ภายในจวนจ้าวนคร ณ นครเวหา สตรีงดงามนางหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยวัสดุจำนวนมาก สีหน้าของนางดูสับสนเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
“ท่านจ้าวนครขอรับ ท่าไม่ดีแล้ว ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิงส่งคนกลับมาแจ้งว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับคนของฝ่ายมารในป่าใบไม้เขียวและกำลังถูกอีกฝ่ายล้อมไว้ !”
บุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนบริวารรับใช้คนหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาในห้องและกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
เขาคือพ่อบ้านที่มีหน้าที่ดูแลสิ่งต่าง ๆ ประจำจวนจ้าวนครเวหา—ลุงอวิ๋น เขามีหน้าที่รับผิดชอบกิจการรายละเอียดทั่วไปในแต่ละวันของนครเวหารวมถึงจัดการเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากอวิ๋นซื่อเทียนอย่างเต็มเปี่ยม
ในฐานะจ้าวนครเวหา อวิ๋นซื่อเทียนมิใช่คนใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก โดยปกติแล้วนางมักใช้เวลายุ่งอยู่กับการศึกษาสิ่งที่ตนสนใจ นอกเหนือจากเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับการตัดสินใจโดยอวิ๋นซื่อเทียน การจัดการเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกส่งมอบให้กับลุงอวิ๋น
เมื่อได้ยินวาจาของลุงอวิ๋น ร่างกายของอวิ๋นซื่อเทียนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อยและยังคงจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นางเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็เพียงแค่ส่งคนไปช่วยพวกเขา มันเป็นเรื่องใหญ่อย่างไรกัน ?”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สะทกสะท้านของอวิ๋นซื่อเทียน ลุงอวิ๋นก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาไม่สามารถมองเห็นถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบันของจ้าวนครผู้นี้ได้อย่างแน่ชัดและดูเหมือนว่าหลายเรื่องในเวลานี้จะไม่อยู่ในสายตาของนางอีกต่อไป นางเพียงกำลังจดจ่อและทุ่มเทกับสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดโดยไม่สนใจเรื่องใดซึ่งทำให้เขาเหนื่อยใจเล็กน้อย
“ท่านจ้าวนครขอรับ กล่าวกันว่าในป่าใบไม้เขียวมีซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งไว้ ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิงและผู้ติดตามก็เข้าไปตามหาซากปรักหักพังนั้นจนติดกับของคนจากฝ่ายมารโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าคนชั่วพวกนั้นจะไปเพื่อตามหาสิ่งเดียวกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น อวิ๋นซื่อเทียนที่จดจ่ออยู่กับสิ่งประดิษฐ์ตรงหน้าและไม่สนใจเรื่องอื่นก็พุ่งตรงไปปรากฏกายข้างลุงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
“จิ๊จิ๊จิ๊ การที่ริอาจขโมยสิ่งที่ควรจะเป็นของข้าอวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้ มันก็เป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย !”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ร่างของอวิ๋นซื่อเทียนก็หายวับไปกับตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางมุ่งหน้าตรงไปยังป่าใบไม้เขียวอย่างแน่นอน
ลุงอวิ๋นมองไปในทิศทางที่จ้าวนครหายตัวไปเมื่อครู่และยกยิ้มมุมปากเบา ๆ การที่จ้าวนครของเขาออกโรงด้วยตัวเองเช่นนี้ เขาก็สามารถวางใจได้และไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก
ภายในป่าใบไม้เขียวแห่งเดิม บรรยากาศในเวลานี้ตึงเครียดยิ่งนัก ท่าทางเรียบเฉยไม่แยแสของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของหนานกงเจี๋ยเหยเกมากยิ่งขึ้น !
“เหอะ ช่างกล้ายิ่งนัก ! หากเจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ข้าก็จะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก จากนั้นก็ชิงเอาอสูรวิญญาณนั่นมา ถึงอย่างไรผลลัพธ์มันก็เหมือน ๆ กัน”
หนานกงเจี๋ยแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็โบกมือเพียงเบา ๆ เหล่าอสูรมายาที่ไร้สติรับรู้ทั้งหลายก็พุ่งเข้าไปห้อมล้อมฉินอวี้โม่และคณะทันที
“เสี่ยวเฮย หลิวหยา เสี่ยวจิ่ว เพลิง…ให้ข้าได้ชมพัฒนาการของพวกเจ้าหน่อยเถอะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่อสูรมายาหลายสิบตัวจะปรากฏข้างกายภายในชั่วพริบตา
หลังจากผ่านเวลามาเนิ่นนาน ตอนนี้นางก็มีกองทัพอสูรขนาดใหญ่แล้ว หากนับจำนวนทั้งหมดนั้นนางก็มีอสูรมายาทั้งเล็กใหญ่รวมนับร้อยตัว
“นายหญิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเราเถอะ !”
อสูรที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคือเสี่ยวเฮย—ยูนิคอร์นสีนิลที่ติดตามนางมานานที่สุด รอยยิ้มมั่นใจประดับบนใบหน้าของมันขณะขยิบตาส่งสัญญาณให้อสูรอื่น ๆ ที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน
สีหน้าของหนานกงเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีที่เห็นอสูรมายาหลายตัวปรากฏกายอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่คุ้นเคยจากร่างของฉินอวี้โม่
“กายเทพมายา ! เจ้าคือเทพมายาคนใหม่ !”
ในฐานะสมาชิกระดับสูงของฝ่ายมาร แน่นอนว่าเขามีวิธีการของตนเองที่สามารถแยกแยะว่าผู้ใดครอบครองกายเทพมายา เมื่อครู่เขาสัมผัสถึงบางอย่างจากร่างของฉินอวี้โม่และยืนยันความจริงได้อย่างรวดเร็ว
“โอ้ เจ้ารู้ด้วยรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่มและปลายนิ้วมือแผ่พลังวิญญาณออกไปอย่างรวดเร็ว
อสูรมายาทั้งหลายของนางที่ยืนรวมกันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน แรงกดดันอันทรงพลังค่อย ๆ แผ่ออกไปในอากาศก่อนที่ทุกคนจะมองเห็นอสูรทั้งหลายหลอมรวมเป็นร่างเดียวอย่างน่าอัศจรรย์จนดูเหมือนยักษ์ใหญ่ขนาดมหึมา
มันคืออสูรมายาที่มีขนาดใหญ่ดุจดั่งภูเขาทั้งลูก ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา อสูรทุกตัวโดยรอบต่างก็สั่นสะท้านด้วยความยำเกรงทันที จากนั้นเกือบทั่วทั้งพื้นที่โล่งแห่งนี้ก็ถูกครอบครองโดยอสูรยักษ์ตัวนั้น ร่างขนาดยักษ์ของมันบดบังท้องฟ้าและแสงอาทิตย์จนดูน่าสะพรึงอย่างที่สุด
แรงกดดันที่แผ่มาจากอสูรตัวนั้นก็ยังทำให้จอมยุทธ์นภาเซียนอย่างหนานกงเจี๋ยรู้สึกหวาดหวั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
อสูรตัวอื่น ๆ รอบป่าใบไม้เขียวต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันดังกล่าวและคุกเข่าลงกับพื้นอย่างมิอาจควบคุม ราวกับว่าพวกมันกำลังเผชิญหน้ากับเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่และไม่มีทางอื่นนอกจากต้องยอมจำนน
“นี่มันอสูรอะไรกัน ?!”
เมื่อเห็นอสูรยักษ์ที่ก่อตัวมาจากการรวมตัวของอสูรมายานับร้อยตัว หนานกงเจี๋ยและคนอื่น ๆ จากฝ่ายมารต่างก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งหมดไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาเช่นนี้มาก่อนและไม่เคยทราบเลยว่าอสูรมายาร่วมร้อยตัวจะสามารถรวมตัวกันจนเกิดเป็นอสูรยักษ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของอสูรตัวนี้ก็น่าหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด แม้แต่จอมยุทธ์นภาเซียนครึ่งก้าวอย่างเขาก็ยังตกใจจนเริ่มมีความคิดที่จะถอนตัว
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นอสูรยักษ์ใหญ่ของตนเองตรงหน้า ทักษะ ‘อสูรรวมร่าง’ นี้เป็นสิ่งที่ผุดขึ้นในความคิดของนางโดยอัตโนมัติหลังจากปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จ ตราบใดที่มีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ามากพอก็สามารถทำให้อสูรจำนวนมากในพันธสัญญาของตนเองรวมร่างกันกลายเป็นอสูรที่ทรงพลังกว่าพวกมันทั้งหมดหลายเท่าตัวได้
สิ่งนี้ถือว่าเป็นทักษะวิเศษที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นนภายุทธ์ประเภทหนึ่ง ทว่าถึงแม้มันจะทรงพลังอย่างยิ่ง เงื่อนไขข้อกำหนดของมันก็สูงมากเช่นกัน
ข้อกำหนดประการแรกก็คือผู้ใช้จะต้องครอบครองอสูรมายานับร้อยตัว ประการที่สองคือผู้ใช้จะต้องมีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าเหนือคนธรรมดาทั่วไป ทว่าเพียงแค่ข้อกำหนดแรกก็ทำให้คนมากมายต้องตัดใจแล้ว เพราะเหตุนั้นวิธีการรวมร่างอสูรนี้จึงมีจอมยุทธ์เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนจนประสบความสำเร็จได้
ฉินอวี้โม่ศึกษาทักษะนี้มาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา อสูรมายาทุกคนที่นางสยบได้ก็ล้วนว่าง่ายและปรองดองกันอย่างมาก นอกจากนี้นางก็ยังมีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าซึ่งช่วยให้เรียนรู้ทักษะนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ครานี้อสูรรวมร่างเป็นผลงานที่นางได้ประจักษ์เป็นครั้งแรกพร้อมกับทุกคน เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของอสูรยักษ์ ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ อสูรรวมร่างถือเป็นกระบวนท่าไม้ตายของนางซึ่งทรงพลังมากพอที่จะรับมือกับจอมยุทธ์นภาเซียนได้
“ไปเถอะ จงแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและชี้ตรงไปในทิศทางข้างหน้าซึ่งก็คือจุดที่หนานกงเจี๋ยและคนของฝ่ายมารยืนอยู่
เวลานี้ ในสายตาของอสูรยักษ์ที่รวมร่างจากเสี่ยวเฮยและอสูรทรงพลังอีกหลายตัวนั้น คนของฝ่ายมารเหล่านี้ก็เป็นเหมือนกับมดปลวกตัวน้อยนิดเท่านั้น แม้แต่หนานกงเจี๋ยที่มีพลังในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าวก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกมันแม้แต่น้อย
“โฮกกก !”
หลังจากเสียงคำรามดังสนั่น เลือดในร่างของสมาชิกที่อ่อนแอหลายคนของฝ่ายมารก็พลุ่งพล่านก่อนที่พวกเขาก็กระอักเลือดคำโตออกมา
“เหอะ ก็แค่ลูกไม้ตื้น ๆ !”
หนานกงเจี๋ยแค่นเสียงเย็นชาขณะมองตรงไปที่อสูรยักษ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าเจือความหวาดหวั่นเล็กน้อย อสูรตัวนี้ทรงพลังอย่างยิ่งจนแม้แต่อสูรมายาของฝ่ายมารก็เทียบชั้นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมแผนการอย่างยิ่ง อีกทั้งเขาก็ทราบว่าการที่จะควบคุมอสูรตัวนี้ ฉินอวี้โม่จะต้องใช้พลังวิญญาณไปอย่างมหาศาลและคงจะควบคุมไว้ได้ไม่นาน ตราบใดที่ยื้อเวลาไว้ เชื่อว่าพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่จะอ่อนกำลังลงจนไม่สามารถควบคุมอสูรยักษ์ได้อย่างเต็มที่และฝ่ายของพวกเขาก็จะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ไม่ลังเลและปลดปล่อยพลังจากร่างของตนออกไป จากนั้นม่านป้องกันที่แผ่พลังงานสีดำทะมึนก็ก่อตัวขึ้นมาครอบคลุมศิษย์ทั้งหมดของฝ่ายมารและตัวเขาทันที
“มิติแห่งความมืด !”
หลังจากสิ้นเสียงตะโกนกร้าว หมอกหนาสีดำก็ปรากฏขึ้นมาปกคลุมรอบ ๆ อสูรยักษ์และฉินอวี้โม่ไว้
ภายใต้พลังความมืดนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณในร่างของตนราวกับถูกระงับไว้และพลังงานโดยรอบหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เวลานี้ร่างของทุกคนเริ่มเกร็งแข็งทื่อและขยับเขยื้อนได้ยาก
“ทำลายมิติแห่งความมืดนี้ให้ข้าซะ !”
ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงอย่างเยือกเย็นโดยไม่หวาดหวั่นใด ๆ หากการรวมร่างอสูรของนางพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ นางก็คงไม่นับว่ามันเป็น ‘ไม้ตาย’ ของตน
ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ ลมหายใจร้อนรุ่มก็แผ่ออกไปกลางอากาศ
จากนั้นปากขนาดใหญ่ของอสูรยักษ์ก็พ่นเปลวเพลิงร้อนระอุออกมาปะทะกับพลังงานความมืดที่ครอบงำฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไว้
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !
เสียงนั้นดังขึ้นในหูของทุกคนติดต่อกันก่อนที่พลังความมืดจะค่อย ๆ สลายหายไปโดยเผยให้เห็นร่างของหนานกงเจี๋ยและคนอื่น ๆ ตรงหน้าอีกครั้ง
“ลุย !”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากอสูรยักษ์ก่อนที่กระบี่เล่มยาวขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นกลางอากาศ
กระบี่เล่มยาวดังกล่าวกลายเป็นเงาภาพเลือนรางของกระบี่ที่พุ่งตรงออกไปเฉือนฟาดฟันม่านป้องกันของหนานกงเจี๋ยและพลังที่แฝงอยู่ในนั้นจนทำให้ทุกคนถึงกับสั่นสะท้าน
เคร๊ง !
เงาของกระบี่ยาวกระแทกเข้าที่ม่านป้องกันอย่างจังจนเกิดเสียงปะทะดังสนั่น
พรวดดด !
ทันใดนั้น หนานกงเจี๋ยก็กระอักเลือดคำโตออกมาพร้อมกับม่านป้องกันที่แตกสลายกลางอากาศและเงาของกระบี่ยาวก็พุ่งโจมตีเข้าใส่คนของฝ่ายมารอย่างไม่หยุดยั้ง
“กระจายตัวออกไปเร็วเข้า !”
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนดังกล่าว คนของฝ่ายมารก็แยกย้ายกระจายตัวออกไปสองฟากอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ยังมีบางคนที่เคลื่อนไหวได้ช้ากว่าและถูกโจมตีโดยคลื่นที่ผันผวนจากพลังนั้น
พรวดดด !
พรวดดด !
คนของฝ่ายมารมากกว่าสิบคนกระอักเลือดออกมาขณะกระเด็นออกไปและร่วงลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงโดยไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็หลบหนีออกไปได้อย่างหวุดหวิดและสภาวะพลังในร่างของพวกเขาก็ปั่นป่วนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากพลังมหาศาลเมื่อครู่เช่นกัน
ตู้มมม !
เสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้งและเงาภาพของกระบี่เล่มนั้นก็พุ่งลงกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ขึ้นมา
เมื่อสถานการณ์สงบลงและฝุ่นโดยรอบจางหายไป ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ในหลุมนั้นได้อย่างชัดเจน ภายในหลุมที่มีความลึกเพียงประมาณครึ่งตัวคนเบื้องหน้า ไม่คาดคิดว่าจะมีประตูทองสัมฤทธิ์ปรากฏอยู่พร้อมกับรอยกระบี่ยาวที่ประทับไว้
พลังของการฟาดฟันเมื่อครู่พุ่งกระแทกลงบนประตูทองสัมฤทธิ์อย่างพอดิบพอดีและประตูบานนี้น่าจะเป็นทางเข้าของซากปรักหักพังที่ทุกคนตามหา เจ้าของซากปรักหักพังนี้มิใช่คนธรรมดาอย่างแท้จริง แม้แต่พลังของกระบี่ที่ทรงพลังเมื่อครู่ก็ยังไม่สามารถทำลายมันได้และเพียงทิ้งรอยลากยาวไว้เท่านั้น
“ดูนั่นสิ นั่นคือทางเข้าของซากปรักหักพัง !”
เมื่อเห็นประตูทองสัมฤทธิ์ คนจากฝ่ายมารก็มีใบหน้าซีดเผือดทันที เวลานี้เขาสัมผัสได้ว่าซากปรักหักพังนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพียงแต่ฉินอวี้โม่และคณะยังคงจับจ้องมันอยู่และพวกเขาไม่มีโอกาสเข้าไปข้างในได้เลย
หนานกงเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะชำเลืองมองไปที่ประตูนั้นก่อนเลื่อนไปที่อสูรยักษ์ใหญ่ที่กำลังจ้องหน้าตน เมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เขาก็หันไปขยิบสายตาส่งสัญญาณให้กับศิษย์ของฝ่ายมารและต้องการหลบหนีออกไปตั้งหลักเสียก่อน
“หากคิดที่จะหนี เจ้าจะต้องถามความเห็นของข้าก่อน !”
ฉินอวี้โม่ตะโกนกร้าวและอสูรยักษ์ใหญ่โจมตีอีกครั้งโดยกระบี่เล่มยาวนั้นพุ่งตรงเข้าใส่หนานกงเจี๋ยอย่างไม่รีรอ
สีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายมารเปลี่ยนไปทันที เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่รวมอยู่ในกระบี่เล่มนั้นและกล่าวกับตัวเองในใจ “ชีวิตของข้าคงมาได้แค่นี้ !”
แต่ทว่า จู่ ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน…
.