หลังจากพยายามไตร่ตรองพักใหญ่และไม่อาจหาคำตอบได้ ทุกคนจึงเริ่มเดินหน้าต่อไป
ครานี้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เลือกเดินรั้งท้ายของกลุ่มเพราะต้องการเห็นด้วยตาตัวเองว่ามีผู้ใดซุ่มตามหลังอยู่จริงหรือไม่
เวลานี้ทั้งกลุ่มเข้าใกล้บริเวณใจกลางของป่าใบไม้เขียวแล้ว ทว่าในระหว่างทาง พวกเขากลับไม่พบเจออสูรมายาตัวใดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งยืนยันความผิดปกติของป่านี้ได้อย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปอีกสองก้านธูป ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่ได้สัมผัสถึงตัวตนของใครและอดคิดไม่ได้ว่าเสี่ยวชวนอาจจะเข้าใจผิดไป
เถียนเข่อเอ่อร์กำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ชี้นิ้วมาที่นางพร้อมส่งสัญญาณให้เงียบเสียงไว้
ในที่สุดฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ดูเหมือนว่ามี ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ตามหลังพวกเขาอยู่จริง กลิ่นอายที่แผ่มาจากสิ่งนั้นเลือนรางและละเอียดอ่อนยิ่งนัก หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ากว่าคนทั่วไป ทั้งสองก็คงไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
ดูเหมือนว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่ซุ่มตามหลังคนทั้งกลุ่มมิใช่มนุษย์หรืออสูรมายา ทว่าเป็นร่างจิตหรือพลังวิญญาณบางอย่าง
เพียงแค่พลังวิญญาณก็สามารถตามรอยผู้คนได้เช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าของพลังวิญญาณนี้จะแกร่งกล้าเพียงใดกัน?
“ข้าจะหันกลับไปดูเอง เจ้าและทุกคนเดินหน้ากันต่อไปเถอะ”
หานโม่ฉือกล่าวเสียงเบาพร้อมชะลอความเร็วลง เขาต้องการประจักษ์ด้วยตัวเองว่าพลังวิญญาณดังกล่าวทำให้เสี่ยวชวนหมดสติไปโดยที่ไม่รู้ตัวได้อย่างไร
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะเบา ๆ ทุกคนต่างก็รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเป็นอย่างดี แน่นอนว่าทุกคนมั่นใจในการตัดสินใจของเขา
หลังจากเดินต่อไปอีกเป็นระยะสั้น ๆ ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ชะลอความเร็วลงขณะเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นข้างหลังอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น หานโม่ฉือก็หันขวับไปมองข้างหลังของตนพร้อมกับได้กลิ่นหอมหวนจาง ๆ ลอยมาแตะจมูกและรู้สึกมึนงงเล็กน้อย และเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของเขาทันที ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่ดังเท่าใดนักและฟังดูเลือนราง
“หลับไปเสียเถิด เจ้าจะไม่เป็นอะไรเมื่อตื่นลืมตาขึ้นมา”
เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว หานโม่ฉือก็รู้สึกเซื่องซึมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังของจอมยุทธ์นภาเซียนและพลังวิญญาณที่เหนือชั้นของเขา หานโม่ฉือจึงเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปตรงหน้า เขาก็พบว่ามีอสูรตัวน้อยขนงามที่มีอุ้งเท้าใหญ่ตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนต้นไม้ไม่ไกลจากเขา ดวงตากลมโตของมันจ้องมองหานโม่ฉืออย่างจดจ่อดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก
อสูรตัวน้อยแสดงสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นแววตาของหานโม่ฉือ
“แย่แล้ว ! ถูกจับได้ซะแล้ว”
อสูรตัวน้อยส่งเสียงร้องก่อนจะกลายเป็นภาพเงากลุ่มหนึ่งและพุ่งตรงไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าหานโม่ฉือไม่มีทางปล่อยมันไป เขายื่นมือออกไปทันทีและพลังวิญญาณมหาศาลก่อตัวกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่และจับอสูรน้อยตัวนั้นไว้ได้ทัน
พรึ่บ !
เมื่อสิ้นเสียงนั้น อสูรน้อยขนงามที่พยายามหลบหนีก็ถูกหานโม่ฉือจับตัวไว้ได้
มันคืออสูรน้อยตัวสีขาวดุจหิมะที่มีขนเงางามทั้งตัว ดวงตาของมันกลมโตเป็นประกาย และมีหูยาวเรียวซึ่งดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง
เมื่อถูกหานโม่ฉือจับตัวได้ มันก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแต่ดวงตากลมโตของมันฉายแววความน่าสงสารราวกับต้องการวิงวอนให้มนุษย์ผู้นี้ปล่อยตนไป
“เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักน่าชังจริง ๆ”
เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินย้อนกลับมา ทุกคนก็มองเห็นอสูรน้อยที่อยู่ในมือหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ใช้นิ้วจิ้มตัวมันเบา ๆ และยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
อสูรน้อยตัวนี้ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง หากมอบมันให้กับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ ทั้งสองจะต้องชื่นชอบมันอย่างมากเป็นแน่
เถียนเข่อเอ๋อร์ในเวลานี้ก็มีดวงตาเป็นประกายเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วสตรีอ่อนวัยมักชื่นชอบสิ่งที่น่ารักเช่นนี้เป็นธรรมดา แม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็มิใช่ข้อยกเว้น
“เจ้าแอบตามพวกข้ารึ ?”
หานโม่ฉือมองอสูรน้อยและเอ่ยถามอย่างจริงจัง เขาตระหนักดีว่าอสูรตัวน้อยที่ดูไร้พิษภัยตัวนี้แท้จริงแล้วไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเอ่ยวาจาภาษามนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย
อสูรตัวน้อยเข้าใจคำถามของหานโม่ฉืออย่างชัดเจน มันกะพริบตาอย่างใสซื่อและพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“เจ้าตามพวกข้ามาทำไม ?”
ฉินอวี้โม่จิ้มขนนุ่มของเจ้าอสูรอีกคราอย่างชอบใจ
“คิดว่าข้าอยากตามพวกเจ้างั้นรึ ?”
อสูรน้อยกล่าวด้วยเสียงเล็กแหลมราวกับเป็นเด็กน้อยเยาว์วัย
“พวกเจ้าล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้า ข้ากังวลว่าหากได้เห็นความน่ารักของข้า พวกเจ้าจะจับตัวข้าและไม่ยอมปล่อยข้าไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาทางทำให้พวกเจ้าถอนกำลังออกไป”
“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็อดหัวเราะให้กับความหลงตัวเองของอสูรตัวน้อยนี้ไม่ได้
“ที่นี่คืออาณาเขตของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
เถียนจ้งเอ่ยถามด้วยความสับสน อสูรน้อยตัวนี้ดูน่ารักยิ่งนัก ทว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน อีกทั้งในตำรามากมายของดินแดนก็ไม่เคยมีข้อมูลระบุเกี่ยวกับอสูรตัวน้อยหน้าตาน่ารักเช่นนี้ ตอนนี้เขานึกไม่ออกเลยว่าอสูรตัวนี้มาจากเผ่าพันธุ์ใด
“ถูกต้อง ที่นี่เป็นอาณาเขตของข้า อสูรมายาทั้งหมดในป่าใบไม้เขียวก็มีชีวิตอยู่เพื่อคุ้มกันอาณาเขตของข้า !”
อสูรน้อยกล่าวเสียงดังด้วยความมั่นอกมั่นใจราวกับต้องการแสดงให้เห็นว่าตัวตนของมันไม่ธรรมดา
“เจ้ามนุษย์ ปล่อยข้าก่อนเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่พยายามหนี”
อสูรน้อยมองหานโม่ฉือและกล่าวอย่างน่าเห็นใจ
เมื่อมองไปที่ฉินอวี้โม่และนางพยักศีรษะ หานโม่ฉือก็ถอนการควบคุมและปล่อยอสูรตัวน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ถอนการควบคุม อสูรน้อยในมือหานโม่ฉือจะหายวับไปทันทีและกลิ่นอายของมันก็หายไปเช่นกัน
“มันหนีไปแล้ว !”
เมื่ออสูรน้อยหายตัวไปอย่างฉับพลัน เถียนจ้งและคนอื่น ๆ ก็สะดุ้งตกใจทันที แม้ว่าอสูรน้อยตัวนี้จะดูน่ารักเป็นอย่างมาก ทว่าแท้จริงแล้วมันก็เจ้าเล่ห์และชาญฉลาดพอสมควร
ฉินอวี้โม่เพียงยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ในเมื่อพวกนางจับตัวมันมาได้แล้ว ไม่มีทางที่พวกนางจะปล่อยให้มันหนีไปได้ง่ายๆ
“โอ๊ยยย !”
ทันใดนั้น อสูรน้อยที่หายวับไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นในมือของหานโม่ฉืออีกครั้งพร้อมเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เมื่อครู่มันฉวยโอกาสหลบหนีไปจริง ๆ ทว่าจู่ ๆ มันก็กระแทกเข้ากับกำแพงกั้นบางอย่างและร่วงลงมาอย่างแรง
“เจ้าตัวเล็ก ตัดใจซะเถอะ เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางได้ปิดกั้นพื้นที่บริเวณนี้ไว้ทั้งหมดแล้วและไม่มีทางเลยที่อสูรน้อยตัวนี้จะหนีได้พ้น
“ฮือ ๆ พวกเจ้ารังแกข้า”
เมื่อได้ยินวาจาเชิงตำหนิของฉินอวี้โม่ มันก็บ่อน้ำตาแตกทันที หยดน้ำตาใสไหลอาบบนใบหน้าของมันทำให้ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
“หม่าม๊า~”
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ดูเหมือนว่าเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่จะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างและเดินออกมาพร้อมกับมารยา
เมื่อเห็นอสูรตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแง เสี่ยวอ้ายฉือก็วิ่งตรงเข้าไปลูบหัวของมันอย่างเอ็นดูทันที ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่มองดูหูยาวทั้งสองข้างของมันด้วยแววตาสงสัย
“หืมม ?”
เมื่อถูกแตะและลูบศีรษะโดยมือเล็กของเสี่ยวอ้ายฉือ อสูรตัวน้อยก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอ่อนโยนที่ทำให้มันผ่อนคลาย มันอดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้
มันเงยหน้าขึ้นและพบกับมนุษย์ตัวน้อยทั้งสองที่กำลังมองดูมันด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“พวกเจ้าช่างน่ารักจริงๆ…”
เมื่ออสูรน้อยเห็นเด็กแฝดชายหญิงที่มีรูปลักษณ์งดงามน่าเอ็นดูเป็นครั้งแรก มันก็อดกล่าวออกไปไม่ได้
เด็กน้อยทั้งสองช่างน่ารักน่าชังและยังดูดีกว่าเจ้านายคนก่อนของมันหลายเท่าตัวนัก
“ข้าขอเล่นกับพวกเจ้าได้รึไม่ ?”
อสูรน้อยอยู่ที่นี่มานานหลายปีและไม่เคยมีเพื่อนเล่นมาก่อน เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองในตอนนี้ที่แม้จะยังมีร่องรอยของความสงสัยทว่าก็เปี่ยมไปด้วยความสุขและความชอบใจ หูยาวทั้งสองของมันราวกับมือน้อย ๆ จึงยื่นไปแตะใบหน้าของเสี่ยวอ้ายฉืออย่างมีความสุข
“หม่าม๊า~ พามันไปกับพวกเราได้รึไม่ ?”
ทั้งเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ชื่นชอบอสูรตัวน้อยขนนุ่มอย่างมาก ทั้งสองลูบศีรษะของมันด้วยความเอ็นดูขณะกะพริบตาใสแป๋วให้กับมารดา
วาจาและอากัปกิริยาน่ารักจิ้มลิ้มของบุตรน้อยทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่อาจปฏิเสธได้เลย
“ได้สิ… แต่เจ้าตัวน้อยจะต้องบอกบางอย่างกับเราก่อน เราไม่ไว้ใจให้คนแปลกหน้าอยู่กับเจ้าทั้งสอง”
หานโม่ฉือพยักศีรษะตอบตกลง ทว่ากล่าวอย่างมีเงื่อนไขด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะบอกความจริง”
เมื่ออสูรตัวน้อยที่ไม่ยอมบอกความจริงก่อนหน้านี้ได้พบกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ มันก็ไม่เก็บงำซ่อนเร้นสิ่งใดอีกต่อไป ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีทางหนีได้พ้น เพราะเหตุนั้นมันจึงยอมเชื่อฟังแต่โดยดีและบอกข้อมูลให้กับทุกคนได้ทราบ หลังจากนั้นหากมันได้เล่นสนุกกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็คงจะดีไม่น้อย
อสูรน้อยตัวนี้มิใช่อสูรมายาธรรมดาทั่วไปหากแต่เป็นอสูรวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นจากสติสัมปชัญญะที่ดำรงอยู่มานานนับพันปี มันเชี่ยวชาญในการแสร้งทำเป็นอสูรตัวน้อยที่น่ารักน่าชังและลอบโจมตีผู้อื่นทางจิต นอกจากนี้มันยังสามารถล่องหน เหาะเหินกลางอากาศและเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามันเป็นอสูรวิญญาณที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
อาณาเขตที่มันกล่าวอ้างถึงก่อนหน้านี้คือบริเวณที่มันอาศัยอยู่นับตั้งแต่ถือกำเนิดและเป็นพระราชวังใต้ดินที่อยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล และนั่นคือซากปรักหักพังที่บรรพชนทิ้งไว้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจเมื่อได้ยินว่ามีซากปรักหักพังอยู่ที่นี่จริง ๆ ข้อสันนิษฐานของพวกนางถูกต้องแล้ว ในป่าใบไม้เขียวแห่งนี้มีมรดกที่หลงเหลือของบรรพชนอย่างแท้จริง
บรรพชนที่ว่านั้นน่าจะเป็นผู้ใช้ค่ายกลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารในอดีต คนผู้นั้นก็ส่องสว่างเจิดจรัสอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ในภายหลังมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าของฝ่ายมารได้เข้าโจมตีเขาและตายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนผู้นั้น
และสถานที่ที่เขาเสียชีวิตลงในครานั้นก็คือที่แห่งนี้ ในตอนนั้นมันมิใช่ผืนป่าเขียวขจีเช่นนี้หากแต่เป็นเพียงดินแดนรกร้างว่างเปล่า บรรพชนผู้นั้นทิ้งซากปรักหักพังของตนเองไว้ และต้องการรอให้ผู้ที่ถูกโชคชะตาฟ้าลิขิตมาถึงที่นี่เพื่อสืบทอดมรดกในซากปรักหักพังไป
หลังจากเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ดินแดนที่เคยว่างเปล่าก็กลายเป็นป่าผืนใหญ่ซึ่งก็คือป่าใบไม้เขียวในปัจจุบัน และเนื่องจากค่ายกลหลายชั้นที่เขาจัดวางไว้ในตอนนั้น ป่าใบไม้เขียวจึงเต็มไปด้วยสภาวะพลังแกร่งกล้าและมีสมุนไพรวิญญาณมากมายซึ่งดึงดูดอสูรมายานับไม่ถ้วน เมื่อเวลาผ่านไป ป่าใบไม้เขียวจึงเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเหมือนอย่างในทุกวันนี้
อสูรตัวน้อยนี้ก็คือเศษเสี้ยวสติสัมปชัญญะที่ถูกทิ้งไว้ก่อนบรรพชนผู้นั้นจะล้มตายไปเมื่อพันปีก่อน มันมีหน้าที่รับผิดชอบคุ้มกันซากปรักหักพังและตามหาผู้ที่เหมาะสมที่จะรับมรดกไป โดยตลอดพันปีที่ผ่านมานี้มันก็ได้กลืนกินสมุนไพรวิญญาณไปจำนวนมากและค่อย ๆ รวบรวมพลังจนก่อกำเนิดจิตและวิญญาณของตนเองขึ้นมาและกลายเป็นอสูรวิญญาณอย่างในปัจจุบัน
เมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดความผิดปกติขึ้นในป่าใบไม้เขียว และซากปรักหักพังของบรรพชนก็ถูกเปิดเผยอย่างเลือนรางต่อหน้าทุกคน อีกทั้งค่ายกลรอบ ๆ ก็สูญเสียอิทธิฤทธิ์เดิมไปตามกาลเวลาและค่อย ๆ สลายไป ซึ่งทำให้อสูรน้อยเป็นกังวลอย่างยิ่ง
ด้วยความหมดสิ้นหนทาง มันจึงทำได้เพียงใช้ค่ายกลเปลี่ยนผันจิตใจทำให้อสูรมายาในป่าคลุ้มคลั่งจนก่อจลาจลและเกิดความวุ่นวายขึ้นมาเพื่อขับไล่บรรดาจอมยุทธ์ที่เข้ามาที่นี่ ด้วยหวังไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้ซากปรักหักพังได้
ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะยังฝ่าเข้ามาได้อย่างปลอดภัย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงพยายามคิดหาทางทำให้คณะเดินทางของฉินอวี้โม่หวาดกลัวและถอนกำลังออกไป ทว่ามันก็ไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้อย่างน่าเวทนาเช่นนี้
หลังจากฟังเรื่องเล่าของอสูรน้อย ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พอจะเข้าใจมากขึ้น
ขณะที่พวกนางกำลังจะเอ่ยถามเพิ่มเติม จู่ ๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังแกร่งกล้าบางอย่างอยู่ไม่ไกล ราวกับว่ามีคนกำลังต่อสู้กันอยู่
“ไม่นะ !”
อสูรน้อยหันขวับมองไปในทิศทางนั้นและสีหน้าของมันเปลี่ยนไปเป็นความกังวลในทันที
.