ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ใช้เวลาอยู่ในนครเวหานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
หลังจากคำนวณเวลา มันก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลาและแยกทางจากกัน
อวิ๋นซื่อเทียนทราบดีว่าฉินอวี้โม่มีเรื่องที่ต้องจัดการสะสางอีกมาก ต่อให้จะไม่เต็มใจแยกจากกันนัก นางก็ไม่คิดขัดขวางแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเถียนเข่อเอ๋อร์เชื้อเชิญให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าร่วมงานประมูลใต้ดินที่ศูนย์การค้าตระกูลเถียนในอีกสองวันข้างหน้า ทั้งสองจึงต้องอยู่ที่นครแห่งนี้ต่อไปจนถึงวันนั้น
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็จดจ่อกับการศึกษาอาวุธลับบางอย่างที่แม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่ทราบเกี่ยวกับมัน
ต้องกล่าวเลยว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นนักประดิษฐ์ที่เก่งกาจอย่างแท้จริง ผลงานสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ ทั้งหลายของนางทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นระเบิดมือ ระเบิดควัน ระเบิดเหม็น ลูกดอก หน้าไม้และสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆล้วนกองเรียงรายอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ นอกจากนี้ ฉินอวี้โม่ก็ได้อธิบายเรื่องการหลอมปืนพกให้นางฟังและทั้งสองก็ยังได้ศึกษาค้นคว้าพายุเข็มดอกสาลี่ที่พบในซากปรักหักพังร่วมกัน ด้วยอุปกรณ์อาวุธที่ครบครันทุกรูปแบบเช่นนี้ ทั้งสองจึงรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในโลกสมัยใหม่
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลืมที่จะมอบอุปกรณ์สื่อสารให้กับอวิ๋นซื่อเทียนและสอนวิธีการใช้มัน
อวิ๋นซื่อเทียนก็มองสำรวจดูอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีระบบการทำงานเหมือนกับโทรศัพท์มือถือและอดตะลึงกับความเก่งอาจเหนือธรรมดาของฉินอวี้โม่ไม่ได้
“หากเรามีโทรศัพท์มือถือจริง ๆ มันก็คงจะดีไม่น้อย หากเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ เราก็ยังสามารถเล่นเกมและอ่านนวนิยายในนั้นได้”
เมื่อนึกถึงเทคโนโลยีอันก้าวหน้าที่สะดวกสบายอย่างยิ่งจากชีวิตก่อน อวิ๋นซื่อเทียนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เอาหน่า เราศึกษาของพวกนั้นในดินแดนแห่งนี้ไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่พึงพอใจมากแล้วที่สามารถหลอมอุปกรณ์สื่อสารได้ในตอนนี้ หากต้องการให้มันมีคุณสมบัติและการใช้งานรอบด้านอย่างโทรศัพท์มือถือ มันก็คงไม่ต่างจากการฝันกลางวัน
“ข้าเพียงนึกถึงว่าเราจะหาของพวกนั้นได้จากที่ไหน”
อวิ๋นซื่อเทียนย่นปากเล็กน้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คงจะดีไม่น้อยหากเราได้กลับไป หากข้าได้กลับไปที่โลกเดิมอีกครั้ง ข้าจะนำโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึงสายชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์มาที่นี่แน่ ๆ”
ในชีวิตก่อน นางมีทั้งครอบครัว มิตรสหายและคนรัก เวลานี้นางไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามิตรสหายเป็นตายร้ายดีอย่างไรและการตายของตนส่งผลกระทบกับพวกเขาเหล่านั้นอย่างไร ?
“บางทีก็อาจจะเป็นไปไม่ได้”
ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวว่าอวิ๋นซื่อเทียนกำลังเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ทว่ากล่าวออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก แม้ว่าตัวนางจะไม่ได้คิดถึงผู้ใดในชีวิตก่อน ทว่าหากได้กลับไปที่นั่นสักคราก็คงจะดีไม่น้อย
นางรู้สึกมาเสมอว่าดินแดนแห่งนี้ยุ่งยากลำบากยิ่งนัก บางทีพวกนางอาจหาทางย้อนกลับไปในชีวิตก่อนได้ในสักวัน
ทั้งสองพูดคุยกันต่อไปพักใหญ่ก่อนพ่อบ้านของจวนเจ้านครเดินเข้ามา
“ท่านจ้าวนครเวหา ท่านเทพมายา จอมยุทธ์หานโม่ฉือ ตอนนี้มีบุรุษคนหนึ่งอยู่ข้างนอกที่กล่าวอ้างว่าตนคือหานเฟย—บุตรชายของผู้นำตระกูลหานและต้องการเข้าพบทุกท่านขอรับ”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านของจวนจ้าวนครก็คุ้นเคยและสนิทสนมกับฉินอวี้โม่มากขึ้นโดยตระหนักดีว่าแขกเหล่านี้คือสหายของจ้าวนครเวหาและเป็นมิตรอย่างยิ่ง
“หานเฟยรึ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเคยได้ยินชื่อ ‘หานเฟย’ มาก่อนและทราบเกี่ยวกับยอดฝีมืออัจฉริยะของตระกูลหานมาบ้าง เขาเป็นพี่ใหญ่ของหานซื่อและเป็นดาวเด่นของตระกูลหาน
ยิ่งไปกว่านั้น หานเฟยก็หลงรักไป่หลี่ชิงโร่วอย่างหัวปักหัวปำและทั้งสองก็ทราบเรื่องนี้ดีเช่นกัน
เวลานี้ การที่หานเฟยเดินทางมาพบพวกนางด้วยตัวเองอย่างกะทันหัน ทั้งสามรู้สึกได้ทันทีว่าครานี้เขามิได้มาพร้อมกับเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน !
“ให้เขาเข้ามา”
แม้ทุกคนตระหนักดีว่าหานเฟยมาที่นี่เพื่อก่อเรื่องสร้างปัญหา หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ทั้งสองเพียงกล่าวสั้น ๆ เพื่อให้พ่อบ้านเชิญเขาเข้ามา
พ่อบ้านรับคำสั่งทันทีก่อนเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง
บุรุษผู้นี้ดูเหมือนมีอายุไล่เลี่ยกับหานโม่ฉือและรูปลักษณ์มีส่วนคล้ายคลึงกัน ทว่ากลิ่นอายของพวกเขาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้หานเฟยก็ยังจัดว่ามีรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่เบาและมีสตรีมากมายที่หมายปองเขาอยู่ในใจ
“ข้าน้อยขอคารวะจ้าวนครเวหา”
หานเฟยกล่าววาจาเคารพนอบน้อมต่ออวิ๋นซื่อเทียนผู้เลื่องชื่อของดินแดนอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบุรุษที่สุขุมนุ่มลึกและใจเย็นกว่าน้องชายมาก
“คุณชายใหญ่ของตระกูลหานมาเยือนนครเวหาของเราครานี้มีเรื่องอันใดรึ ?”
แม้คาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดหานเฟยจึงเดินทางมาถึงที่นี่ อวิ๋นซื่อเทียนก็ยังเอ่ยถามด้วยท่าทางสบาย ๆ
หานเฟยยิ้มบาง ๆ ขณะสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งนั่งอยู่ใกล้กัน
เมื่อสั่งให้คนเชิญหานเฟยเข้ามา ทั้งสองก็ได้ส่งบุตรน้อยทั้งชายหญิงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวแล้วและหานโม่ฉือกลับมานั่งข้างฉินอวี้โม่
“นี่คงจะเป็นลูกชายของท่านลุงและเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า—หานโม่ฉือ”
หานเฟยยิ้มและกล่าวทักทายหานโม่ฉือก่อน
หานโม่ฉือเมินเฉยขณะจับมือฉินอวี้โม่และไม่สนใจเขาเลยสักนิด
สำหรับหานเฟยผู้นี้ หานโม่ฉือไม่ชอบหน้าแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าเขาเป็นบุตรชายของศัตรูคนสำคัญและแววตาคลุมเครือที่แสดงออกมา หานโม่ฉือก็ไม่ชอบใจนัก
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย สีหน้าของหานเฟยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ้ ลูกพี่ลูกน้อง สตรีผู้นี้คือใครรึ ?”
แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่มาก่อนและตกใจไม่น้อยเมื่อทราบว่านางคือเทพมายาคนใหม่ ทว่าเมื่อได้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างสตรีผู้นั้นและหานโม่ฉือ เขาก็รู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ไป่หลี่ชิงโร่วเฝ้ารอหานโม่ฉือมาตลอดหลายปีทว่าหานโม่ฉือกลับมีเจ้าของไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้หานเฟยไม่พอใจยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกดีอยู่ลึก ๆ ในใจ หากไป่หลี่ชิงโร่วทราบเรื่องนี้ นางคงจะตัดใจจากหานโม่ฉือได้เสียที
“นี่คือภรรยาของข้า”
หานโม่ฉือกล่าวเพียงสั้น ๆ และเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน เขาไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับตนเองและเขาก็ไม่สนใจว่าใครจะคิดหาเรื่องยั่วยุเขา ทว่าหากอีกฝ่ายคิดจะดูหมิ่นภรรยาของเขา หานโม่ฉือไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ภรรยางั้นรึ ? แล้วเจ้ารู้รึไม่ว่ามีสตรีที่เฝ้ารอเจ้ามานานเกินกว่ายี่สิบปี !”
เมื่อได้ยินวาจาไม่ทุกข์ร้อนของหานโม่ฉือ หานเฟยก็รู้สึกเห็นใจไป่หลี่ชิงโร่วขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งพบกันและฟังวาจาไม่กี่ประโยค เขาก็รับรู้ถึงความรักที่หานโม่ฉือมีต่อฉินอวี้โม่ได้อย่างชัดเจนและตระหนักดีว่าคุณหนูตระกูลไป่หลี่ไม่มีทางแทรกกลางระหว่างทั้งสองได้เลย
เมื่อนึกถึงสตรีที่ตนหมายปองซึ่งเฝ้ารอหานโม่ฉือมาตลอดเวลาเนิ่นนานมากกว่ายี่สิบปี เขาก็แทบควบคุมโทสะไม่ได้ไปชั่วขณะ
“แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ? นั่นมันเรื่องของเรา”
สีหน้าของหานโม่ฉือไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขามักจะเฉยเมยและไร้ความปรานีต่อคนที่เขาไม่สนใจ การที่ไป่หลี่ชิงโร่วเฝ้ารอเขามาเนิ่นนานเช่นนี้ เขาไม่ซาบซึ้งหรือสนใจแม้แต่น้อย สตรีในหัวใจของเขามีแต่ฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียวเท่านั้นและนั่นจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อได้ยินวาจาไม่แยแสของหานโม่ฉือ หานเฟยก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ วาจาของบุรุษตรงหน้าถูกต้องแล้วที่กล่าวว่ามันเป็นเรื่องของคนทั้งสองและตัวเขาไม่เกี่ยวข้อง เพียงแต่ไป่หลี่ชิงโร่วคือสตรีที่เขาเฝ้าหมายปองและรักนางจากใจจริง เขาจะปล่อยให้หานโม่ฉือปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เห็นค่าเช่นนี้ได้อย่างไร ?
“เหอะ เจ้าคือฉินอวี้โม่…”
เมื่อหันไปมองฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยกยิ้มมุมปากอยู่ข้างกายหานโม่ฉือ คุณชายใหญ่ตระกูลหานก็แค่นเสียงเย็นชา ‘อยากรู้นักว่าหากเจ้าได้รู้ว่าหานโม่ฉือมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว เจ้าจะยังเฉยเมยเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ ?’
“เกรงว่าเจ้าคงจะยังไม่รู้สินะ…บุรุษข้างกายของเจ้ามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว และนางเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปี”
น้ำเสียงของหานเฟยเป็นการยั่วยุอย่างเปิดเผย หากเขาเป็นสตรีที่ทราบเช่นนี้ เขาก็คงไม่อาจทนรับกับการที่คนรักของตนเองมีคู่หมั้นคู่หมายเช่นนี้ได้
“โอ้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ?”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวตอบโต้
นางทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และต่อให้ยังไม่ทราบมาก่อนและเพิ่งได้ยินตอนนี้ นางก็ไม่มีทางโกรธเคืองเพราะวาจาของหานเฟย การจับคู่หมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในท้องครานั้นเป็นข้อตกลงระหว่างบิดามารดาของหานโม่ฉือและฝ่ายบิดามารดาของไป่หลี่ชิงโร่ว มิใช่การตัดสินใจของหานโม่ฉือเลยสักนิด
นับตั้งแต่จุติมาในชีวิตนี้ นางก็ได้พบรักกับหานโม่ฉือก่อนและทั้งสองรักกันอย่างแท้จริง หากไป่หลี่ชิงโร่วยอมรับความจริงและเข้าใจได้ไม่ยาก นางก็น่าจะทราบว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับตนเอง หากว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ยังคงยึดติดกับหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่คิดว่าคนผู้นั้นก็คงจะไม่ใช่คนดีนักเช่นกัน
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงเฉยเมยเหมือนกันของทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ หานเฟยก็หมดคำพูดไปทันที
เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่มาจากคนทั้งสองคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งราวกับถูกลิขิตให้มาเป็นคู่ครองกันและไม่มีผู้ใดที่จะแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองได้
อย่างไรก็ตาม เขายังคงรู้สึกสงสารและเห็นใจไป่หลี่ชิงโร่ว หากนางทราบว่าบุรุษที่เฝ้ารอมาตลอดมีคนรักแล้วเช่นนี้ หัวใจของนางก็คงจะแหลกสลายอย่างแน่นอน
“หานเฟย หากเจ้าหมายปองไป่หลี่ชิงโร่วจริง ๆ เชิญไปสารภาพรักและดูแลนางเสียเถอะ สามีของข้าไม่เคยพบนางมาก่อนและแน่นอนว่าไม่มีความรักความรู้สึกใดต่อกัน สัญญาการแต่งงานที่เกิดขึ้นในอดีตก็เป็นเพียงเรื่องตลกระหว่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้เราก็แต่งงานกันแล้ว ไม่มีใครที่จะไปขัดขวางมิให้เจ้าครองรักกับไป่หลี่ชิงโร่ว เจ้าควรที่จะมีความสุขเสียด้วยซ้ำ”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบโต้ออกไป หากหานเฟยรักไป่หลี่ชิงโร่วจริง เขาก็ควรไปแสดงความรักต่อนางและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อครองใจนางมาให้ได้ มิใช่ว่ามาหาเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเช่นนี้
ข้อตกลงการแต่งงานของหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่วไม่มีทางเป็นไปได้ ในเมื่อหานเฟยหมายปองไป่หลี่ชิงโร่ว เขาก็น่าจะยินดีที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้
ฉินอวี้โม่ไม่ชอบหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลหานผู้นี้เช่นกัน ความเจ้าเล่ห์และซับซ้อนของเขามากกว่าน้องชายอย่างหานซื่อเสียอีก
“เหอะ ช่างไร้ความรับผิดชอบยิ่งนัก หากพ่อแม่ของเจ้ารู้เข้า ไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะผิดหวังและขายหน้าเพียงใด”
จู่ ๆ หานเฟยก็แค่นเสียงและหัวเราะในลำคอ แววตาที่เขามองหานโม่ฉือเต็มไปด้วยความยั่วโทสะอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเขายินดีและมีความสุขที่สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ ตราบใดที่เขาเอาชนะบุรุษตรงหน้าและพิสูจน์ได้ว่าตนเองเก่งกาจมากฝีมือที่สุดในตระกูลหาน เขาเชื่อว่าไป่หลี่ชิงโร่วก็จะต้องผิดหวังในตัวหานโม่ฉืออย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะมีโอกาสสมหวังมากขึ้น
คำพูดของหานเฟยทำให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้ากันทันที ทั้งสองเพียงกล่าววาจาเหล่านั้นออกไปเพื่อพยายามหลอกล่อเอาข้อมูลจากหานเฟยเท่านั้น ความคิดของหานเฟยผู้นี้ล้ำลึกไม่น้อยเลย หากไม่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนไม่ต่างกัน หานเฟยคงไม่มีทางกล่าวสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับบิดามารดาของหานโม่ฉืออย่างแน่นอน
“หานโม่ฉือ ข้าขอท้าดวลกับเจ้า หากเจ้าแพ้…จงพาภรรยาของเจ้าและไสหัวกลับไปที่ดินแดนเดิมของเจ้าเสีย และอย่าเสมอหน้ามาที่นี่อีก”
แรงกดดันอันทรงพลังแผ่มาจากร่างของหานเฟยทันทีขณะกล่าววาจาเยือกเย็น
“โอ้ ท้าดวลกับข้างั้นรึ ? เกรงว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอ”
หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ และกล่าวอย่างไม่แยแส แม้พลังของหานเฟยถือว่าแกร่งกล้าไม่เบา เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
“เหอะ อย่ารีบปฏิเสธไปเลย ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้เรื่องพ่อแม่ของเจ้า เพราะฉะนั้น…หากเจ้าชนะ ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเขา”
หานเฟยแค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาอย่างฉะฉาน
“ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าต้องการ !”
เมื่อได้ยินว่ามีโอกาสทราบข่าวคราวเกี่ยวกับบิดามารดาของตน หานโม่ฉือก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและตอบรับทันที