ณ ปลายสุดของขั้นบันไดทอดยาวที่ดูไร้จุดสิ้นสุด อสูรน้อยนอนแผ่หรามองดูสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และคณะอยู่หน้ากระจกบานใหญ่
เมื่อเห็นพวกนางที่ถูกหมอกมืดสีดำสนิทครอบงำนานเกือบสองก้านธูปโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มันก็อดกังวลไม่ได้ อสูรตัวน้อยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินอวี้โม่และพวกจะได้รับมรดกสืบทอดของที่นี่ไปครอง
ทันทีที่มันเริ่มพิจารณาจะยื่นมือเข้าไปช่วย แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นในภาพบนกระจก
ณ จุดที่ฉินอวี้โม่และทุกคนยืนอยู่ท่ามกลางความมืดก่อนหน้านี้ จู่ ๆ หมอกพิษมัวหมองก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับพวกมันเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจและไม่กล้าแม้แต่จะปรากฏตัวอีกครั้ง
บนปลายนิ้วมือเรียวของฉินอวี้โม่มีกลุ่มเพลิงเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างเจิดจ้าลุกโชติช่วงอยู่ และเพลิงนี้นี่เองที่ปัดเป่าหมอกพิษทั้งหมดออกไปและช่วยให้กลุ่มของนางข้ามผ่านกลไกที่สองได้สำเร็จ
บังเอิญเหลือเกินว่าการไขปริศนาของกลไกที่สองนี้ จอมยุทธ์จะต้องหาปุ่มเปิดปิดที่ซ่อนไว้ให้พบหรือไม่ก็ใช้เพลิงจักรพรรดิ
แรกเริ่มเดิมที ฉินอวี้โม่ก็เพียงต้องการทดสอบเพลิงจักรพรรดิของนางดู ไม่คิดเลยว่ามันจะได้ผลและปัดเป่าหมอกพิษสลายหายไปอย่างง่ายดาย ซึ่งช่วยให้ทุกคนข้ามผ่านกลไกที่สองได้สำเร็จ
หมอกมืดมัวรอบตัวบนขั้นบันไดหายไปอย่างไร้ร่องรอยและทุกคนก็โล่งใจอีกครา ทุกคนรู้สึกได้ว่าพลังมายาในร่างเริ่มลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง หากฉินอวี้โม่ไม่สามารถไขปริศนากลไกนี้ได้ทันเวลา ทุกคนก็อาจต้องตายอยู่ที่นี่
“ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่ามันจะต้องน่าสะพรึงกลัวแน่ ก่อนหน้านี้เราควรจะปล่อยให้คนของฝ่ายมารเข้ามาสำรวจเส้นทางให้เราก่อน”
อวิ๋นซื่อเทียนย่นปากและนึกเสียดายเล็กน้อย หากทราบก่อนว่ากลไกในซากปรักหักพังจะลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ นางก็คงจะส่งคนของฝ่ายมารลงมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้า
“สมาชิกของฝ่ายมารไม่ได้ธรรมดาเลย พวกเขาบ่มเพาะพลังความมืดที่น่าสะพรึงกลัว บางทีพวกเขาก็อาจจะดูดซับหมอกพิษพวกนี้และพัฒนาพลังของตนเองก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของซากปรักหักพังนี้ก็น่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงทีเดียว สำหรับสิ่งที่เขาเรียนรู้และสั่งสมมารวมถึงทักษะกลไกที่ทรงพลัง หากพวกคนชั่วของฝ่ายมารได้ไปครอง เมื่อเกิดสงครามในอนาคตข้างหน้า มันจะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อเรา”
เถียนเข่อเอ๋อร์กล่าวออกมา นางตระหนักได้แล้วว่ากลไกเหล่านี้ทรงพลังเพียงใดและถือว่าเป็นเคราะห์ดีแล้วที่ไม่ปล่อยให้คนของฝ่ายมารเข้ามาในซากปรักหักพังแห่งนี้
หลังจากเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งและข้ามผ่านกลไกหลายชนิด ในที่สุดทุกคนก็มาถึงปลายทาง
เมื่อเห็นห้องโถงงดงามใต้บันได ทุกคนก็ตกตะลึงและใบหน้าแสดงถึงความประหลาดใจอย่างชัดเจน เมื่อครั้งยังมีชีวิต จอมยุทธ์ผู้ที่เป็นเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้จะต้องมั่งคั่งร่ำรวยมากอย่างแน่นอน ห้องโถงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากแร่หายากอย่างยิ่ง มันสร้างขึ้นจากหินอัคนีและพื้นของมันก็ปกคลุมไปด้วยหินอัคนีเคลือบทองที่เป็นประกายแวววับเช่นกัน
ภายในห้องโถงนี้ วัตถุระดับสูงจำนวนมากล้วนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น รวมถึงแกนชีวิตของอสูรมายาและหินผลึกจำนวนมาก
สำหรับเจ้าของซากปรักหักพังแห่ง ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่คู่ควรกับความสนใจของเขาแม้แต่น้อย พวกมันเพียงถูกโยนทิ้งขว้างกระจัดกระจายไปทั่วอย่างไม่เป็นระเบียบ
ท่ามกลางกองหินผลึกกองใหญ่คือกล่องสมบัติที่ดูสะดุดตา กล่องดังกล่าวเป็นสีเข้มและมีฝุ่นเกาะพอสมควร เมื่อวางอยู่ในห้องโถงโอ่อ่างดงามแห่งนี้ มันจึงดูขัดหูขัดตาไม่น้อย
ตรงมุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มองเห็นอสูรตัวน้อยและกระจกบานใหญ่ตรงหน้ามัน เมื่อเห็นภาพคนในกระจก ทุกคนก็อดสงสัยไม่ได้
อวิ๋นซื่อเทียนเดินตรงเข้าไปในทันทีและมองภาพในกระจกพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “กระจกนี่เหมือนกับกล้องวงจรปิดในชีวิตก่อนของเราไม่มีผิด”
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้ามีหลักการทำงานเช่นเดียวกับกล้องวงจรปิดในชีวิตก่อนของพวกนางและสามารถเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหวของทุกคน ภาพการกระทำทุกอย่างของนางและทุกคนปรากฏบนกระจกบานนี้อย่างชัดเจน เพียงแต่ภาพมุมมองที่เห็นในกระจกบานนี้ชัดเจนและกว้างขวางกว่ากล้องวงจรปิดในชีวิตก่อนมากนัก
ดินแดนเทพมายาแห่งนี้เต็มไปด้วยคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจอย่างแท้จริง
“เฺฮ้ ข้ารู้อยู่แล้วว่ากลไกเหล่านี้ขัดขวางพวกเจ้าไม่ได้”
อสูรน้อยยิ้มกว้างและกระโดดขึ้นเกาะบนไหล่ของฉินอวี้โม่อย่างสบายใจ
“มรดกสืบทอดอยู่ในกล่องนั่น สิ่งอื่น ๆ ที่เหลือพวกเจ้าก็สามารถหยิบไปได้ตามสบาย”
หลังจากตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่พร้อมฉินอวี้โม่ อสูรน้อยก็ชี้ไปที่กองสมบัติสิ่งของและกล่าวอย่างไม่ตื่นเต้นนัก
เมื่ออสูรตัวน้อยกล่าวเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้แล้วว่าคงจะไม่มีกลไกกับดักใดที่แอบซ่อนอยู่ในห้องโถงนี้
“เข้าไปเล่นกับเจ้าหนูทั้งสองเถอะ”
นางยิ้มให้กับอสูรน้อยและโยนมันเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
ภายในคฤหาสน์หลังน้อย เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบอสูรน้อยอีกครั้ง ในขณะที่เหล่าอสูรของฉินอวี้โม่ต่างก็สงสัยใคร่รู้เมื่อได้เห็นอสูรขนนุ่มตัวเล็กผู้มาใหม่
หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็เล่นสนุกด้วยกันอย่างมีความสุขและคึกคักยิ่ง
ภายในซากปรักหักพังข้างนอก ทุกคนก็เก็บวัตถุต่าง ๆ ที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เถียนเข่อเอ๋อร์เป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลธุรกิจรายใหญ่ที่สุดของดินแดนเทพมายา กล่าวได้ว่านางเห็นสิ่งของล้ำค่ามาทั่วดินแดนแล้ว อย่างไรก็ตาม สมบัติหายากในห้องโถงแห่งนี้ก็ยังทำให้นางประหลาดใจอย่างยิ่ง ทรัพย์สินความมั่งคั่งในห้องโถงนี้เพียงแห่งเดียวก็มากพอที่จะสร้างขุมกำลังขนาดกลางได้เลย
หลังจากเก็บสมบัติมากมาย ทุกคนก็เลือกสิ่งที่ต้องการและเถียนเข่อเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะนำของเหล่านี้กลับไปขายที่ร้านค้าของเรา จากนั้นเราจะแบ่งหินผลึกที่ขายได้อย่างเท่าเทียมกัน”
เมื่อเห็นแกนชีวิตและแก่นอสูรระดับสูงหลายร้อยชิ้นและวัตถุจำนวนมากที่หายากพอสมควร เถียนเข่อเอ๋อร์ก็ผุดความคิดนี้ขึ้นมา
สำหรับสิ่งเหล่านี้ หากขายผ่านโรงประมูลตระกูลเถียน มูลค่าของพวกมันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะสร้างรายได้อย่างมหาศาล
“ได้สิ จัดการตามนั้นได้เลย”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ทราบถึงพลังอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเถียนเป็นอย่างดี ทุกคนจึงพยักศีรษะตอบรับอย่างว่าง่าย
“เจ้าของซากปรักหักพังคนก่อนคงจะไม่ชอบการฝึกยุทธ์และการต่อสู้ เขาไม่มีทักษะยุทธ์ อาวุธ อุปกรณ์ โอสถหรืออะไรทำนองนั้นเลย ช่างเป็นคนแปลกพิกลจริง ๆ”
เถียนหมิงจากตระกูลเถียนสำรวจสิ่งที่พบและกล่าวอย่างน่าคิด
สายตาของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็จับจ้องไปที่กล่องใบเล็กตรงกลางและสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือสิ่งใด
ทั้งสองไม่รอช้าและเปิดออกทันทีก่อนที่ของสองสิ่งปรากฏตรงหน้า
สิ่งของข้างในคือตำราเล่มหนาที่ดูเก่าแก่ชำรุดและหุ่นไม้ลักษณะเหมือนมนุษย์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือขนาดใหญ่
หลังจากหยิบของทั้งสองสิ่งออกมาก็พบว่ามีอักษรสี่พยางค์ระบุไว้บนตำราเล่มหนา ‘กลไกค่ายกล’
เมื่อเปิดดูอย่างคร่าว ๆ และพลิกไปมาก็พบว่าเนื้อหาในนั้นล้วนเกี่ยวกับกลไกกับดักที่ซับซ้อนและศาสตร์ด้านการวางค่ายกลที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง นอกจากกลไกหลายรูปแบบที่เผชิญระหว่างเดินทางมาถึงที่นี่ก็ยังมีทักษะการวางกลไกและค่ายกลขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งใช้สำหรับรับมือกับศัตรูที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มได้ดียิ่ง
“เอ่อ ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้หรอก เจ้าเก็บไว้ศึกษาเองเถอะ”
อวิ๋นซื่อเทียนชำเลืองมองมันและส่ายศีรษะอย่างไม่สนใจ หากเปรียบกับสิ่งที่ไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้ นางสนใจการเล่นแร่แปรธาตุของตนมากกว่า
“มันซับซ้อนเกินไป เราไม่ต้องการหรอก การศึกษาเรื่องพวกนี้จะทำให้ข้าปวดหัวเปล่าๆ ยิ่งไปกว่านั้น หากศึกษามันได้ไม่ดีและทุ่มเทเวลาและความพยายามโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา การต้องเสียเวลาและความพยายามเช่นนั้น มันก็ไม่คุ้มค่าหรอก”
เถียนเข่อเอ๋อร์แลบลิ้นเล็กน้อยและส่ายศีรษะอย่างแรงแสดงถึงความหวาดกลัวไม่น้อย
นางได้เผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวของกลไกทั้งหลายรูปแบบก่อนหน้านี้แล้ว แม้ทักษะกลไกนี้จะทรงพลังอย่างมาก นางก็ยังต้องมีพรสวรรค์ในระดับหนึ่งจึงจะศึกษามันได้ ทว่านางก็ไม่ต้องการเสี่ยงศึกษาสิ่งที่อาจเป็นอันตรายเช่นนี้ หากพลาดพลั้งและทำให้ตัวเองบาดเจ็บขึ้นมา สิ่งที่ได้ก็ย่อมไม่คุ้มค่ากับสิ่งเสียไป
“ข้าก็ไม่อยากได้เช่นกัน พลังวิญญาณของข้าอ่อนแอเกินกว่าจะศึกษาสิ่งเหล่านี้”
เถียนหมิงส่ายศีรษะปฏิเสธเช่นกันและแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจกลไกเหล่านี้แม้แต่น้อย เขาและเถียนเข่อเอ๋อร์มีความคิดแบบเดียวกันนั่นคือตระหนักว่ามันเสี่ยงจนเกินไป
“ถ้าเช่นนั้นก็เอามาให้ข้าเถอะ”
หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ และรับตำราเล่มนั้นมาจากมือของฉินอวี้โม่ เขาสนใจเกี่ยวกับทักษะกลไกและค่ายกลเหล่านี้อย่างยิ่ง นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือโม่เอ๋อร์ของเขาศึกษาเรื่องต่าง ๆ มามากแล้วและเขาไม่ต้องการให้นางต้องเหนื่อยไปกว่านี้อีก
“เมื่อเจ้าหลอมกลไกทรงพลังแบบที่พกพาได้เมื่อใด อย่าลืมแบ่งให้ข้าด้วยล่ะ”
ฉินอวี้โม่ยื่นตำราให้หานโม่ฉือและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ของข้าก็คือของเจ้า ทุกอย่างเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
หานโม่ฉือมองสตรีคนรักด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความรักและบีบมือบางของนางไว้แน่น
“เหอะ เลี่ยนชะมัด !”
อวิ๋นซื่อเทียนยิ้มกว้างทว่าแค่นเสียงด้วยความอิจฉาน้อย ๆ นางมาที่ดินแดนนี้ก่อนฉินอวี้โม่นานหลายร้อยปี ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่พบบุรุษใดที่เข้าใจตรงกันเช่นนี้ นางไม่รู้เลยว่าเมื่อใดนางจะได้พบคนที่จะจับมือนางและกล่าววาจาด้วยความรักเช่นนี้
“นี่คืออะไร ?”
เมื่อหยิบหุ่นลักษณะคล้ายมนุษย์ขึ้นมา เถียนเข่อเอ๋อร์ก็พบว่ามันดูลึกลับพอสมควร
มันคือหุ่นสวมชุดเกราะซึ่งแม้แต่ศีรษะของมันก็หุ้มด้วยเกราะเช่นเดียวกันและไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของมันได้ชัดเจนนัก เมื่อถือมันในมือ เถียนเข่อเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังวิญญาณผันผวนอยู่ในนั้น
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เคยเห็นหุ่นประเภทนี้มาแล้วเช่นกัน หลังจากมองดู ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นมา “เข่อเอ๋อร์ เจ้าสามารถเติมพลังวิญญาณของเจ้าลงไปเพื่อกระตุ้นมันได้”
เถียนเข่อเอ๋อร์พยักศีรษะอย่างว่าง่ายและเติมพลังวิญญาณของตนลงไปในหุ่นนั้น
พลังวิญญาณของนางไหลเวียนผ่านมือของตัวหุ่นและมีแสงสว่างวาบขึ้นทันทีจนทุกคนต้องหลับตาชั่วขณะและหุ่นในมือของเถียนเข่อเอ๋อร์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อแสงสว่างจ้านั้นดับลง บุรุษร่างสูงสวมชุดเกราะก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน
“อะแฮ่ม หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนพบที่นี่เสียที”
บุรุษผู้นั้นกล่าวเสียงเบาทันทีและน้ำเสียงฟังดูคลุมเครือเล็กน้อย
“มนุษย์ทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีที่มาถึงซากปรักหักพังแห่งนี้และรับสืบทอดมรดกของข้าไป ทักษะค่ายกลและกลไกเหล่านี้ถือว่าเป็นเอกลักษณ์และมีประโยชน์ใช้งานอย่างยิ่ง หากศึกษามันจนสำเร็จ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถนำค่ายกลเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดได้”
“ท่านคือเจ้าของซากปรักหักพังแห่งนี้รึ ?”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ คาดเดาตัวตนของเจ้าของเสียงดังกล่าวได้ไม่ยาก เพียงแต่อสูรน้อยคือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าของซากปรักหักพังนี้ แล้วเหตุใดจึงยังมีเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณอยู่ในหุ่นตัวนี้เช่นกัน ?
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือหุ่นไม้ที่ข้าหลอมขึ้นมา ข้าเติมเศษเสี้ยวพลังวิญญาณของข้าไว้ในนี้เพื่อทำให้มันเป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อพันปีก่อนตอนที่ข้าล่มสลายไป เขาก็ได้หลับใหลไปเช่นกัน และตอนนี้เจ้าปลุกเขาขึ้นมา เขาก็กลายเป็นผู้รับใช้ของเจ้าแล้ว”
บุรุษคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความรู้สึก
“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็ควรออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เก็บสมบัติทุกอย่างจากที่นี่ไปเสีย ซากปรักหักพังกำลังจะหายไปภายในครึ่งชั่วยาม”
ซากปรักหักพังนี้แตกต่างจากที่อื่นมาก เมื่อสมบัติถูกหยิบเอาไป มันก็จะหายสาบสูญไปตลอดกาล
ฉินอวี้โม่และทุกคนโค้งคำนับอย่างไม่ลังเล
“แล้วพบกันใหม่”
หลังจากกล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม บุรุษผู้นั้นก็กลายเป็นหุ่นไม้ในมือของเถียนเข่อเอ๋อร์อีกครั้ง
.