ ข้าก็ก้าวข้ามขอบเขตไปได้โดยไม่ตั้งใจ”
โอวหยางชิงเฟิงเองก็ยังงุนงง การตัดผ่านของเขาในเวลานั้นนับว่าแปลกมาก ตอนที่เขาต่อสู้กับอสูรมายาระดับเทวะ จู่ๆ เขากลับสามารถทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตนภมายาได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่คิดว่าโอวหยางชิงเฟิงจะโกหกนาง ทว่าหากเป็นดังที่โอวหยางชิงเฟิงเล่า เช่นนั้นการจะทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ก็ต้องอาศัยโชคและจังหวะเวลาที่เหมาะสม หรืออีกอย่างก็คือจะต้องมีเงื่อนไขที่พิเศษถึงจะสามารถตัดผ่านได้ ซึ่งก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเป็นเมื่อไหร่เช่นนั้นหรือ ?
“อวี้โม่ มีปัญหาอะไรหรือ ? หรือว่าเจ้าเกือบจะก้าวข้ามขอบเขตแล้ว ?”
แม้ว่าโอวหยางชิงเฟิงจะเป็นคนซื่อ ทว่าเขาก็ยังมีไหวพริบ เมื่อได้ยินคำถามนี้ของฉินอวี้โม่ เขาจึงคาดเดาว่านางคงใกล้จะทะลวงสู่นภมายาแต่อาจมีปัญหาบางอย่าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็ไม่คิดปกปิดโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขาเพียงพอที่จะทะลวงผ่านได้แล้ว ทว่าแม้จะผ่านมาหลายวันแต่กลับไม่มีสัญญาณของการข้ามสู่ขอบเขตต่อไปให้ได้เห็น หากข้าคาดเดาไม่ผิด การจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาคงต้องอาศัยจังหวะเวลาและเงื่อนไขบางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษ”
ต้องทราบก่อนว่าขอบเขตนภมายานั้นถือเป็นปราการด่านสำคัญสำหรับจอมยุทธ์ ขอเพียงทะลวงเข้าสู่นภมายาได้ ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ว่ากันว่าจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้และสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ระดับสูงได้มากมาย ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้ของจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายานี้จะแตกต่างจากการต่อสู้ของจอมยุทธ์ในขอบเขตที่ต่ำกว่า นั่นคือ ด้วยข้อจำกัดของความแข็งแกร่งและขอบเขตพลังส่งผลให้จอมยุทธ์ในขอบเขตที่ต่ำกว่านภมายาไม่สามารถใช้วิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจรุนแรงได้มากนัก
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าและกล่าว “ในสมัยที่ข้ายังอยู่ในตระกูล ข้าได้ยินมาจากผู้อาวุโสว่า การจะทะลวงผ่านจากขอบเขตมายารัตนะสู่ขอบเขตนภมายาเป็นเรื่องยาก นภมายาถือเป็นขอบเขตสำคัญของการฝึกวรยุทธ์ หากทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตนี้ได้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง ข้าว่าบางทีโอกาสของเจ้าอาจจะยังมาไม่ถึง”
เมื่อฟังจากคำบอกเล่านั้นแล้ว ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้ว่าตระกูลของโอวหยางชิงเฟิงน่าจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย ทว่าก็โชคร้ายที่เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แต่อย่างหนึ่งที่น่าจะถูกต้องก็คือภายในตระกูลของบุรุษหน้าใสผู้นี้น่าจะมีจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งที่อยู่ในขอบเขตนภมายาและสูงกว่านั้นอยู่หลายคน
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เองก็สงสัยว่าเหตุใดโอวหยางชิงเฟิงถึงได้มาอาศัยอยู่ภายในป่าทั้งๆ ที่เกิดในตระกูลที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ยิ่งกว่านั้นจากที่สิ่งเขาเล่ามา เขาบอกว่าตัวเองอยู่ในป่าแสงจันทร์แห่งนี้มาถึงห้าปีแล้วอีกด้วย !
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็เลือกที่จะไม่ถามเรื่องนั้น
หลังจากเดินสนทนากันมาได้พักใหญ่ ในที่สุดภาพของค่ายพักแรมขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า