ทันทีที่กระบี่ยาวของอสูรยักษ์กำลังจะปักเข้าที่ร่างของหนานกงเจี๋ย จู่ ๆ กลุ่มอากาศสีดำทะมึนแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นมา
พลังงานความมืดห่อหุ้มรอบกระบี่ยาวเล่มนั้นอย่างรวดเร็วและเหมือนจะมีพลังกัดกร่อนที่ทรงอำนาจเช่นกัน ภายในชั่วพริบตา กระบี่เล่มยาวที่ทรงพลังก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในขณะเดียวกันนี้ อสูรยักษ์ที่ก่อตัวจากการรวมร่างของอสูรนับร้อยก็ไม่สามารถรองรับพลังของมันได้อีกต่อไปและค่อย ๆ แยกตัวออกจากกันกลับคืนร่างเดิมของอสูรตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมาก
“นายหญิง พลังงานสีดำนั่นแปลกพิลึกจริง ๆ”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ สูญเสียพลังงานไปมากและเวลานี้มีสภาพที่ไม่สู้ดีนัก พลังงานสีดำเหล่านั้นราวกับมีพลังกัดกร่อนที่ซ่อนเร้นอยู่และหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของพวกมันเพื่อพยายามควบคุมตัวพวกมันไว้
หากมิใช่เพราะอสูรเหล่านี้มิได้เป็นอสูรธรรมดาทั่วไป พวกมันคงเพลี่ยงพล้ำและสูญเสียสติรับรู้ของตนเช่นเดียวกับอสูรเจ้าถิ่นหลายตัวของป่าใบไม้เขียวเป็นแน่
หลังจากสัมผัสได้ถึงอาการของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ฉินอวี้โม่ก็โบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อส่งพวกมันทั้งหมดกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
“เหอะ สมกับที่เป็นเทพมายาคนใหม่จริง ๆ ไม่คิดเลยว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าบรรพชนเทพมายาเสียอีก”
ทันใดนั้น น้ำเสียงน่าขนลุกก็ดังขึ้นในหูของทุกคนในที่นี้อย่างชัดเจนก่อนปรากฏร่างเงาสีดำทะมึนข้างหน้าหนานกงเจี๋ย เงาดำดังกล่าวปกคลุมไปด้วยกลุ่มอากาศสีดำและมองเห็นรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นได้เพียงราง ๆ เท่านั้น ไม่มีผู้ใดในที่นี้มองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน เว้นเพียงแต่ดวงตาส่องประกายสีเขียวประหลาด
“ท่านผู้นำ !”
เมื่อเห็นเงามืดทะมึนดังกล่าว สีหน้าของหนานกงเจี๋ยก็เปลี่ยนเป็นความสุขเอ่อล้นทันทีและความตื่นตระหนกทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าของเงาดำมืดนี้ก็คือผู้นำฝ่ายมารผู้ทรงพลังที่สุดในขุมกำลังของพวกเขา แม้ว่าตอนนี้พลังของเขาจะอยู่ในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าว ทว่าหากเทียบกับผู้นำขุมกำลัง ผู้อาวุโสหนานกงเจี๋ยก็ยังเทียบไม่ติดเลยสักนิด พลังความแข็งแกร่งของผู้นำขุมกำลังมารร้ายน่าสะพรึงกลัวจนตัวเขาไม่สามารถคาดเดาได้เลย
“ถูกสตรีตัวเล็ก ๆ ไล่ต้อนจนตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ เมื่อกลับไปที่ขุมกำลัง ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยตนเอง !”
เงาทะมึนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านผู้นำ’ กล่าววาจาเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“ขอรับ”
หนานกงเจี๋ยไม่กล้าขัดแย้งโต้เถียงและพยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำขุมกำลัง เขาก็เป็นเพียงบุคคลที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง หากริอาจต่อต้านขัดคำสั่ง บทลงเอยของเขาคงไม่ดีนัก
เมื่อเงาร่างเลือนรางของผู้นำฝ่ายมารปรากฏตัว ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ระแวดระวังมากขึ้นทันที ความแข็งแกร่งของผู้นำขุมกำลังมารร้ายน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เพียงได้เห็นหนานกงเจี๋ยผู้ทะนงตนเปลี่ยนท่าทีกลายเป็นว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ ทุกคนก็ทราบดีว่าความแข็งแกร่งของผู้นำฝ่ายมารเหนือชั้นกว่าเขามากนัก
“เหอะ เจ้าหนุ่มที่บ่มเพาะพลังโกลาหลและสืบทอดกายโกลาหลก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน การออกมาครานี้ของข้าช่างคุ้มค่าจริง ๆ !”
สายตาของผู้นำฝ่ายมารชำเลืองมองไปที่หานโม่ฉือด้วยแววตาเย้ยหยันและกล่าวออกไป
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ระแวดระวังตัวมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายสามารถตรวจจับสภาวะร่างกายของหานโม่ฉือได้อย่างง่ายดาย ผู้นำฝ่ายมารคู่ควรแก่คำร่ำลือและยากจะรับมืออย่างแท้จริง
“พวกเจ้าโชคดีแล้วที่ได้พบข้า ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลุดมือไปอีก จงตามข้ากลับไปที่ขุมกำลังเสียโดยดี เมื่อถึงตอนนั้น เมื่อข้าได้ดึงดูดพลังจากเจ้า ความแข็งแกร่งของข้าจะฟื้นฟูถึงสภาวะสูงสุดและอาจเหนือกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อถึงตอนนั้น อยากเห็นนักว่าเจ้าพวกเฒ่าเหล่านั้นจะทำอะไรข้าได้ !”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็รู้สึกถึงพลังที่กดข่มลงมาอย่างกะทันหันจนขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วขณะ
“โอ้ ผู้นำฝ่ายมารมาถึงที่นี่ทั้งที ข้าจะไม่ต้อนรับได้อย่างไร ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟิง…การที่ผู้นำฝ่ายมารมาถึงที่นี่ เหตุใดจึงไม่เชิญเขาไปที่นครเวหาในฐานะแขกของเราล่ะ ?”
ในขณะที่หานโม่ฉือกำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง น้ำเสียงทรงเสน่ห์เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่าพลังประหลาดรอบตัวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่สตรีนางหนึ่งที่ดูมีอายุประมาณสามสิบปีในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์จะปรากฏตรงหน้าทุกคน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสตรีผู้นี้ก็คือจ้าวนครเวหา—อวิ๋นซื่อเทียนนั่นเอง ทันทีที่มุ่งหน้ามาถึงที่นี่ นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังชั่วร้าย ในอดีตนางเคยประจันหน้ากับผู้นำฝ่ายมารผู้นี้มาก่อนและแน่นอนว่านางย่อมจำมันได้ในทันที
ในเมื่อผู้นำฝ่ายมารแสดงตัวออกมาเช่นนี้ หากไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง มันก็คงมิใช่บุคลิกนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของนาง
“อวิ๋นซื่อเทียน เจ้าอีกแล้วรึ !”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่คืออวิ๋นซื่อเทียน บุรุษในกลุ่มควันสีดำก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวทันทีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชิงชังอย่างลึกซึ้งที่มีต่อสตรีตรงหน้านี้
“ถูกต้อง เป็นข้าเอง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะจำข้าได้”
อวิ๋นซื่อเทียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพุ่งตัวออกไปปรากฏข้างกายของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
“สวัสดี ฉินอวี้โม่ ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามานาน ยินดีที่ได้รู้จัก”
อวิ๋นซื่อเทียนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ขณะยื่นมือออกไปทักทายในลักษณะที่ผิดแปลกไปจากประเพณีของผู้คนในดินแดนนี้
“สวัสดี”
ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของอวิ๋นซื่อเทียน
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาจากแม่สาวน้อยเยว่ชิงเฉิงว่าปืนพกสองกระบอกของนางได้รับแรงบันดาลใจมาจากเจ้า ข้าอยากพบเจ้าด้วยตัวเองมานานแล้วเพียงแต่ยังไม่เคยมีโอกาส ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันในวันนี้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ”
อวิ๋นซื่อเทียนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้และตั้งข้อสันนิษฐานไว้ในใจแล้ว
เมื่อทราบถึงตัวตนของเทพมายาคนใหม่ เดิมทีนางก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ทว่าภายหลังเมื่อนครล่าฝันปรากฏขึ้นมาและนางบังเอิญได้เห็นปืนพกสองกระบอกของเยว่ชิงเฉิง อีกทั้งยังได้ยินว่าปืนสองกระบอกนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉินอวี้โม่ อวิ๋นซื่อเทียนจึงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสตรีนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ ขึ้นมาทันที ภายหลังนางพยายามสืบข่าวคราวอย่างต่อเนื่องจึงได้ทราบข้อมูลความเป็นมาเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ นั่นคือสาเหตุที่นางจำฉินอวี้โม่ได้ทันทีที่พบหน้า
“ท่านมาจากที่ใดรึ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาและสังเกตท่าทางของอวิ๋นซื่อเทียน ฉินอวี้โม่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ทันที นางยื่นมือออกไปประสานกับอีกฝ่ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่นางรู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางของอวิ๋นซื่อเทียนเมื่อครู่ ยิ่งไปกว่านั้น ความสนใจอย่างออกนอกหน้าที่จ้าวนครเวหาผู้นี้มีต่อปืนพกก็ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
“เฮ้ ฉลาดดีนี่”
อวิ๋นซื่อเทียนยิ้มกริ่มและยืนยันข้อสงสัยของฉินอวี้โม่ในทันที ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะมาจากที่เดียวกับนาง
และก็เป็นเช่นนั้นจริง อวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้มาจาก ‘โลกในยุคสมัยใหม่’ เช่นกันและอยู่ในดินแดนแห่งนี้มานานหลายร้อยปี และในตอนแรกที่มายังโลกใบนี้ นางก็เคยไร้พลังเป็นขยะไร้ค่าเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่ในอดีต
อวิ๋นซื่อเทียนคนเดิมเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นที่ชื่นชอบและชำนาญงานฝีมือในสิ่งแปลกประหลาดใหม่ ๆ หลังจากมาที่โลกใบใหม่แห่งนี้ นางก็อาศัยความทรงจำจากยุคสมัยใหม่ในการสร้างสิ่งที่พิเศษต่าง ๆ ซึ่งมาจากศาสตร์ของการ ‘เล่นแร่แปรธาตุ’
ในชีวิตนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชีวิตเดิมของนางไม่มีและนางใช้ฝีมือความสามารถที่นี่ได้ดีมากกว่า ในช่วงที่ผ่านมานี้ นางได้ประดิษฐ์หุ่นกล หน้าไม้ขนาดใหญ่และระเบิดมือขึ้นมา ทว่าปืนพกคือสิ่งหนึ่งที่นางไม่เคยประดิษฐ์ได้สำเร็จมาก่อน
ในตอนแรกนางก็มิได้มีแรงบันดาลใจมากนักจนกระทั่งได้มาเห็นปืนพกสองกระบอกของเยว่ชิงเฉิง และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นางคาดเดาได้ว่าฉินอวี้โม่น่าจะมาจากยุคสมัยใหม่เช่นเดียวกับตน
ตลอดหลายที่ผ่านมา นางเฝ้ารอให้ใครสักคนเช่นฉินอวี้โม่ปรากฏตัวมาเสมอ และเมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาในเมืองซิ่งหัว นางจึงส่งคนไปที่เมืองซิ่งหัวเพื่อเชิญฉินอวี้โม่มาเยือนนครเวหาของตนและต้องการยืนยันข้อสงสัยที่มี ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่และคณะจะถูกผู้นำของฝ่ายมารขัดขวางอยู่ที่นี่
“เยี่ยมไปเลย !”
เมื่อได้ยินวาจาของอวิ๋นซื่อเทียน ฉินอวี้โม่ก็คลี่ยิ้มกว้างทันที ไม่คิดเลยว่าในโลกใบใหม่แห่งนี้นางจะได้พบกับใครคนอื่นที่เผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน หากต้องเผชิญสิ่งที่แปลกประหลาดต่อไปในภายภาคหน้า ในที่สุดนางก็มีใครสักคนที่พูดคุยกันได้อย่างเข้าใจ
หานโม่ฉือ อวิ๋นเฟิงและคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าที่งุนงงและไม่เข้าใจนัก ขณะมองดูฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกราวกับว่าสตรีสองนางตรงหน้าเป็นสหายเก่าแก่ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน หลังจากพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ทั้งสองดูราวกับมีความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด และความเข้าใจโดยปริยายนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่อาจเข้าใจได้เลย
หานโม่ฉือพอทราบเรื่องบางอย่างมาก่อนแล้ว และหลังจากไตร่ตรองดู เขาก็คาดเดาได้คร่าว ๆ ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็เคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับความเป็นไปเป็นมาของนางและดูเหมือนว่าอวิ๋นซื่อเทียนผู้นี้อาจมาจาก ‘สถานที่แห่งนั้น’ เช่นเดียวกับนาง
“อะแฮ่ม ท่านทั้งสอง พวกท่านจะหยุดรำลึกความหลังกันก่อนได้รึไม่ ? คนพวกนั้นจ้องเราไม่วางตาเลย”
เมื่อเถียนเข่อเอ๋อร์ชำเลืองมองเงาทะมึนและหนานกงเจี๋ยรวมถึงศิษย์ฝ่ายมารที่ยังคงมองตรงมา นางก็อดกล่าวออกไปไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็เรียกสติกลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนกวาดสายตามองกลุ่มคนของฝ่ายมารอย่างจริงจัง
“ท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของฝ่ายมารที่ชอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ รู้สึกอย่างไรกับการต่อสู้ครั้งล่าสุดกับข้า ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีหรือยัง ? หรือต้องให้ข้าผู้นี้มอบบทเรียนที่จำขึ้นใจให้กับเจ้าอีกครั้ง ?”
อวิ๋นซื่อเทียนไม่เห็นผู้นำฝ่ายมารอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยขณะกล่าวด้วยวาจาทะนงตน จากวาจาของนาง เห็นได้ชัดว่าครั้งสุดท้ายที่นางประจันหน้ากับผู้นำฝ่ายมาร นางทำให้เขาบาดเจ็บพอสมควร
“บัดซบ ! คราก่อนที่เจ้าเอาชนะข้าได้เป็นเพียงเพราะโชคช่วยเท่านั้น ในตอนนี้เจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคู่มือของข้าผู้นี้อีกรึ ?!”
ผู้นำฝ่ายมารแผ่พลังประหลาดออกไปทันที ส่งผลให้ต้นไม้ทุกต้นรอบบริเวณแห้งเหี่ยวโรยราในฉับพลัน จากนั้นก้อนแสงสีดำขนาดใหญ่ที่มีพลังธาตุมืดก็ปรากฏในมือของเขาราวกับเขากำลังเตรียมตัวปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรง
“เจ้าโง่เอ๋ย คิดว่าข้าจะยืนดูอยู่เฉย ๆ และรอให้เจ้าเตรียมการโจมตีเสร็จสิ้นรึ ?”
อวิ๋นซื่อเทียนกลอกตาไปมาก่อนหยิบของบางอย่างสองชิ้นออกมาจากแหวนมิติโดยยื่นชิ้นหนึ่งให้กับฉินอวี้โม่ และบังเอิญว่ามันเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คุ้นตาเป็นอย่างดี
“ระเบิดมือ !”
เมื่อเห็นของสิ่งนั้น ฉินอวี้โม่ก็แทบพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าอวิ๋นซื่อเทียนจะประดิษฐ์ของสิ่งนี้ได้สำเร็จและทำให้นางประหลาดใจอย่างแท้จริง
“ไม่เคยมีใครเข้าใจสิ่งเหล่านี้มาก่อน ข้าทำได้เพียงศึกษามันด้วยตัวเอง ทว่าบัดนี้ในเมื่อได้พบกับเจ้า เราจะได้พูดคุยปรึกษากันในอนาคตต่อไป”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่อย่างไร้ข้อกังขา พวกนางมาจากยุคสมัยใหม่เช่นเดียวกันและตอนนี้ถือเป็นสหายต่อกันแล้ว แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายไว้วางใจกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้าใจตรงกันโดยปริยายระหว่างทั้งสองก็เป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจมันได้ง่าย ๆ
“โยนพร้อมกัน”
หลังจากที่นางขยิบตาให้กับฉินอวี้โม่ ทั้งสองก็ดึงสลักและโยนตรงไปที่ผู้นำฝ่ายมารพร้อมกัน
ตู้มมม !
ระเบิดมือทั้งสองลูกตกลงที่ปลายเท้าของเป้าหมายก่อนระเบิดจนเกิดเสียงดังสนั่นทันที กระบวนท่าโจมตีของผู้นำฝ่ายมารก็ถูกขัดขวางไว้อย่างทันท่วงทีและก้อนแสงสีดำในมือของเขาที่เกือบจะก่อตัวขึ้นมาสำเร็จก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“บัดซบ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้ !”
ผู้นำขุมกำลังมารร้ายตะโกนกร้าว เขาเผลอลืมไปอีกคราว่าอวิ๋นซื่อเทียนที่น่ารังเกียจผู้นี้มีวิธีการหลากหลายอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนหัวเราะกันอย่างสาแก่ใจและเสียงหัวเราะของพวกนางก็ดังไปทั่วบริเวณ
.