ณ จวนตระกูลไป่หลี่ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นหุบเขา
“หานเฟย ออกมาเถอะ”
ไป่หลี่ชิงโร่วผู้ซึ่งกำลังหลับตาฝึกยุทธ์อย่างมีสมาธิลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ขณะสายตามองไปยังทางเข้าและพบกับหานเฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ชิงโร่ว…”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้หานเฟยพยายามเกี้ยวพานและเอาอกเอาใจไป่หลี่ชิงโร่วมาเสมอ ทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาแทบไม่เคยมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ไป่หลี่ชิงโร่วแสดงท่าทีเมินเฉยต่อเขามาเสมอและมักกล่าววาจาให้ช้ำใจว่าเขาเป็นศัตรูของหานโม่ฉือ นางไม่ต้องการใช้เวลาอยู่กับเขาสองต่อสองบ่อยนักและไม่เต็มใจแม้แต่จะผูกมิตรกับหานเฟยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม หานเฟยก็เป็นบุคคลที่มีใบหน้าด้านหนาพอสมควรและไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แม้ไป่หลี่ชิงโร่วจะไม่อนุญาตให้เขามาที่จวนตระกูลไป่หลี่ เขาก็มักส่งคนมาพร้อมของขวัญของกำนัลเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อพบกับนางเป็นครั้งคราว
แม้ไป่หลี่ชิงโร่วไม่ต้องการพบหน้าหานเฟย ทว่าด้วยคำสั่งของบิดามารดา นางจึงต้องจำใจพบกับเขาทุกคราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในคราล่าสุดที่ได้พบกัน ไป่หลี่ชิงโร่วก็กล่าวกับหานเฟยตามตรงว่านางคิดว่าเขายังไม่แข็งแกร่งมากพอ เพราะเหตุนั้นเขาจึงกลับที่ตระกูลและเก็บตัวฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง การเก็บตัวครานี้ดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสองปี กล่าวก็คือเขาและไป่หลี่ชิงโร่วไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงสองปีแล้ว
“หานเฟย นี่คือของทั้งหมดที่เจ้าส่งมาก่อนหน้านี้ เอากลับไปเถอะ ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งหลายคราแล้วว่าข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะยังไม่ลืม !”
ไป่หลี่ชิงโร่วหยิบแหวนมิติวงหนึ่งออกมาและโยนไปให้หานเฟยทันที ภายในนั้นคือสิ่งของทั้งหมดที่เขาส่งมาที่จวนตระกูลไป่หลี่เพื่อเอาใจนางในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าเป็นของกำนัลที่สวยงามหรือล้ำค่าเพียงใด คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ก็ไม่สนใจเลยสักนิดและตั้งตารอที่จะคืนของทั้งหมดให้เขา
“ชิงโร่ว เหตุใดเจ้าจึงต้องเป็นเช่นนี้ ? ทุกสิ่งทุกอย่างข้ายินดีมอบให้เจ้า เจ้าเพียงรับมันไปก็พอ เหตุใดจะต้องคืนให้ข้าด้วย ?”
หานเฟยไม่อาจเข้าใจความคิดของไป่หลี่ชิงโร่วได้เลย แม้เขาจะหมายปองและรักนางเพียงใด เขาก็ไม่เคยบีบบังคับหรือกดดันนาง สิ่งของที่เขาส่งมาเหล่านี้ก็เพียงเพื่อแสดงความรู้สึกที่เขามีต่อนางเท่านั้น
“เจ้าก็รู้ดีว่าข้ามีสัญญาการแต่งงานที่ต้องเติมเต็ม ข้าไม่อยากใกล้ชิดกับบุรุษอื่นและทำให้คู่หมั้นคู่หมายของข้าต้องเข้าใจผิด !”
ไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงห่างเหินอย่างที่สุด
“เรื่องคู่หมั้นอีกแล้วงั้นรึ ? เจ้าเฝ้ารอเพียงแต่หานโม่ฉือมาตลอด แต่เจ้าทราบรึไม่ว่าเขาแต่งงานกับสตรีอื่นไปนานแล้วและยังมีลูกด้วยกันอีกด้วย !”
หานเฟยรับแหวนมิติที่ไป่หลี่ชิงโร่วโยนมาให้อย่างไม่พอใจนัก และเมื่อได้ยินวาจาของนาง เขาก็กล่าวด้วยความโมโห เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าตัวเขาที่หลงรักนางมาตลอดหลายปีจะด้อยกว่าหานโม่ฉือที่นางไม่เคยแม้แต่จะพบหน้าได้อย่างไร เหตุใดนางจึงเฝ้าโหยหาเพียงแต่คนผู้นั้นและไม่เคยให้โอกาสเขาแม้แต่ครั้งเดียว ?
“อะไรนะ ?!”
สีหน้าของไป่หลี่ชิงโร่วเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของหานเฟย ทว่านางส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“เป็นไปไม่ได้ เขามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว เขาจะไปใกล้ชิดกับสตรีอื่นจนแต่งงานมีลูกด้วยกันได้อย่างไร ? ข้าไม่เชื่อ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเชื่อ !”
นางเฝ้ารอหานโม่ฉือมาตลอดเวลากว่ายี่สิบปีและไม่มีทางเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง หานโม่ฉือคือคู่หมั้นคู่หมายที่มีข้อตกลงการแต่งงานกับนางตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ เขาจะตกลงปลงใจกับสตรีคนอื่นได้อย่างไร ?
“เหอะ เชิญเจ้าส่งคนไปสืบข่าวในดินแดนได้เลย เรื่องหานโม่ฉือและภรรยานามว่าฉินอวี้โม่ ข้าเชื่อว่ามีคนทราบถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งสองรักกันมากและเข้ากันได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยพบพวกเขาด้วยตัวเองแล้ว เคยพบกับเจ้าหานโม่ฉือนั่นแล้ว สำหรับเขา เจ้าก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าและเขาไม่คิดแม้แต่จะมาให้คำอธิบายกับเจ้าด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่เชื่อข้าก็เชิญออกไปสืบหาความจริงด้วยตัวเองได้เลย !”
สำหรับเรื่องนี้ หานเฟยไม่คิดจะรักษาหน้าหรือรักษาน้ำใจของไป่หลี่ชิงโร่วแม้แต่น้อย เขากล่าวความจริงออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเจือด้วยความขุ่นเคืองใจ
เขาต้องการให้ไป่หลี่ชิงโร่วทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหานโม่ฉือและความสัมพันธ์กับฉินอวี้โม่ แม้ไป่หลี่ชิงโร่วจะต้องเสียใจ นางก็จะได้รู้ความจริงว่าบุรุษที่เฝ้ารอมานานนั้นเป็นคนอย่างไร เมื่อถึงตอนนั้น ตัวเขาจะได้มีโอกาสเสียที
ไป่หลี่ชิงโร่วกำหมัดแน่นและเริ่มเชื่อคำพูดของหานเฟยขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกไม่ยอมรับก็ผุดขึ้นในใจของนางทันที แม้ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นางก็ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของหานโม่ฉือ ทว่าหานโม่ฉือกลับไม่เคยนึกถึงนางแม้แต่น้อยและยังตบแต่งกับสตรีอื่นไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลไป่หลี่ผู้ทะนงตนและภาคภูมิใจในตัวเองมาเสมอรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกดูหมิ่นและย่ำยี ซึ่งนี่ทำให้นางไม่พอใจอย่างที่สุด
ความคิดหลากหลายอย่างผุดขึ้นในหัวของนางก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหันไปสบตากับหานเฟยอีกครั้ง สีหน้าของไป่หลี่ชิงโร่วก็เปลี่ยนกลับคืนเป็นความเฉยเมยเช่นเดิม
“หานเฟย ขอบใจเจ้ามากที่มาบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ข้ามีแผนการของข้าเองและเจ้าไม่ต้องห่วง หานโม่ฉือคือคู่หมั้นคู่หมายของข้าและเขาจะเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าสัญญาการแต่งงานจะถูกล้มเลิก หากเขารักสตรีผู้นั้นจริงและต้องการยกเลิกข้อตกลงการแต่งงานกับข้า เขาก็ต้องรอจนกว่าเราจะได้พบหน้ากันเสียก่อน !”
เมื่อเห็นว่าไป่หลี่ชิงโร่วปรับสีหน้ากลับเป็นความเย็นชาอีกครั้งและได้ยินวาจาของนาง หานเฟยก็ขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าเดิมและความชิงชังที่เขามีต่อหานโม่ฉือก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไป
“เหอะ ไป่หลี่ชิงโร่ว อยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ”
หานเฟยกล่าวทิ้งท้ายอย่างไม่แยแสก่อนหันหลังกลับและเดินทางออกจากจวนตระกูลไป่หลี่อย่างรวดเร็ว
ในเมื่อไป่หลี่ชิงโร่วกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดอีก เมื่อหานโม่ฉือกลับไปที่จวนตระกูลหาน เขาจะเอาชนะตัวกาลกิณีของตระกูลด้วยตัวเองและสังหารมารหัวใจให้สิ้นซาก เมื่อถึงตอนนั้น แน่นอนว่าทุกอย่างจะได้รับการสะสางเอง
พลังของหานโม่ฉือในตอนนี้ยังแกร่งกล้ากว่าเขามากนัก หากต้องการเอาชนะบุรุษผู้นั้นในตอนนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่ใช้วิธีการนั้นเท่านั้น
เมื่อคิดได้ถึงวิธีนั้น หานเฟยก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและมุ่งหน้ากลับตระกูลหานทันที
หลังจากกลับมาถึงจวนตระกูล หานเฟยก็รายงานให้หานชางผู้เป็นบิดาทราบถึงวาจาที่หานโม่ฉือกล่าวไว้ แน่นอนว่าหานชางโกรธแค้นจนเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ทราบคำพูดของหานโม่ฉือ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ทราบความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือจากบุตรชาย เขาก็ไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เพียงแต่รอบ ๆ หอคอยต้องห้ามมีกับดักบางอย่างอยู่ หากหานโม่ฉือมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือบิดามารดา เขาจะทำให้บุรุษหนุ่มผู้นั้นติดอยู่ในเขตจวนตระกูลหานไปตลอดกาลและไม่มีโอกาสได้กลับออกไปอีกเลย
แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมของหานชาง รวมถึงความคิดของไป่หลี่ชิงโร่วและหานเฟยก็ไม่ได้เป็นที่รับรู้โดยหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย เวลานี้พวกเขาอยู่ในนครล่าฝันและกำลังทักทายพูดคุยกับสหายเก่าแก่หลายคน
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในนครเวหาพักใหญ่ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังนครล่าฝัน เหล่าสหายจากดินแดนหวนหลิงล้วนอยู่ในนครล่าฝันและทั้งสองไม่มีทางพลาดที่จะไปพบคนเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ทั้งสองไม่เสียเวลาแวะที่ใดระหว่างทางขณะมุ่งหน้าตรงไปยังนครล่าฝัน อย่างไรก็ตาม การเดินทางก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบวันก่อนที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้
นครล่าฝันคือหนึ่งในขุมกำลังใหม่ของดินแดนเทพมายาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอิทธิพลความแข็งแกร่งของมันยังไม่มากเท่ากับบรรดาขุมกำลังเก่าแก่ ทว่านครล่าฝันก็เป็นขุมกำลังที่มิอาจประมาทได้เลย ด้วยความแกร่งกล้าของผู้นำอย่างมู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ จากดินแดนหวนหลิง ขุมกำลังใหม่นี้จึงพัฒนาและรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นครล่าฝันมีขนาดไม่ใหญ่นักและไม่หรูหราโอ่อ่าแต่อย่างใด แท้จริงแล้วมันเกือบจะเหมือนกับเมืองลั่วซุยในดินแดนหวนหลิง
ภายใต้การปกครองของมู่อวิ๋น นครล่าฝันก็พัฒนารุ่งเรืองอย่างรวดเร็วและทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเป็นระบบระเบียบ
ณ ประตูหน้านคร คนกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งกำลังทำหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยและจัดการความเรียบร้อยอยู่ที่นั่น การเข้าไปในนครล่าฝันไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนตัวตนทว่าทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างปัญหาหรือก่อเรื่องในนครโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นคนผู้นั้นจะถูกขับไล่ออกจากนครโดยกลุ่มผู้พิทักษ์ในทันที รวมถึงรายชื่อของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ในรายชื่อบัญชีดำของนครล่าฝันและจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนครอีกเลย
ทันทีที่มาถึงประตูเมือง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้พบกับคนรู้จัก
“สือซาน ?”
คนผู้นั้นมองมาที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นกัน
เมื่อเห็นคนทั้งสองอย่างชัดเจน สือซานก็ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“หัวหน้าอวี้โม่ หัวหน้าโม่ฉือ ในที่สุดก็มาถึงที่นี่”
สือซานผู้นี้คือผู้ที่เข้าศึกษาพร้อมกับฉินอวี้โม่ในโรงเรียนราชสำนัก เขาและฉินอวี้โม่ก็เคยผ่านประสบการณ์มาด้วยกันมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็จำได้ดีว่าสือซานมีลูกน้องหลายคนและพวกเขามักเรียกฉินอวี้โม่ว่าหัวหน้าเสมอ แม้กระทั่งตอนนี้ภายในนครล่าฝัน เมื่อได้พบหน้ากับอีกครั้ง เขาก็ยังกล่าวเรียกนางออกมาโดยสัญชาตญาณ
“เยี่ยมมาก ไม่ได้พบหน้ากันนานหลายปี ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของสือซานและพบว่าเวลานี้เขามีพลังในขอบเขตเซียนขั้นเก้าแล้ว นางจึงอดเอ่ยอย่างชื่นชมไม่ได้
เดิมทีพรสวรรค์ของสือซานมิได้โดดเด่นนักทว่าเขาเพียรฝึกฝนอย่างหนักมาเสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขายังคงทุ่มเทกับการฝึกยุทธ์อย่างต่อเนื่องและความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อย
“เฮ้ ข้าจะทำให้หัวหน้าเสียชื่อได้อย่างไร ถูกรึไม่ ? ฮ่า ๆ ๆ”
สือซานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เขายังคงเป็นบุรุษที่จริงใจไม่เปลี่ยนแปลง
“ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินจากชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ว่าหัวหน้าอวี้โม่และหัวหน้าโม่ฉือจะมาถึงนครล่าฝันในไม่ช้า เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงมารอที่ประตูเมืองด้วยหวังว่าจะได้พบหัวหน้าโดยเร็วที่สุด หลังจากรอมานานเจ็ดวัน ในที่สุดเราก็ได้พบกัน หากชิงเฟิงและคนอื่น ๆ รู้เขา พวกเขาจะต้องอิจฉาพวกเราไม่น้อย”
สือซานทราบเรื่องจากโอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ แล้ว ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเดินทางมาถึงที่นี่ในไม่ช้า เขาจึงออกมารอที่หน้าประตูนครในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพิ่งมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าทั้งสองไม่คุ้นเคยกับที่นี่อย่างแน่นอน เขาจึงต้องการออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสหายทั้งสอง
“จะว่าไปแล้ว อย่ามัวเสียเวลาอยู่หน้าประตูเลย เราไปที่จวนจ้าวนครกันเถอะ พวกเราทั้งหลายไม่ได้พบหัวหน้ามานานนัก ข้าเชื่อว่าทุกคนจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”
สือซานยิ้มกว้างและเดินนำทั้งสองมุ่งหน้าตรงไปยังจวนจ้าวนคร
จวนเจ้านครล่าฝันตั้งอยู่กลางนคร สถานที่แห่งนี้แท้จริงแล้วคือพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ทว่าด้วยความพยายามของมู่อวิ๋นและคนอื่นๆเพื่อสร้างนครล่าฝัน มันจึงก่อตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างในปัจจุบัน เพราะเหตุนั้น จวนจ้าวนครล่าฝันจึงไม่หรูหราเท่าใดนักทว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวาง มู่อวิ๋น เยว่ชิงเฉิงและทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในจวนดังกล่าว
ขณะนำทางฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าไป สือซานก็เล่าเรื่องราวคร่าว ๆ เกี่ยวกับนครล่าฝันให้ทั้งสองเข้าใจ
เมื่อได้ทราบว่ามู่อวิ๋นเพิ่งทะลวงพลังครั้งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อนและตอนนี้มีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าว ทั้งสองก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย พรสวรรค์ของมู่อวิ๋นทรงพลังมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ในดินแดนหวนหลิงมีขีดจำกัดที่ทำให้เขาทะลวงพลังไม่ได้ ทว่าบัดนี้เมื่อมาอาศัยอยู่ในดินแดนเทพมายา แน่นอนว่าเขาจึงสามารถทะลวงพลังจนแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนจ้าวนคร เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็เดินออกมาทันทีที่ได้รับข่าวดี
เมื่อได้พบกับทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็ทั้งยินดีและมีความสุขอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ดีใจมากเช่นกันที่ได้พบหน้ามิตรสหายมากมายในคราวเดียว
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่ถูกล้อมรอบโดยมิตรสหายทุกคนก็มุ่งหน้าเข้าสู่จวนจ้าวนคร
นอกจากสหายเหล่านั้น ภายในจวนจ้าวนครก็ยังมีอีกหลายคนที่กำลังรอพบทั้งสองอยู่เช่นกัน