ภายในหุบเขาหมอกหนาแห่งหนึ่ง ท่ามกลางบุปผางดงามส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลคือสตรีนางหนึ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธิด้วยดวงตาปิดสนิท
นางสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดและดูโดดเด่นยิ่งนักท่ามกลางดอกไม้หลากสี ผิวพรรณของนางขาวผ่องและมีรูปลักษณ์ที่งดงามสะดุดตา กอปรกับกลิ่นอายความเย็นชาที่แผ่ออกมา เรียกได้ว่านางคือโฉมนารีโดดเด่นชวนตะลึงอย่างแท้จริง
สตรีชุดขาวผู้นี้ก็คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่—ไป่หลี่ชิงโร่ว สตรีผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับหานโม่ฉือตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วยซ้ำ
“คุณหนูขอรับ”
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเคารพดังขึ้นและบุรุษชุดดำที่สวมหน้ากากสีดำสนิทคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าไป่หลี่ชิงโร่ว
“เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ริมฝีบางปากของนางขยับเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
“คนของเราที่ถูกส่งไปที่ตระกูลหานแจ้งมาว่าตระกูลหานพบเบาะแสของหานโม่ฉือแล้ว ดูเหมือนว่าหานเฟย—คุณชายใหญ่ของตระกูลหานก็เพิ่งออกจากการเก็บตัวฝึกฝนและกล่าวกันว่าเขากำลังจะออกไปตามหาหานโม่ฉือผู้นั้น”
บุรุษชุดดำคือผู้พิทักษ์เงามืดที่เป็นผู้ติดตามของไป่หลี่ชิงโร่ว นอกเหนือจากเขาก็ยังมีผู้พิทักษ์เงามืดเหล่านี้อีกหลายร้อยคนซึ่งทุกคนล้วนเชื่อฟังและภักดี โดยมีบางส่วนปะปนแฝงตัวอยู่ในตระกูลใหญ่หลายตระกูลเช่นกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไป่หลี่ชิงโร่วพยายามสืบหาข่าวคราวและเบาะแสเกี่ยวกับหานโม่ฉืออย่างลับ ๆ มาตลอด และในที่สุดนางก็พบเบาะแสแล้ว
“เข้าใจแล้ว”
ไป่หลี่ชิงโร่วพยักศีรษะเบา ๆ ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เดิมทีนางเป็นคนที่มีความคิดล้ำลึกอย่างมาก แม้แต่ผู้นำตระกูลซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของนางก็ยังไม่อาจเข้าใจความคิดของบุตรสาวผู้นี้ได้
“คุณหนูขอรับ คุณหนูยังต้องการส่งคนไปสืบหาข่าวอีกรึไม่ขอรับ ?”
บุรุษชุดดำกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมอย่างที่สุด
“ไม่ต้อง ถอนกำลังได้เลย ข้ามีแผนของข้า”
ไป่หลี่ชิงโร่วส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวปฏิเสธอีกฝ่ายทันที
แน่นอนว่าบุรุษคนนั้นพยักศีรษะรับคำสั่งอย่างไม่ลังเลและถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“หลังจากเฝ้ารอมาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดเจ้าก็กลับมา…”
หลังจากผู้พิทักษ์กลับออกไป ไป่หลี่ชิงโร่วก็ค่อย ๆ ลืมตาและรอยยิ้มงดงามคลี่ประดับบนใบหน้า
แม้ไม่เคยพบหน้าคู่หมั้นคู่หมายผู้นี้มาก่อน นางก็ทราบว่าเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บิดามารดาของเขาเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และพรสวรรค์ แน่นอนว่าทายาทของทั้งสองจะต้องยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน
ไป่หลี่ชิงโร่วยึดมั่นกับความตั้งใจของตนเองอย่างแท้จริง แม้แต่คุณชายใหญ่ของตระกูลหาน—หานเฟยผู้เป็นยอดฝีมืออัจฉริยะท่ามกลางตระกูลลับทั้งสี่ นางก็ไม่เคยชายตามอง
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เยาว์วัย นางก็มักฝันถึงบุรุษมากพรสวรรค์คนหนึ่งมาเสมอ แม้ไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน นางก็สัมผัสได้ว่าเขาจะต้องเป็นบุรุษที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอน ทุกคราที่พบบุรุษผู้นั้นในความฝัน นางก็มักรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจแหลกสลายและนางก็จดจำได้เป็นอย่างดีว่าบุรุษผู้นั้นมีนามว่า ‘หานโม่ฉือ’
เพราะเหตุนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางไม่เคยคล้อยตามไม่ว่าบิดามารดาหรือผู้ใดพยายามโน้มน้าวใจอย่างไร นางเพียงต้องการพบกับหานโม่ฉือผู้นั้นที่ปรากฏตัวในความฝันอยู่เสมอ
ความคิดแน่วแน่นี้เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นความหลงใหลที่ครอบงำจิตใจ และมันกลายเป็นความหมกมุ่นที่คงอยู่มานานเหลือเกิน
ร่างของนางพุ่งตรงออกไปจากดงบุปผาอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่นางจะต้องไปหารือกับบิดามารดาของตนถึงงานรวมพลตระกูลลับทั้งสี่ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
ไป่หลี่ชิงโร่วมั่นใจว่าหานโม่ฉือจะต้องเข้าร่วมงานรวมตัวของสี่ตระกูลลับและหาทางช่วยบิดามารดาของเขาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องรอให้ถึงวันนั้นเท่านั้นและจะได้พบกับคนที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานเสียที
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไป่หลี่ชิงโร่วไม่ทราบเลยก็คือหานโม่ฉือจะปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่เขามิได้อยู่เพียงลำพัง เขากลายเป็นสามีของสตรีอื่นไปนานแล้วและเป็นบิดาของบุตรน้อยถึงสองคน…
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ห้องโถงประชุมของตระกูลหาน
“เฟยเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ออกมา”
หานชาง—ผู้นำตระกูลหานกล่าวกับบุตรชายที่ภาคภูมิใจที่สุดด้วยรอยยิ้มกว้าง
ณ ตอนนี้เรียกได้ว่าหานเฟยคือผู้ที่มากพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลหาน พลังของเขาบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดด้วยอายุที่น้อยกว่าสามสิบปีและมีแนวโน้มว่าจะทะลวงพลังได้อีกครั้งแล้ว
ความสำเร็จในอนาคตของเขาถือว่าไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริงและเขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้ยินวาจาของบิดา หานเฟยผู้เย็นชาก็เพียงพยักศีรษะเบา ๆ และไม่กล่าวสิ่งใด เขาเป็นคนเยือกเย็นและยิ้มยากยิ่งนัก แม้แต่กับบิดาของตนก็ไม่เว้น
“ท่านพี่ ท่านต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ข้า !”
โดยปกติแล้วหานซื่อไม่สนิทสนมกับพี่ชายผู้เย็นชาของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงหานโม่ฉือและความเจ็บแค้นใจที่ต้องเผชิญ เขาจึงกล่าวออกไป
แม้หานเฟยไม่ชอบหน้าน้องชายผู้เจ้าเล่ห์ ชอบหาเรื่องรังแกผู้คนและไม่สู้งานหนักเท่าใดนัก ทว่าเมื่อใดก็ตามที่มีผู้มารังแกน้องชายของตน เขาก็ไม่ยอมอยู่เฉยเช่นกัน
“ใครรังแกเจ้า ?”
หานเฟยเอ่ยถามเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“จะใครเสียอีกนอกจากเจ้าหานโม่ฉือบัดซบนั่น !”
หานซื่อกัดฟันกรอด หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เขาก็กลับมาที่จวนตระกูลอย่างรวดเร็วและแจ้งให้หานชางทราบถึงเรื่องของหานโม่ฉือแล้ว
เมื่อได้ยินเกี่ยวกับหานโม่ฉือและทราบความแข็งแกร่งของเขา หานชางก็ประหลาดใจอย่างยิ่งและรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก เดิมทีเขาตั้งใจที่จะจัดการด้วยตัวเอง เพียงแต่ในตอนนั้นเขาก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับหานโม่ฉือมากนักจึงไม่อาจบุ่มบ่ามทำสิ่งใดลงไป
ตลอดช่วงที่ผ่านมานี้เขาก็เฝ้ารอให้บุตรชายออกจากสภาวะเก็บตัว เขาเชื่อมั่นและไว้วางใจในพลังความแข็งแกร่งของบุตรชายคนนี้ยิ่งกว่าใคร หากบุตรชายผู้นี้สามารถทดสอบระดับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหานโม่ฉือได้ มันก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย
“หานโม่ฉืองั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินชื่อของหานโม่ฉือ หานเฟยก็ชะงักไปทันที และเมื่อคิดไตร่ตรองดู สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
หานเฟยทราบดีว่าในอดีตบิดาของเขาทำสิ่งใดลงไป แท้ที่จริงแล้วเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของบิดา ในตอนนั้นหานชางต้องการสังหารบิดามารดาของหานโม่ฉือให้สิ้นซาก ทว่าเขาและผู้อาวุโสหลายคนไม่เห็นด้วยและท้ายที่สุดจึงลงเอยด้วยการทำลายจุดตันเถียนและกักขังทั้งสองไว้
เดิมทีเขาก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกับลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยพบหน้าผู้นี้ เพียงแต่เมื่อนึกถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ หานเฟยก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา
หานเฟยทราบมาเสมอว่าตัวเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ในหัวใจของไป่หลี่ชิงโร่วแม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังทราบว่านางเฝ้ารอหานโม่ฉือมาโดยตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาที่เป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหานผู้มีพลังความสามารถอันยอดเยี่ยม ทว่ากลับต้องพ่ายแพ้ให้กับหานโม่ฉือผู้นั้น ก่อนหน้านี้น่าเสียดายที่บุรุษคนนั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนนี้ เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้ ทว่าตอนนี้แตกต่างออกไป ในที่สุดเขาก็ได้เบาะแสเกี่ยวกับหานโม่ฉือ แน่นอนว่าเขาก็ต้องการออกไปเห็นด้วยตาตนเองว่าหานโม่ฉือผู้นี้เป็นคนอย่างไร
หานซื่อเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวก่อนหน้านี้ให้หานเฟยได้ทราบ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ หานเฟยก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดเลยว่ามารหัวใจคนนั้นจะมีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าตน
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ?”
หานเฟยเพียงเอ่ยถามสั้น ๆ เขามองหานโม่ฉือเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไป่หลี่ชิงโร่วได้รับข่าวเกี่ยวกับหานโม่ฉือเช่นกันและต้องการไปพบด้วยตัวเอง โอกาสของเขาก็คงจะไม่เหลืออีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำถามที่บ่งบอกถึงความสนใจของพี่ชาย หานซื่อก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจทันที เขาเชื่อว่าพี่ใหญ่น่าจะพร้อมจัดการเรื่องนี้ให้ได้
“จากที่สายลับของเรารายงานมา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่นครเวหา”
หานชางกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“เข้าใจแล้ว ข้าจะต้องออกไปพบหานโม่ฉือผู้นี้สักหน่อย”
หานเฟยกล่าวอย่างแน่วแน่ก่อนมุ่งหน้าออกจากจวนตระกูลหานอย่างไม่ลังเลขณะกล่าวกับตัวเองในใจ ‘หานโม่ฉือ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง !’
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ทราบถึงแผนการของหานเฟยและไป่หลี่ชิงโร่วแม้แต่น้อย
เวลานี้ พวกนางก็อยู่ในนครเวหาและกำลังพูดคุยบางอย่างกับอวิ๋นซื่อเทียน
ภายในสวนร่มรื่นของจวนจ้าวนคร ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนกำลังหารือกันอย่างสบาย ๆ
ส่วนหานโม่ฉือ เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่รวมถึงอสูรตัวน้อยก็กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่รอบ ๆสวนนี้
“ท่านคงจะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์เช่นนี้มาก สวนของจวนจ้าวนครที่นี่เหมือนสนามเด็กเล่นไม่มีผิด”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ประหลาดแตกต่างไปจากทุกสถานที่ในดินแดนนี้
นับตั้งแต่ทราบว่าอวิ๋นซื่อเทียนมาจากยุคสมัยใหม่และเผชิญกับสถานการณ์ทำนองเดียวกัน นางก็รู้สึกมีความสุขราวกับได้พบมิตรสหายที่พลัดพรากจากกัน
ในชีวิตนี้ แม้นางมีมิตรสหายและคนใกล้ชิดมากมาย ทว่ามันก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีเพียงนางและอวิ๋นซื่อเทียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้
“ช่วยไม่ได้ ในชีวิตก่อนข้าทำงานรับราชการตำรวจตั้งแต่อายุยังน้อยจึงไม่มีเวลาเล่นสนุกใด ๆ แม้ว่าข้าจะชอบศึกษาการประดิษฐ์ของแปลก ๆ ก็ตาม ทว่าเมื่อมาที่ดินแดนนี้ ข้าจึงมีเวลาศึกษาพวกมันได้อย่างเต็มที่”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เวลานี้นางไม่โดดเดี่ยวเหมือนก่อนอีกต่อไป
สถานการณ์ของนางแตกต่างไปจากฉินอวี้โม่อย่างสิ้นเชิง ร่างที่นางมาจุติในชีวิตนี้ก็คือร่างเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้ง และเมื่อครั้งเยาว์วัย นางก็ได้รับการเลี้ยงดูโดยอสูรและอาศัยอยู่กับฝูงอสูรหลายตัว
เมื่อนางอายุครบสิบสามปี มนุษย์กลุ่มหนึ่งก็บุกมาสังหารอสูรที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เล็กซึ่งทำให้นางโกรธแค้นและเดือดดาลอย่างที่สุด
ทว่าในตอนนั้นนางก็ยังอ่อนแอเกินไปและไม่สามารถปกป้องอสูรทั้งหลายที่เลี้ยงดูและจริงใจกับตนได้ ในทางกลับกัน อสูรเหล่านั้นก็ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องนาง
หลังจากนั้น นางก็จดจำมนุษย์ชั่วร้ายเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี นางเดินทางไปศึกษาที่โรงเรียนราชสำนักด้วยจิตใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เมื่อความแข็งแกร่งพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ลงมือสังหารมนุษย์เหล่านั้นเพื่อล้างแค้นให้กับอสูรผู้มีพระคุณของนาง
และเป็นเพราะเหตุการณ์ครานั้นที่ทำให้ทุกคนในโรงเรียนราชสำนักมองว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นคนเย็นชาและเข้าถึงได้ยาก
หลังจากสังหารคนเหล่านั้น อวิ๋นซื่อเทียนก็เดินทางมาที่ดินแดนเทพมายาแห่งนี้เพียงลำพัง นางยังคงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของร่างนี้มาเสมอ อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปนานหลายปี นางก็ยังไม่พบเบาะแสใดและไม่ทราบว่าบิดามารดาคือใคร
ท่ามกลางการแข่งขันแก่งแย่งชิงอำนาจในดินแดนเทพมายา ด้วยพรสวรรค์และประสบการณ์การต่อสู้ที่ช่ำชองจากชีวิตก่อน นางจึงได้ก่อตั้งขุมกำลังอย่างนครเวหาขึ้นมา และด้วยความทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่ นครเวหาจึงกลายเป็นขุมกำลังใหญ่ของดินแดนในที่สุด
ถึงกระนั้น นางก็ไม่เคยมีมิตรสหายที่จริงใจและสามารถพูดคุยกันได้ทุกอย่างอย่างสบายใจ ในสายตาของผู้ติดตาม จ้าวนครเวหาผู้นี้ทั้งเยือกเย็นและโหดเหี้ยม มีลูกน้องคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง
หลังจากฟังอวิ๋นซื่อเทียนเล่าเรื่องราวของตนอย่างคร่าว ๆ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกเห็นใจนางอย่างยิ่ง
เพราะถึงอย่างไร ตัวนางก็ยังมีเพื่อนสนิทมิตรสหายมากมายและพวกเขาเหล่านั้นล้วนจริงใจต่อกัน
นับตั้งแต่มาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ หลี่ก่วนและเสี่ยวโร่วก็พยายามปกป้องนางอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นก็ได้พบกับหานโม่ฉือที่รักนางยิ่งกว่าใคร ส่วนบิดาและพี่ใหญ่ของนางก็เอาอกเอาใจนางมาตลอด รวมถึงมิตรสหายมากมายที่ได้พบเจอก็ล้วนเป็นมิตรสหายที่จริงใจต่อกันและยินดีฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างที่ขวางหน้าไปด้วยกัน เมื่อเปรียบเทียบกับอวิ๋นซื่อเทียนแล้ว นับว่าชีวิตของฉินอวี้โม่มีความสุขกว่ามาก
“พี่อวิ๋นซื่อเซียน ท่านจะไม่ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวแบบนั้นอีกต่อไป”
ฉินอวี้โม่จับมืออวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวเบา ๆ ทั้งสองจะกลายเป็นสหายคนสนิทของกันและกันในอนาคตข้างหน้า
อวิ๋นซื่อเทียนพยักศีรษะและยิ้มให้กับฉินอวี้โม่ และทุกอย่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบไปชั่วขณะ