เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่เสนอตัวเป็นตัวประกันแทนคนทั้งสอง หานซวนหยวนและหานหยวนก็ชะงักไปทันที
จากนั้นทั้งสองก็หันมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นตาเดียวก่อนส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลหานและไม่เกี่ยวกับเจ้า หานชางเป็นคนจิตใจชั่วช้านัก เราจะปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ !”
หานซวนหยวนกล่าวขึ้นก่อนและปฏิเสธข้อเสนอของฉินอวี้โม่โดยไม่ลังเล
“ใช่ คนที่ตกอยู่ในอันตรายตอนนี้ก็คือลูก ๆ ของข้า เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเราจะไม่ปล่อยให้เจ้าออกไปเผชิญกับอันตรายแน่”
หานหยวนกล่าววาจาหนักแน่นเช่นกัน เขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านอาสามเจ้าคะ ข้าก็ถือเป็นสมาชิกของตระกูลหานคนหนึ่งแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าและหานโม่ฉือไม่น้อยไปกว่าพวกท่าน ในเมื่อข้ากล้าเสนอตัวเช่นนี้ ข้าย่อมมั่นใจแล้ว ท่านทั้งสองไม่ต้องห่วงเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นกัน ในเมื่อนางกล้าเอ่ยเสนอเป็นตัวประกันแทนแล้ว แน่นอนว่านางมีความมั่นใจอย่างมาก นางคาดเดาได้ว่าหานชางต้องคิดไม่ซื่อแน่ อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายหลงกลใคร
“ท่านพ่อ ท่านอาสามขอรับ ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอีก ข้าเชื่อมั่นในตัวโม่เอ๋อร์”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน เขาไม่คัดค้านใด ๆ และทราบดีว่าฉินอวี้โม่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม มิฉะนั้นนางก็คงไม่เสนอตัวออกไปเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็มีวิชาข่ายอาคมหลากหลายรูปแบบ รวมถึงคฤหาสน์เฟิงหัวและอสูรมายาอีกมากมาย ต่อให้หานชางคิดตุกติกทำสิ่งใดที่คาดไม่ถึง นางก็ไม่หวาดหวั่นและสามารถล่าถอยออกมาได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเชื่อมั่นและไร้กังวลของหานโม่ฉือ หานซวนหยวนและหานหยวนก็ทำได้เพียงมองหน้ากันและพยักศีรษะตอบตกลงเบา ๆ
“หานชาง หากเจ้าปล่อยพวกเขาไป ข้าจะผนึกพลังของตนเองไว้และยอมเป็นตัวประกันของเจ้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่หวาดหวั่นใด ๆ
“เจ้ารึ ?”
หานชางมองสตรีตรงหน้าด้วยความประหลาดใจไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าคนที่จะแลกตัวมาจะเป็นหานซวนหยวน หานหยวนหรือหานโม่ฉือ ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าคนผู้นั้นจะเป็นฉินอวี้โม่
“ทำไมกัน เป็นข้าไม่ได้รึ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเบา ๆ นางเชื่อว่าหานชางยินดีที่จะใช้ตนเป็นตัวประกันอย่างแน่นอน ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะในฐานะผู้สืบทอดกายเทพมายาหรือภรรยาของหานโม่ฉือ นางก็มีสถานะสูงพอสมควรทั้งในดินแดนและในตระกูลหาน ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็น่าจะทราบดีว่านางมีความสำคัญต่อหานโม่ฉือมากเพียงใด หากมีนางเป็นตัวประกัน หานโม่ฉือจะไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น เขาจะไม่มีทางปฏิเสธแน่ ในทางกลับกัน เขาจะต้องตอบตกลงด้วยความยินดี
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ข้าเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่บุรุษหลายคนไม่เสนอตัวเข้ามา แต่กลับปล่อยให้สตรีอย่างเจ้ามาเป็นตัวประกันในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เห็นทีว่าหานซวนหยวนและหานโม่ฉือจะเป็นเพียงแค่คนขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น !”
หานชางยิ้มอย่างผู้ชนะพร้อมกับกล่าวยั่วยุออกไป
อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นที่เขากล่าวถึงไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นแม้แต่น้อยและมีเพียงความกังวลใจเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็วางใจและเชื่อว่านางน่าจะเตรียมแผนการบางอย่างไว้แล้วจึงไม่คิดมากนัก
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ผนึกพลังของตนไว้ซึ่งทำให้นางกลายเป็นสตรีอ่อนแอไร้พลังคนหนึ่งก่อนเดินตรงเข้าไปหาหานชางอย่างช้า ๆ
เวลานี้หานชางก็ไม่ตุกติกหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมใดขณะปล่อยตัวบุตรทั้งสองของหานหยวนให้กลับไปหาบิดา
ทั้งสองไม่ยินยอมในตอนแรกทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ขยิบตาส่งสัญญาณให้และเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของหานหยวน พวกเขาก็เดินกลับไปหาบิดาของตนแต่โดยดี ทว่ายังมีร่องรอยความกังวลปรากฏบนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด
ฉินอวี้โม่เดินไปหยุดข้างกายหานชางอย่างสงบนิ่ง แม้ตอนนี้นางจะไม่มีความแข็งแกร่งใด ทว่าหานชางก็ยังรู้สึกว่านางเป็นสตรีที่ไม่สามารถประมาทได้เลย
“ฉินอวี้โม่ ถือว่าเจ้ากล้าหาญทีเดียว !”
หานชางหันมองฉินอวี้โม่และกล่าวออกไป
“เหอะ หากเทียบกับเจ้า แน่นอนว่าข้าย่อมเป็นสตรีที่กล้าหาญมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกนึกคิดของนางทำให้หานชางกังวลใจขึ้นมา
“จิ๊จิ๊จิ๊ หานชาง การที่เจ้าร่วมมือกับฝ่ายมาร ไม่กลัวหรือว่ามันจะเป็นการเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ ซึ่งสุดท้ายเจ้าอาจจะถูกกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก ?”
* 与虎谋皮 เจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ เปรียบเทียบเจรจากับคนร้ายเพื่อให้สละผลประโยชน์ของพวกเขา
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางชำเลืองมองไปที่หลงจื้อที่อยู่ถัดจากหานชางและหลายคนจากฝ่ายมารก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเล็กน้อย
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานชางก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที ต้องยอมรับเลยว่าวาจาของสตรีผู้นี้ทำให้เขากังวลใจขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทราบกันดีว่าฝ่ายมารมิใช่คนดี หากวันนี้เขาสามารถควบคุมทั้งสี่ตระกูลได้ตามแผนการ หานชางก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรพลังอำนาจของผู้นำฝ่ายมารก็เหนือชั้นเกินกว่าที่เขาจะต้านทานได้
หานชางเริ่มมีความคลางแคลงใจผุดขึ้นในหัวอย่างมิอาจควบคุม
“ฉินอวี้โม่ อย่าพูดพล่ามไร้สาระ ! เจ้าขัดขวางแผนการของขุมกำลังใหญ่อย่างพวกเรามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากมิใช่เพราะยังไม่ถึงเวลา เราไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แน่ การที่เจ้าตกอยู่ในกำมือของเราในวันนี้ เจ้าทำได้เพียงแค่โทษตัวเอง ไม่ต้องห่วง วันนี้เราจะทำให้เจ้าได้ตายอย่างสมเกียรติ !”
หลงจื้อกล่าวขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย หัวใจของเขาชิงชังสตรีผู้นี้มากกว่าทุกคนในที่แห่งนี้ เขาถูกฉินอวี้โม่หยามเกียรติให้อับอายขายหน้าซ้ำ ๆ หลายคราตั้งแต่ในดินแดนหวนหลิงจนมาถึงดินแดนเทพมายาแห่งนี้ เขาจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในใจเสมอและหมายมั่นตั้งใจว่าจะต้องล้างแค้นเอาคืนให้สาสม
“หลงจื้อ อย่าลืมสิว่าที่นี่คือจวนตระกูลหาน และหานชางก็คือผู้นำของที่นี่ ความเป็นความตายของข้ามิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะมองหลงจื้อด้วยแววตาล้อเลียน นางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดบุรุษอย่างหลงจื้อจึงกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายหงส์มังกรไปได้
“ผู้อาวุโสหลงจื้อ ข้าขอให้ท่านมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ หวังว่าท่านจะไม่แทรกแซงในการตัดสินใจของข้า ตอนนี้ฉินอวี้โม่ยังมีประโยชน์สำหรับข้า หากท่านคิดจะทำสิ่งใดเกินหน้าที่ อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าท่านก็แล้วกัน”
วาจาของฉินอวี้โม่ยั่วยุหานชางได้สำเร็จ หลงจื้อผู้นี้ยโสโอหังยิ่งนัก ทว่าที่นี่คือตระกูลหานซึ่งมีหานชางเป็นผู้นำและหลงจื้อเป็นเพียงแขกคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าตัวตนและความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับที่มากพอจะทำให้หานชางต้องระแวดระวัง ทว่าเขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจสิ่งใดแทนหานชาง
“หานชาง เจ้า !”
วาจาของหานชางทำให้หลงจื้อเลือดขึ้นหน้าทันที เขาจ้องหน้าหานชางตาเขม็งทว่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ที่นี่คือถิ่นฐานของตระกูลหานจริง ๆ ต่อให้เขาจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าหานชาง ทว่าแม้แต่มังกรที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถสยบพลังของงูเจ้าถิ่นได้ แม้แต่เขาเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้ดี
อีกอย่าง หานซวนหยวนและคนอื่น ๆ ก็ยังจับตาดูสถานการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด หากเขาและหานชางขัดแย้งกัน มันก็อาจสมความปรารถนาของพวกนั้นและนั่นมิใช่สิ่งที่หลงจื้ออยากให้เกิดขึ้น
เพราะเหตุนั้น หลงจื้อจึงไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เขาเพียงจ้องหน้าฉินอวี้โม่ตาเขม็งโดยไม่บดบังจิตสังหารแรงกล้าที่แผ่ออกไป
“ผู้นำหาน เราจะทำอย่างไรกันต่อไป ?”
ผู้นำตระกูลหลิวกล่าวถาม เขาเองก็เป็นคนชาญฉลาดมากเช่นกัน แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่เกินหน้าเกินตาเจ้าบ้าน จุดประสงค์ของพวกเขาในวันนี้คือมาเพื่อทำให้อีกสองตระกูลลับต้องเผชิญกับความทุกข์ทนและความสูญเสีย หลังจากทุกอย่างอยู่ในการควบคุม เขาจะหาทางจัดการกับหานชางจอมเขลาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น ทั้งสี่ตระกูลจะไม่เพียงแต่เคารพเขาเท่านั้น ทว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาทุกอย่างด้วย
“ง่ายมาก เราจะผนึกกำลังกันกำจัดอีกสองตระกูลในที่แห่งนี้ รวมถึงคนตระกูลหานที่ไม่ทำตามคำสั่งของข้า จากนั้นทั้งสี่ตระกูลลับก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าไปโดยปริยาย !”
หานชางแค่นเสียงเย็นชาก่อนชำเลืองมองหานโม่ฉือและหานซวนหยวน “ขอแนะนำว่าอย่าคิดทำสิ่งใดบุ่มบ่ามเด็ดขาด ตอนนี้ฉินอวี้โม่อยู่ในกำมือของข้าแล้ว หากพวกเจ้าริอาจลงมืออย่างไม่ยั้งคิด ข้าก็สามารถปลิดชีวิตของนางได้ทุกเมื่อ หลังจากกำจัดตัวปัญหาทุกคนที่อยู่ที่นี่ บางทีข้าอาจพิจารณาทำให้พวกเจ้ากลายเป็นหุ่นเชิดของข้าก็ได้ !”
เวลานี้เมื่อมีฉินอวี้โม่เป็นตัวประกัน เขามั่นใจว่าหานซวนหยวน หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ จะต้องหวาดหวั่นเป็นแน่ ตราบใดที่คนเหล่านี้ไม่คิดลงมือทำสิ่งใด เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะทุกคนในที่แห่งนี้ได้ภายในเวลาเพียงสองก้านธูป
“หานชาง เจ้าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยรึ ?”
เหมยตงอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย หานชางผู้นี้ยโสโอหังยิ่งนัก ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาไม่ต่างกันเท่าใดนักและการที่หานชางจะเอาชนะพวกเขาก็มิใช่เรื่องที่ง่ายเลย
“ฮ่า ๆ ๆ เหมยตงอวิ๋น หากพี่ใหญ่ของเจ้า—ชายแก่ของตระกูลเหมยมาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็อาจจะหวั่นใจอยู่สักหน่อย ทว่าตอนนี้การที่มีเพียงแค่เจ้า…ข้าไม่รู้สึกถึงความกดดันเลยสักนิด”
หานชางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เกรงกลัวเหมยตงอวิ๋นแม้แต่น้อย แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะมิใช่อันดับหนึ่งของทั้งสี่ตระกูล แต่เขาก็ถือว่าไม่อ่อนแอเช่นกัน หากต้องเผชิญหน้ากับเหมยตงอวิ๋นผู้นี้ หานชางมั่นใจว่าเขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสทรงพลังทั้งสี่ของตระกูลหานก็อยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า ต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดจะร่วมมือกันก็ไม่มีทางเอาชนะได้ ตราบใดที่กำจัดพวกเจ้าไปได้ทีละคน ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก”
หานชางมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสี่ข้างกายและยิ้มอย่างผู้ชนะ สำหรับผู้อาวุโสที่ทรงพลังทั้งสี่คนนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มานานเพียงใดแล้ว เขาเองก็อยากเห็นนักว่าเหมยตงอวิ๋นและคนอื่น ๆ จะรับมือกับผู้อาวุโสเหล่านี้อย่างไร
“พรืดดด !”
ฉินอวี้โม่อดหัวเราะพรืดไม่ได้ขณะมองหานชางราวกับมองตัวตลกที่โง่เขลา
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่หัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ หานชางจึงตวัดสายตามองตรงไปที่นางและกล่าวถามทันที “ฉินอวี้โม่ เจ้าหัวเราะอะไร ?”
“ข้าก็หัวเราะคนโง่เง่าบางคนน่ะสิ”
รอยยิ้มยียวนปรากฏบนใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนและน้ำเสียงเหยียดหยามของนางก็มิได้ปิดบังเช่นกัน
“เจ้าพร่ำบอกว่าผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหานทรงพลังและยากจะรับมือ ทว่าตอนนี้พวกเขาจะเลือกอยู่ข้างเจ้าจริง ๆ รึ ? หากพวกเขาไม่ฟังคำสั่งของเจ้าและแปรพักตร์เป็นศัตรูไปเสีย ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะลงเอยอย่างไร”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานชางก็อดหัวเราะไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าคงจะไม่รู้สินะ ตระกูลหานของเรามีกฎว่าผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำตระกูลเท่านั้น หากละเมิดหลักปฏิบัติช้านานตั้งแต่บรรพบุรุษ พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลหาน ตอนนี้ข้าเป็นผู้นำตระกูล หากไม่เชื่อฟังข้าแล้วพวกเขาจะเชื่อฟังใครหน้าไหนกัน ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากทันที “นั่นมันก็ไม่เสมอไปหรอก”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็เกิดขึ้นทันที
.