เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต้องการต่อสู้ประมือกัน อวิ๋นซื่อเทียนจึงนำทางหานโม่ฉือและหานเฟยตรงไปยังสนามประลองของนครเวหา การดวลฝีมือระหว่างทั้งสองครานี้ไม่จำเป็นต้องให้มีใครรับรู้มากนักและไม่ต้องการจุดชนวนให้เกิดความวุ่นวายใด ๆ
ฉินอวี้โม่ไม่กังวลแม้แต่น้อย แม้ทราบว่าหานเฟยมีฝีมือไม่ธรรมดา ทว่าเขาก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับหานโม่ฉือได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรพลังขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและนภาเซียนครึ่งก้าวก็ยังต่างชั้นกันอีกมาก
ยิ่งไปกว่านั้น จากลักษณะนิสัยของหานโม่ฉือที่นางรู้จักเขามา เขาไม่มีทางตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มั่นใจอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น นางเพียงต้องการเห็นกับตาว่าความแข็งแกร่งของบุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นยอดฝีมือผู้มากพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลหานแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
มุมปากของอวิ๋นซื่อเทียนขยับยกเป็นรอยยิ้มกว้าง หลังจากใช้เวลาด้วยกันแม้เพียงไม่นาน นางก็ทราบว่าทั้งหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เป็นคนท้องดำอย่างแท้จริง ทัศนคติเฉยเมยไม่แยแสที่หานโม่ฉือแสดงต่อหานเฟยก็เพื่อยั่วยุให้เขาโมโหและจะถือโอกาสนั้นสืบเรื่องเกี่ยวกับบิดามารดาของตน
* 腹黑 ท้องดำ ความหมายคือ ภายนอกดูใสซื่อแต่ภายในเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแผนการ
เพราะเหตุนั้น จ้าวนครเวหาจึงไม่กังวลแต่อย่างใด นางเพียงมองหานเฟยด้วยแววตาเจือความสมเพชน้อย ๆ และรู้สึกได้ว่าการดวลครานี้จะทำให้บุรุษหนุ่มพ่ายแพ้อย่างราบคาบเป็นแน่
ในเวลานี้ ภายในสนามประลอง หานโม่ฉือและหานเฟยก็กำลังประจันหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้
หากเปรียบเทียบกับหานเฟยผู้ซึ่งประหม่ากังวลไม่น้อย หานโม่ฉือก็ดูสงบนิ่งและใจเย็นกว่ามาก
หานเฟยไม่สามารถตรวจจับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลย ทว่าหานโม่ฉือทราบดีว่าหานเฟยมีพลังความแข็งแกร่งในระดับใด เพราะเหตุนั้น การดวลฝีมือครานี้จึงเป็นการเดิมพันที่เขาจะคว้าชัยชนะได้อย่างแน่นอน
“เหอะ ในอดีตพ่อของเจ้าเคยเป็นคนที่มากพรสวรรค์ที่สุดในตระกูลหาน อยากเห็นนักว่าบุตรชายของเขาจะทำให้ชื่อเสียงนั้นแปดเปื้อนหรือไม่ !”
หานเฟยแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่กลุ่มเปลวเพลิงจะลุกโชนขึ้นมาบนมือของเขาและเผยให้เห็นหอกเปล่งแสงเป็นประกายเล่มหนึ่ง มันคืออาวุธระดับวิจิตรขั้นสุริยะ—หอกกิเลนเพลิง
“นี่คืออาวุธวิเศษที่เป็นสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหานเมื่อพันปีก่อน ในภายหลัง ท่านพ่อมอบมันให้กับข้าและข้าจะลองใช้มันเป็นครั้งแรก เป็นเกียรติของเจ้าจริง ๆ ที่จะได้ตายเพราะอาวุธชิ้นนี้ !”
เมื่อเทียบกับหานซื่อ หานเฟยยโสโอหังและล้ำลึกยากเกินหยั่งถึงมากกว่า ในสายตาของเขา เขาเชื่อมั่นว่าตนเองยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด ด้วยอายุของหานโม่ฉือที่ไล่เลี่ยกับตน หานเฟยจึงคิดว่าต่อให้คู่ต่อสู้มีพลังพอสมควร อย่างมากก็คงจะเท่าเทียมกับตัวเขาเท่านั้น อีกทั้งการที่เขามีอาวุธระดับวิจิตรขั้นสุริยะที่ทรงพลังเสริมเข้ามา เมื่อเผชิญหน้ากับหานโม่ฉือ เขาก็เชื่อว่าตนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
“เหอะ หากคำพูดโอ้อวดคุยโวช่วยให้เจ้าเอาชนะได้ เกรงว่าคงไม่มีจอมยุทธ์คนใดที่ต้องการฝึกยุทธ์ฝึกวิชาอีก”
หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ โดยไม่ใส่ใจวาจาของหานเฟยแม้แต่น้อย สำหรับตระกูลหาน เว้นเพียงแต่บรรดาผู้อาวุโสลึกลับที่เขาไม่สามารถคาดเดา หานโม่ฉือก็ไม่หวาดหวั่นต่อผู้ใด
“ยโสโอหังนัก !”
หานเฟยแค่นเสียงในลำคอและตะโกนกร้าว เขาไม่ลังเลอีกต่อไปจึงได้พุ่งตรงเข้าจู่โจมหานโม่ฉือทันที
สายลมพัดรุนแรงพร้อมกับการกวัดแกว่งของหอกเล่มงามในมือของเขา จากนั้นภาพเงาเลือนรางของมังกรขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าและพุ่งตรงเข้าหาหานโม่ฉืออย่างน่าหวาดหวั่น
กระบวนท่านี้กล่าวได้ว่าเป็นท่าไม้ตายที่เลื่องชื่อของหานเฟยและมันก็ทรงพลังอย่างมาก แม้แต่บิดาของเขาอย่างหานชางก็ยังต้องหวาดหวั่นต่อกระบวนท่านี้ของบุตรชายและไม่มีทางเอาชนะได้ การที่หานเฟยเลือกใช้กระบวนท่านี้ตั้งแต่เริ่มเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ยั้งมือและหมายใจจะสังหารหานโม่ฉือให้จงได้
ไม่แปลกใจเลยที่หานเฟยจะชิงชังและอาฆาตมาดร้ายต่อหานโม่ฉืออย่างที่สุด บิดาของพวกเขามีความบาดหมางต่อกันอย่างมิอาจแก้ไขได้ อีกทั้งหานเฟยก็ตกหลุมรักไป่หลี่ชิงโร่วที่มีข้อตกลงแต่งงานกับหานโม่ฉือ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ปฏิเสธความรักของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเฝ้ารอเพียงหานโม่ฉือผู้นี้ เพราะเหตุนั้นความอาฆาตที่เขามีต่อลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยพบหน้าจึงทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของหานเฟย ไป่หลี่ชิงโร่วก็คือเทพธิดาที่เขาเทิดทูนสุดหัวใจและจะไม่ยอมให้ผู้ใดหลอกลวงหรือเอาเปรียบนางเด็ดขาด ทว่าหานโม่ฉือมีภรรยาอยู่แล้วและเห็นได้ชัดว่าเขารักฉินอวี้โม่อย่างสุดหัวใจ
ด้วยเหตุนั้น การที่หานโม่ฉือมีกิริยาท่าทางเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่เห็นเทพธิดาของเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด นี่ก็เป็นการหยามหน้าไม่ให้เกียรติไป่หลี่ชิงโร่วที่เป็นดั่งเทพธิดาของเขา มันยิ่งทำให้หานเฟยรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นกว่าเดิม
ตราบใดที่สังหารหานโม่ฉือได้สำเร็จ สัญญาการแต่งงานที่เคยมีก็จะเป็นโมฆะไปโดยปริยาย หานเฟยเป็นถึงยอดฝีมืออัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของทั้งสี่ตระกูลลับและถือว่าคู่ควรกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึง ไป่หลี่ชิงโร่วจะต้องเป็นของเขาไม่ผิดแน่
หลังจากคิดได้เช่นนี้ จิตสังหารที่เขามีต่อหานโม่ฉือจึงเอ่อล้นออกมาอย่างเต็มเปี่ยมและหมายที่จะสังหารศัตรูหัวใจให้สิ้นซากไปโดยเร็ว
“อ่อนแอเกินไป !”
หานโม่ฉือเกียจคร้านเกินกว่าจะคิดให้เสียเวลา สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงและเห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าที่เป็นไม้ตายของหานเฟยไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ
ในเวลานี้เขาก็ยังไม่หยิบอาวุธหรืออุปกรณ์ใดออกมา เขาเพียงประกบนิ้วมือเข้าด้วยกันและปลดปล่อยพลังปะทะกับกระบวนท่าของหานเฟยโดยตรง
ตู้มมม !
และเสียงการปะทะก็ดังสนั่นหวั่นไหว
กระบวนท่าที่ภาคภูมิใจของหานเฟยถูกทำลายโดยหานโม่ฉือและเงาภาพมังกรเลือนรางที่ดูทรงพลังก็เกิดรูโหว่นับพันนับหมื่นรูทะลุผ่านก่อนสลายหายไปในอากาศ
ทว่าร่างของหานโม่ฉือก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาพุ่งไปตรงหน้าหานเฟยและนิ้วมือทั้งสองของเขาหยุดลงตรงหน้าดวงตาของคู่ต่อสู้ซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าหากเขาไม่ปรานี ดวงตาของหานเฟยก็คงจะแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากเอาชนะหานเฟยด้วยกระบวนท่าเดียว หานโม่ฉือก็มิได้รู้สึกภาคภูมิใจแต่อย่างใด หานเฟยผู้นี้ไม่ต่างจากหมากตัวเล็ก ๆ ในเกมเท่านั้น ศัตรูที่แท้จริงของเขาคือหานชาง—บิดาของหานเฟยและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลหานต่างหาก
หานโม่ฉือก็มิได้ชื่นชอบตระกูลไป่หลี่ซึ่งเป็นตระกูลฝ่ายมารดาเช่นกัน เพราะเมื่อตระกูลไป่หลี่ทราบเกี่ยวกับบิดามารดาของหานโม่ฉือ พวกเขาไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยหรือขัดขวางด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน พวกเขากลับต้องการล้มเลิกข้อตกลงการแต่งงานระหว่างหานโม่ฉือและไป่หลี่ชิงโร่วเพื่อตัดความสัมพันธ์ การกระทำที่ตอกย้ำซ้ำเติมในช่วงที่เลวร้ายเช่นนี้ทำให้หานโม่ฉือชิงชังพวกเขาเหล่านั้นอย่างมาก
* 落井下石 ตอกย้ำซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นเพลี่ยงพล้ำหรือพลาดท่าเสียที เปรียบได้กับสำนวนไทย ได้ทีขี่แพะไล่
เมื่อมองดูนิ้วมือทั้งสองที่หยุดลงตรงหน้าอย่างฉิวเฉียด ใบหน้าของหานเฟยก็ซีดเผือดทันที เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังจากคู่ต่อสู้ตรงหน้าซึ่งแม้แต่บิดาของเขาก็ไม่สามารถทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้ ราวกับความตายมารออยู่ตรงหน้าแล้ว
ไม่คิดเลยว่าตัวเขาที่เป็นอัจฉริยะที่มากพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลหานจะมิใช่คู่ต่อสู้ของหานโม่ฉือแม้แต่น้อย นี่เป็นสถานการณ์พลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของหานเฟยและเขายอมรับไม่ได้เลยสักนิด
“เจ้าแพ้แล้ว”
หานโม่ฉือกล่าวเพียงสั้น ๆ และกลับไปปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่พร้อมจับมือบางของนางไว้
เมื่อได้ยินวาจาเรียบเฉยไม่แยแสทว่าเป็นคำประกาศการพ่ายแพ้ของตน หานเฟยก็เรียกสติกลับคืนมาทันที เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเพลี่ยงพล้ำอย่างง่ายดายและไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือเหนือชั้นเกินความคาดหมายของเขาไปมากนัก จนหานเฟยถึงกับแอบตกตะลึงอยู่ในใจ หานโม่ฉือผู้นี้…หากเขากลับไปที่ตระกูลหานและเหล่าผู้อาวุโสได้ทราบถึงพรสวรรค์ที่มหัศจรรย์และน่าทึ่งเช่นนี้ มันจะเกิดปัญหาใหญ่กับตระกูลหานอย่างแน่นอน !
“หานเฟย เจ้าแพ้แล้ว ทีนี้ก็บอกข่าวคราวเรื่องพ่อแม่ของข้ามาซะ”
ในเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว หานโม่ฉือก็ย่อมต้องการทราบข่าวคราวเกี่ยวกับบิดามารดาของตน เขาไม่สนใจความคิดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อยและเอ่ยถามออกไปทันที
“เหอะ วันนี้เจ้าชนะก็จริง ทว่าหากเราได้พบอีกกันอีกครั้ง ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าอีกแน่ !”
หานเฟยแค่นเสียงด้วยความเจ็บใจ ทว่าเขาก็เป็นคนรักษาคำพูดเช่นกัน
“พ่อแม่ของเจ้าถูกขังอยู่ในหอคอยต้องห้ามของตระกูลหาน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากส่งตัวเจ้าไปที่อื่นได้สำเร็จและพวกเขาถูกจับตัวกลับมาที่ตระกูลหาน รากฐานฝึกยุทธ์พวกเขาก็ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง ข้ารู้เพียงว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันนั้น ข้าก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัด !”
นอกเหนือจากหานชาง มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลหานบางคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในหอคอยต้องห้ามได้ แม้หานชางจะกล่าวว่าบิดามารดาของหานโม่ฉือยังมีชีวิตอยู่ แต่หานเฟยก็ไม่ทราบสถานการณ์ความเป็นอยู่ในปัจจุบันของพวกเขา
“กลับไปบอกพ่อของเจ้าซะว่าหากแตะต้องพ่อแม่ของข้าแม้เพียงปลายขน ข้าจะถล่มตระกูลหานให้ราบคาบ ข้าจะทวงคืนทุกอย่างที่เคยเป็นของข้า !”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชาขณะแผ่กลิ่นอายทรงพลังน่าเกรงขามจนแม้แต่อวิ๋นซื่อเทียนที่อยู่ด้านข้างก็ต้องประหลาดใจ
หานโม่ฉือผู้นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง
“หานโม่ฉือ อย่าพูดจาข่มขวัญคนอื่นให้มากนักเลย ตระกูลหานก็เป็นตระกูลของเจ้าเช่นกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทนมองดูตระกูลหานถูกตัดออกจากการเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลลับได้ !”
หานเฟยไม่เชื่อว่าหานโม่ฉือจะกล้าหาเรื่องให้ทั้งตระกูลหานต้องเดือดร้อน ถึงอย่างไรแล้วตระกูลหานก็เป็นตระกูลของเขาเช่นกัน หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาก็คงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
“โอ้ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้ ตระกูลหานไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเลยสักนิด !”
หานโม่ฉือยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวอย่างหนักแน่น ตระกูลหานทอดทิ้งเขาและตราหน้าเขาว่าเป็นตัวกาลกิณี เขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นอีกต่อไป เวลานี้หานโม่ฉือเพียงต้องการช่วยบิดาและมารดาเท่านั้น ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหาน เขาก็จะไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย
“ดี ! ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ! ข้าจะจดจำคำพูดของเจ้าไว้ ! อย่างไรก็ตาม ข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกกับเจ้า หากเจ้าริอาจมาที่ตระกูลหาน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ความแค้นและความบาดหมางระหว่างเจ้าและตระกูลของเราจะได้รับการสะสางอย่างสมบูรณ์ !”
หานเฟยกล่าวอย่างเย็นชาและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า หากมิใช่เพราะเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ เขาคงจะสังหารหานโม่ฉือผู้นี้ด้วยตัวเอง
“หานโม่ฉือ ถึงอย่างไรชิงโร่วก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเจ้า ต่อให้เจ้ามีภรรยาและลูกแล้ว หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากพอ เจ้าก็ควรจะให้คำอธิบายกับนางด้วยตัวเอง !”
เมื่อไม่อาจสรรหาคำพูดอื่นได้อีก หานเฟยก็กังวลเรื่องไป่หลี่ชิงโร่วขึ้นมา เกรงว่าคนอย่างหานโม่ฉือจะทำให้การรอคอยของนางเสียเวลาเปล่า
“โอ้ ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้กับคนที่ข้าไม่รู้จัก”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากทว่าวาจาของเขาบ่งบอกถึงความไม่แยแสและฟังดูโหดร้ายอย่างแท้จริง
เขามิใช่คนจิตใจอ่อนไหวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก่อนที่จะได้พบกับฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็เยือกเย็นยิ่งกว่านี้เสียอีกและเรียกได้ว่าเป็นบุรุษน้ำแข็งอย่างแท้จริง หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี แม้เขาจะไม่เยือกเย็นเหมือนก่อนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และสหายคนสนิทไม่กี่คนที่เขายอมรับ คนอื่น ๆ ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เขาไม่แยแส
แม้ว่าไป่หลี่ชิงโร่วจะมีคำสัญญาการแต่งงานกับเขา นางก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสำคัญใดสำหรับเขา !
“เจ้า…”
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ หานเฟยก็อดทอดถอนหายใจให้กับจิตใจที่โหดร้ายของบุรุษผู้นี้ไม่ได้ เขาจ้องหานโม่ฉือตาเขม็งครู่หนึ่งก่อนพุ่งตัวออกจากนครเวหาไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับเรื่องของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ เขาไม่มั่นใจว่าไป่หลี่ชิงโร่วจะทราบเรื่องนี้หรือไม่ หานเฟยจึงตั้งใจมุ่งหน้าไปหานางก่อน เพียงแต่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่านางจะเสียใจหรือไม่หากได้ทราบเรื่องนี้…
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ขัดขวางเขา หานเฟยผู้นี้รับมือได้ยากยิ่งกว่าหานซื่อเสียอีก ตอนนี้ยังมิใช่เวลาฉีกหน้าผู้ใด หากว่าหานเฟยกลับไป เขาก็คงจะแจ้งให้หานชางได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้และคงจะทำให้พวกเขาหวาดหวั่นขึ้นมาได้ไม่น้อย
“โม่ฉือ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่อยากไปอธิบายสิ่งใดกับคู่หมั้นคู่หมายของเจ้า ?”
ฉินอวี้โม่อดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ นางพึงพอใจกับผลงานการแสดงฝีมือของบุรุษคนรักอย่างที่สุด
“หากข้าต้องอธิบายสิ่งใด มันก็ต้องเป็นการอธิบายต่อภรรยาของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
หานโม่ฉือยิ้มด้วยแววตาแห่งความรัก และแม้ว่าอวิ๋นซื่อเทียนจะเฝ้ามองอยู่ เขาก็ประกบปิดปากฉินอวี้โม่ไว้ทันที…
.