ช่วงเวลาหลายวันต่อมาก็ดำเนินไปอย่างเงียบสงบ
หลังจากช่วยหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วออกจากหอคอยต้องห้าม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและแทบไม่สนใจเรื่องราวภายนอก
เมื่อเสี่ยวโร่วทราบว่าหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วได้รับการช่วยเหลือออกมาจากหอคอยต้องห้ามแล้ว นางก็ทั้งยินดีและมีความสุขอย่างยิ่ง ทว่านางก็ไม่ลืมที่จะแจ้งทุกคนในตระกูลเหมยมิให้รบกวนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
แม้รากฐานฝึกยุทธ์ของสองสามี-ภรรยาจะถูกทำลายตอนที่ถูกจับตัวไป แต่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่นก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง หลังจากการเพียรฝึกวิชาอย่างมุ่งมั่นตลอดหลายปี ความแข็งแกร่งของทั้งสองก็ฟื้นฟูขึ้นมาและมิได้ด้อยไปกว่าในอดีตเท่าใดนัก
การฝึกยุทธ์อย่างเงียบสงบเป็นระยะยาวนานภายในหอคอยต้องห้ามทำให้ความพลังของทั้งสองเสถียรมั่นคงอย่างยิ่ง ด้วยเวลาที่มากพอ แน่นอนว่าพวกเขาจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนและกลายเป็นผู้ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
หานโม่ฉืออธิบายกับบิดาและมารดาอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ที่พานพบตลอดเวลาที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาและฉินอวี้โม่พบกันและตกหลุมรักกันได้อย่างไร
เมื่อทราบว่ามีหลานตัวน้อยสองคนแล้ว หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็ทั้งประหลาดใจและมีความสุขอย่างที่สุด ทั้งสองต้องการติดตามฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปพบหลานตัวน้อยทั้งสองโดยเร็ว
หลังจากทราบความเป็นมาว่าชะตาชีวิตของฉินอวี้โม่ก็มิได้ดีไปกว่าหานโม่ฉือเท่าใดนัก ทั้งสองก็รู้สึกเห็นใจฉินอวี้โม่จากก้นบึ้งของหัวใจ
หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือของหานปิ่งเซียนยิ่งนักที่ชุบเลี้ยงหานโม่ฉือและรักเขาอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานปิ่งเซียน ทั้งสองอาจไม่ได้พบกับหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เลยด้วยซ้ำ
เวลานี้ทุกคนอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและกำลังสนทนาพาทีรำลึกความหลังกันอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ไป่หลี่จิ่นซิ่วก็มองตรงไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เฮ้อ…”
นางถอนหายใจอย่างจนปัญญา แววตาของนางในตอนนี้เจือด้วยความรู้สึกผิดและความเห็นใจบุตรชายและลูกสะใภ้
“ท่านแม่ มีอะไรหรือเจ้าคะ ?”
เสียงถอนหายใจและแววตากังวลของไป่หลี่จิ่นซิ่วทำให้ฉินอวี้โม่คาดเดาความคิดของนางได้ ยิ่งกว่านั้น แม้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะพยายามไม่คิดถึงมัน ทว่าเรื่องตัวตนของหานโม่ฉือก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจสลัดให้หายไปจากความคิดได้เลย
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงกังวลเกี่ยวกับอนาคตเล็กน้อย คำทำนายครานั้นของสวีไหล…พ่อของเจ้าและข้าได้เห็นมันด้วยตัวเอง เราไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากโม่ฉือเป็นกาลกิณีที่จะนำพาหายนะมาสู่วงศ์ตระกูลจริง เราก็ไม่มั่นใจว่าการอยู่ร่วมกับเขาจะทำให้เจ้าได้รับอันตรายและเดือดร้อนหรือไม่”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานซวนหยวนรู้สึกถูกชะตากับสะใภ้อย่างฉินอวี้โม่ยิ่งนัก เพียงแต่คำพยากรณ์ของสวีไหลจากในอดีตทำให้ทั้งสองหวั่นใจอย่างที่สุด หากหานโม่ฉือเป็นตัวกาลกิณีจริง ฉินอวี้โม่ก็อาจต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายไปด้วย พวกเขาไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ต้องเป็นอันตรายเพราะบุตรชายของพวกเขา
“ท่านแม่ หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับท่านพ่อ…ท่านจะเลือกอย่างไรเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเขย่ามือหานโม่ฉือเบา ๆ และสบตากันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
“ข้าจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าจะอยู่เคียงข้างสามีของข้าและจะไม่มีวันทอดทิ้งไป”
ไป่หลี่จิ่นซิ่วกล่าวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับนางและสามี นางจะตัดสินใจเลือกทำเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน
“ข้าก็เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มหนักแน่น ทว่าเพียงประโยคสั้น ๆ นี้ก็ทำให้ใบหน้าของหานโม่ฉือแสดงถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วมองบุตรชายและสะใภ้คนงามพร้อมหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสุขใจเช่นกัน
“คุณหนู มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ ข้าบอกเขาไปว่าท่านไม่อยู่ที่นี่ ทว่าเขาก็ยังทราบว่าท่านอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว”
จู่ ๆ กำไลสื่อสารของฉินอวี้โม่ก็ส่งเสียงดังก่อนที่จะมีเสียงของเสี่ยวโร่วดังขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะขณะคาดเดาได้ถึงตัวตนของคนผู้นี้ ผู้ที่มาพบนางย่อมมิใช่ใครอื่นและจะต้องเป็น ‘บุรุษผู้นั้น’ อย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เราทั้งสองต้องขอตัวออกไปก่อน”
หลังจากกล่าวกับหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
หลังจากเปิดประตูห้อง ทั้งสองก็พบกับบุรุษรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า แววตาที่เขามองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือดูเรียบเฉยเกินคาดเดาและกลิ่นอายความห่างเหินโดดเดี่ยวที่แผ่ออกมาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดได้ง่าย ๆ
“หึ ท่านไม่ต้องอยู่คุ้มกันหอคอยต้องห้ามแล้วรึ ?”
เมื่อพบหน้ากัน ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ
“ในเมื่อนักโทษข้างในหายไปแล้ว ข้าจะต้องคุ้มกันอะไรอีกเล่า ?”
สวีไหลกล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนสบตาทั้งสองโดยตรง
“ผู้ที่อยู่บนชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้ามคืออสูรมายาของพวกเจ้าทั้งสอง !”
วาจาของเขามิใช่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ หากแต่เป็นการยืนยันสิ่งที่ทราบอยู่แล้วเท่านั้น เขามั่นใจว่าสองชีวิตที่อยู่ในหอคอยต้องห้ามชั้นบนสุดตอนนี้มิใช่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วตัวจริง ทว่าเป็นอสูรมายาของทั้งสองคนตรงหน้า
“ในเมื่อท่านทราบแล้ว เหตุใดจึงไม่แจ้งเรื่องนี้กับหานชางล่ะ ?”
วาจาของสวีไหลทำให้ทั้งสองยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่พบกันในตอนแรก ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ตระหนักได้แล้วว่าบุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์ผู้นี้ก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับหานชางเสมอไป
“ข้ามีหลักการปฏิบัติของตัวข้าเอง ทว่าการที่ข้ามาในวันนี้ก็มิใช่เพราะเรื่องนั้น”
สวีไหลยิ้มและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
แม้คฤหาสน์เฟิงหัวจะเป็นคฤหาสน์มิติล่องหนต่อทุกคน ทว่ามันก็ไม่สามารถหลบซ่อนไปจากสายตาของเขาได้ เขาอยู่ในหอคอยต้องห้ามมานานกว่าสามสิบปีและคุ้นเคยกับทั้งสองคนที่ถูกกักขังไว้ที่นั่น เขาย่อมทราบดีว่าทั้งสองออกจากหอคอยต้องห้ามไปเมื่อใด เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้
“เช่นนั้นก็เชิญเข้ามาก่อน”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือผายมือเชิญแขกเข้ามาในห้องและนั่งลง
สวีไหลไม่รอช้าและเดินเข้ามาในห้องก่อนหาที่นั่งลงอย่างสบาย ๆ
หานโม่ฉือรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งทันที ผู้มาเยือนผู้นี้เป็นแขกของพวกเขา ต่อให้แขกคนดังกล่าวจะเป็นคนที่เคยมีเรื่องบาดหมางขุ่นเคืองกับตัวเขาก็ตาม
“พวกเจ้าไม่อยากรู้รึว่าการเป็นตัวกาลกิณีหมายความว่าอย่างไร ?”
สวีไหลไม่เสียเวลาและกล่าวตรงเข้าประเด็นทันที เขามาที่นี่วันนี้เพื่อไขปริศนาความสงสัยให้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ รวมถึงตนเองด้วยเช่นกัน
“หากท่านอยากบอก ท่านก็จะบอกเอง”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แววตาของเขาเฉยเมยราวกับว่าบุรุษตรงหน้ามิใช่ผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกันทว่าเป็นเพียงใครคนหนึ่งที่ไม่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“ข้าขอทำนายโชคชะตาของเจ้าได้หรือไม่ ?”
สวีไหลกล่าวขณะมองหานโม่ฉืออย่างระแวดระวัง บุรุษผู้เป็นตัวกาลกิณีจากในอดีตถูกตัดสินโดยคนจากพิภพเหนือสวรรค์เนื่องจากหลักดาราโหราศาสตร์ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ความจริง ทว่ามันก็ยังมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
บัดนี้เวลาผ่านมานานหลายปีแล้ว เขาสัมผัสได้ว่าโชคชะตาของหานโม่ฉือผู้นี้เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ บางทีลางที่บ่งบอกชะตากรรมอันเลวร้ายในตอนนั้นอาจหายไปแล้วก็เป็นได้
“ทำอย่างไรรึ ?”
หานโม่ฉือไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด เขาเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
“เขียนอักษรหนึ่งคำ”
สวีไหลยิ้มบาง ๆ และมิได้หยิบกระดาษหรือแผ่นหนังใด ๆ ออกมา อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือก็เข้าใจได้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
เขาหลับตาลงและแผ่จิตของตนเองออกมา ภายในเวลาเพียงชั่วครู่ อักษรคำว่า ‘โชคดี’ ก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ
สวีไหลมองดูอักษรคำว่า ‘โชคดี’ อย่างพินิจพิจารณาก่อนหลับตาลง เวลานี้ เขานั่งขัดสมาธิบนพื้นขณะนิ้วมือร่ายขยับอย่างรวดเร็วโดยไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด
แม้ไม่ทราบกระบวนการที่แน่ชัดของ ‘การพยากรณ์ทำนายดวงชะตา’ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่กังวลแต่อย่างใด ทั้งสองเพียงมองดูการกระทำของสวีไหลอย่างเงียบ ๆ และรอฟังคำตอบของเขา
“โอ้…ดวงชะตาของเจ้าในปัจจุบันทำนายได้ยากยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก”
หลังจากนั่งขัดสมาธิจดจ่อนานหนึ่งก้านธูป สวีไหลก็กล่าวออกมา เดิมทีเขาต้องการพยากรณ์ดวงชะตาในปัจจุบันของหานโม่ฉือ ทว่าเขากลับค้นพบว่าด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ เขาไม่สามารถทำนายดวงชะตาของหานโม่ฉือได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวได้ว่าดวงชะตาของหานโม่ฉือในตอนนี้อาจเป็นไปได้ทั้งในด้านดีและด้านเสีย ไม่ว่าเขาจะกลายเป็นนักบุญผู้กอบกู้หรือกลายเป็นปีศาจผู้ทำลายล้าง มันก็ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาทั้งสิ้น เห็นทีว่าความเป็นกาลกิณีที่ถูกกล่าวหาในอดีตจะเป็นสิ่งที่หานโม่ฉือสามารถควบคุมได้
“เจ้าดูจะไม่ขุ่นเคืองใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเท่าใดนัก อีกทั้งยังดูเหมือนเจ้าจะรู้สึกว่าตนเองโชคดีเสียด้วยซ้ำ ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ?”
สวีไหลสบตาหานโม่ฉืออย่างไม่เข้าใจความคิดของเขา ไม่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ใด มันก็จะต้องเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่จำฝังลึก ทว่าหานโม่ฉือผู้นี้กลับรู้สึกว่าตนเองโชคดี แน่นอนว่านั่นทำให้สวีไหลฉงนสงสัยอย่างที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาสมาชิกของพิภพเหนือสวรรค์ต่างก็ไม่เข้าใจมนุษยธรรมและเรื่องในทางโลกเท่าใดนัก ปฏิกิริยาตอบสนองของหานโม่ฉือในตอนนี้ทำให้เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย
“หากมิใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ข้าก็คงไม่ได้รู้จักกับโม่เอ๋อร์และอาจไม่ได้พบความสุขดังที่เป็นในตอนนี้ เพราะเหตุนั้นข้าจึงรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่น้อย”
หานโม่ฉือยิ้มออกมาพลางเขย่ามือคนรักข้างกายเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“ฮ่า ๆ ๆ ความรักอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำตอบของหานโม่ฉือ สวีไหลก็หัวเราะเบา ๆ ออกมาทันทีขณะมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตามีความหวังเล็กน้อย ราวกับเขาริษยาในความรู้สึกที่แท้จริงเช่นนี้ ทว่าเขาไม่อาจปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้
“ในตอนนั้น ข้าได้รับคำสั่งให้มาที่จวนตระกูลหานซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลลับ พิภพเหนือสวรรค์ของเราได้ทำนายพยากรณ์หายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น หากไม่สามารถกำจัดหายนะนี้ไปล่วงหน้า ทั้งดินแดนเทพมายาจะต้องได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงหรืออาจถึงขั้นคราวล่มสลาย ยิ่งไปกว่านั้น เด็กคนนั้นก็เป็นตัวกาลกิณี ทุกคนรอบตัวเขาจะต้องเผชิญกับเคราะห์ร้าย การที่ดินแดนเทพมายาคงอยู่มานานหลายพันปี เราก็ไม่มีทางปล่อยให้ดินแดนนี้สูญสลายไปได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นข้าจึงได้รับคำสั่งให้มาที่นี่และกำจัดคนผู้นั้นเสีย…”
หลังจากกล่าวเช่นนี้ สวีไหลก็หยุดชั่วคราวและมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่ข้างกายหานโม่ฉือ ดวงตาของเขาฉายแววความชัดเจนและมีร่องรอยความเข้าใจบางอย่าง เห็นทีการตัดสินใจของเขาในอดีตอาจมิใช่การตัดสินใจที่ผิดเสียทีเดียว
“ข้ามาที่จวนตระกูลหานและได้พบทารกน้อยหานโม่ฉือซึ่งเพิ่งลืมตาดูโลกขึ้นมา ในตอนนั้นข้าสัมผัสได้ถึงลางร้ายจากตัวเขาและทราบได้ทันทีว่าเขาคือตัวกาลกิณีที่อยู่ในคำทำนาย เดิมทีข้าก็ต้องการที่จะกำจัดเด็กน้อยคนนั้นให้สิ้นซาก ทว่าข้าตัดสินใจพยากรณ์เป็นครั้งสุดท้าย และเป็นเพราะคำพยากรณ์ในตอนนั้น ข้าจึงเปลี่ยนใจ หากมิใช่เพราะคำพยากรณ์ดังกล่าว เด็กน้อยหานโม่ฉือไม่มีทางรอดชีวิตไปได้อย่างแน่นอน”
กล่าวได้ว่าการตัดสินใจอย่างกะทันหันในครานั้นได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของคนมากมายและเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างที่คาดไม่ถึง
สวีไหลยังไม่มั่นใจนักว่าเขาควรยึดมั่นในคำทำนายจากครานั้นหรือไม่… และการตัดสินใจของเขาถูกต้องหรือไม่ ?
บุรุษและสตรีตรงหน้ายอดเยี่ยมเหนือธรรมชาติพอ ๆ กันและสวีไหลก็ไม่สามารถมองเห็นโชคชะตาของทั้งสองได้เลย
สายตาของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองตรงไปที่สวีไหลเพื่อรอคำพูดต่อไปของเขา ทั้งสองสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับคำพยากรณ์ในตอนนั้นยิ่งนัก เหตุใดสวีไหลจึงปล่อยให้หานโม่ฉือมีชีวิตอยู่ต่อไป ? แล้วเหตุใดเขาจึงแสดงทัศนคติเช่นนี้ ? ทั้งสองต้องการคำตอบอย่างแท้จริง…
.