ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าแผ่ไปทั่วบริเวณอย่างน่าตื่นตา อสูรร่างคล้ายมนุษย์ซึ่งก่อตัวขึ้นจากอสูรมายาทั้งหมดก็ดูน่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขามอย่างที่สุด
พลังอำนาจที่แกร่งกล้าและเผด็จการซึ่งแอบแฝงอยู่ในหอกเล่มนี้ต่างก็ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้หวาดหวั่นพรั่นพรึง
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงอย่างคาดไม่ถึงนี้ แน่นอนว่าหนานกงเจี๋ยและคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าประมาท พวกเขาเพียงหันมองหน้ากันขณะยื่นมือออกไปเพื่อสร้างม่านป้องกันขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงหน้าโดยพยายามที่จะป้องกันพลังอันน่าสะพรึงจากอสูรยักษ์นี้ให้ได้
ตูมมม !
ด้วยเสียงปะทะดังสนั่น เงาของหอกเล่มยาวนี้ก็พุ่งตรงออกไปโดยที่ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย มันพุ่งทะลวงผ่านม่านป้องกันและยังคงพุ่งตรงเข้าหาหนานกงเจี๋ยและพวกอย่างต่อเนื่อง
“ทุกคน หลบออกไป เร็วเข้า !”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี ผู้อาวุโสฝ่ายมารก็ตะโกนกร้าวทันทีและหลบหลีกออกไปไกลเป็นคนแรก หานชางและคนอื่น ๆ ก็ไม่ลังเลและถอนกำลังออกไปไกลเช่นกันเพื่อพยายามหลบหลีกจากพลังรุนแรงสะเทือนแผ่นดินนี้
ตูมมม !
เงาหอกขนาดใหญ่พุ่งปะทะลงบนพื้นจนเกิดรอยแยกบนผืนแผ่นดิน เวลานี้พสุธาใต้เท้าของทุกคนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนน่าหวั่นกลัวราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาก็ว่าได้
“ช่างเป็นพลังที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก !”
เสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ จับจ้องตรงไปที่รอยแยกบนพื้นดินด้วยความตกตะลึงและอุทานด้วยความตกใจ
กระบวนท่าโจมตีดังกล่าวน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง คาดว่าต่อให้จอมยุทธ์นภาเซียนหลายคนร่วมมือกันก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้
“พรวดดด !”
การเคลื่อนไหวของหานชางและคนอื่น ๆ ช้าลงเล็กน้อยและเห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบจากพลังมหาศาลนั้น พวกเขากระอักเลือดคำโตออกมาทันทีและมันเป็นภาพที่ดูน่าเวทนาไม่น้อย
“นายหญิง เป็นอย่างไรบ้าง ? พวกเราแข็งแกร่งพอรึยัง ?!”
หลังจากการโจมตีที่ทำให้ทุกคนตกใจไปตาม ๆ กัน เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ พวกมันเชื่อมั่นว่าตอนนี้ตนมีคุณสมบัติมากพอที่จะอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่เพื่อปกป้องนางจากภยันตรายทุกรูปแบบและฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปด้วยกัน
ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าในอนาคต พวกมันก็มั่นใจว่าพวกมันมีพลังแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้และไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำไปได้ง่าย ๆ
“เป็นจริงอย่างที่ว่า พวกเจ้าสร้างความประหลาดใจให้กับข้าได้มากทีเดียว !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจกับ ‘เรื่องน่าประหลาดใจ’ ที่เหล่าอสูรเตรียมไว้ให้ การโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ซิวในสภาวะที่รุ่งเรืองที่สุดก็อาจต้านทานไว้ไม่ได้ เวลานี้ต่อให้นางต้องประจันหน้ากับผู้นำฝ่ายมาร ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่านางจะสามารถรับมือได้
“นายหญิง ดูเหมือนว่าท่านจะประมาทเจ้าแก่หนังเหนียวของฝ่ายมารมากเกินไปแล้ว… และท่านก็ประเมินพลังของข้าต่ำเกินไปเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่เพียงคิดในใจทว่าจู่ ๆ เสียงของซิวก็ดังขึ้นในโสตประสาทของนาง ราวกับรับรู้ได้ถึงความคิดของนาง
นับตั้งแต่เดินทางมายังดินแดนเทพมายา ซิวก็อยู่ในสภาวะเก็บตัวจำศีลมาตลอดและรอการมาถึงของทัณฑ์สายฟ้า ระหว่างช่วงนี้ ฉินอวี้โม่ไม่สามารถเรียกหาหรือสื่อสารกับมันและไม่ทราบว่าสถานการณ์ของมันเป็นอย่างไร ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงของซิวที่ไม่ได้ยินมานาน ฉินอวี้โม่จึงทั้งประหลาดใจและดีใจอย่างยิ่ง
“ซิว เจ้าตื่นขึ้นแล้วรึ ?!”
นางเอ่ยถามออกไปทันทีโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่ซิวกล่าวเมื่อครู่มากนัก
“คาดว่าทัณฑ์สายฟ้าของข้าน่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ ท่านต้องเตรียมตัวให้ดี ทัณฑ์สายฟ้าสิบขั้นมิใช่สิ่งที่จะข้ามผ่านได้ง่าย ๆ”
ซิวยิ้มและน้ำเสียงของมันฟังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการเก็บตัวฝึกฝนตลอดช่วงที่ผ่านมาทำให้มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมาก มันจึงไม่สามารถปรากฏกายให้เห็นได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าอันทรงพลัง ทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอนและความแข็งแกร่งของซิวก็จะบรรลุถึงระดับสูงสุด
“พลังอำนาจของค่ายกลร้อยอสูรนี้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความแข็งแกร่งและพลังวิญญาณของผู้เป็นนาย ในตอนนี้พวกมันเพียงเริ่มก่อตัวและยังอยู่ในสภาวะเริ่มต้นเท่านั้น หากพวกมันพัฒนาฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบได้ พวกมันจะแสดงพลังอำนาจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และพลังที่แสดงออกมาจะทรงอำนาจขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า”
หลังจากหยุดชั่วคราว ซิวก็กล่าวต่อ “ในปีนั้น เจ้าแก่หนังเหนียวจากฝ่ายมารนั่นอยู่ในสภาวะที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแทบจะสูญสลายไป ทว่าเขาก็ยังสามารถเอาตัวรอดมาได้ ตอนนี้หากท่านต้องเผชิญหน้ากับร่างที่แท้จริงของเขา ทางที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงออกมา”
แน่นอนว่าไม่มีใครที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้ายได้มากเท่ากับซิว ในอดีตมันเคยเผชิญหน้ากับฝ่ายมารมาก่อนและทราบรายละเอียดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ในป่าใบไม้เขียวก่อนหน้านี้ แม้ว่าพวกนางจะสามารถขับไล่ร่างอวตารของผู้นำฝ่ายมารจนหลบหนีออกไปได้ ทว่ามันก็เป็นเพียงเพราะโชคช่วยเท่านั้น
บุรุษชราหนังเหนียวจากฝ่ายมารเฝ้าฝึกวิชาอย่างหนักมาตลอดเวลานับพันปี เมื่อพันปีก่อน ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าบรรพชนเทพมายาแม้แต่น้อยและพลังมายาที่เขาบ่มเพาะฝึกฝนมาก็มีคุณสมบัติที่พิเศษเหนือธรรมดาอย่างยิ่ง แม้ในการต่อสู้ครานั้นอดีตเทพมายาและยอดฝีมือทรงพลังหลายคนที่ร่วมมือกันจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ ทว่าหลังจากการเก็บตัวฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ นานนับพันปี คาดว่าความแข็งแกร่งของเขาน่าจะฟื้นฟูอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วและอาจน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
สาเหตุที่เขายังไม่ปรากฏตัวเป็นเพราะเขายังคงเฝ้ารอให้บุปผาแห่งความมืดเติบโตอย่างเต็มที่ ตราบใดที่มันบานสะพรั่งอย่างเต็มที่ พลังโดยรวมของฝ่ายมารจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อถึงตอนนั้น คนของดินแดนเทพมายาก็จะไม่สามารถรับมือกับฝ่ายมารได้อีกต่อไป
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ด้วยทราบดีว่าซิวไม่มีทางกล่าวเกินจริงหรือโกหกตนอย่างแน่นอน เวลานี้นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของผู้นำฝ่ายมารมากยิ่งขึ้นแล้ว
และนางหมายมั่นตั้งใจยิ่งกว่าเดิมว่าจะต้องตามหาต้นโพธิ์หรือบุปผาแห่งแสงให้พบโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น…ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะดำเนินไปจนสายเกินแก้
“เข้าใจแล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย รอให้สะสางปัญหาตรงหน้าก่อนเถอะ หลังจากนี้เราจะพิจารณาวางแผนทุกอย่างในระยะยาว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและสีหน้ากลับเป็นเรียบเฉยเย็นชาเช่นเดิม แม้ฝ่ายมารจะน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่อาจปฏิเสธ พวกนางก็ไม่หวาดหวั่น ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คิดมากเกินไปในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ใด ในเวลานี้นางต้องเริ่มจากการสะสางปัญหาตรงหน้าก่อน ส่วนไม่ว่าจะมีปัญหาใดในภายภาคหน้า นางเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก
ซิวไม่กล่าวสิ่งใดขณะเฝ้ามองดูพลังอำนาจของค่ายกลร้อยอสูรตรงหน้าซึ่งเป็นผลงานของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ
“ผู้อาวุโสหนานกง เราควรทำอย่างไรต่อไป ?”
เวลานี้ หลายคนในฝ่ายของหานชางเริ่มตื่นตระหนกกันไม่น้อย เดิมทีพวกเขาคิดว่ามีหนทางเอาชนะได้แน่ ทว่าเนื่องจากความประมาทที่มากเกินไป พวกเขาจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้ หากหนานกงเจี๋ยไม่มีแผนการรับมือต่อไป เกรงว่าแผนการใหญ่ที่พวกเขาเตรียมไว้สำหรับวันนี้จะต้องล้มเหลวโดยสมบูรณ์
“ก่อนหน้านี้ท่านผู้นำมอบของบางอย่างมาให้ข้า ทว่าสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่มากพอที่จะต่อกรกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ คาดว่าตอนนี้คนของฝ่ายเราที่อยู่ข้างนอกคงจะเข้ายึดตระกูลทั้งสองได้สำเร็จแล้ว ในตอนนี้เกรงว่าเราทำได้เพียงถอนกำลังออกไปก่อนและค่อยวางแผนสำหรับระยะยาวต่อไป”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ร่างของหนานกงเจี๋ยก็กลายเป็นหมอกมืดและสลายหายไปกลางอากาศ กลิ่นอายของเขาค่อย ๆ ปลีกห่างไกลออกไปก่อนจางหายไปอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเขาไปจากที่นี่แล้ว
“บัดซบ !”
หานชางและคนอื่น ๆ สบถในใจด้วยความฉุนเฉียว พวกเขาไม่ลังเลและต้องการหนีไปจากที่นี่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รู้ทันเจตนาของพวกเขาก่อนแล้ว
“เหอะ คิดว่าเราจะปล่อยให้พวกเจ้าหนีไปง่าย ๆ งั้นรึ ?!”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงเย็นชา แม้แต่นางก็ไม่คาดคิดว่าหนานกงเจี๋ยจะตัดสินใจเช่นนี้และมอบโอกาสให้กับนาง ตอนนี้การที่หานชางและพรรคพวกคิดจะหลบหนีออกไปเช่นกันนั้น นั่นเป็นสิ่งที่นางไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้น
หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ หันมองหน้ากันอย่างเข้าใจตรงกันก่อนเปิดฉากจู่โจมโดยตรง
หานซวนหยวนและหานชางมีเรื่องบาดหมางติดค้างในใจมาช้านาน ดังนั้นเขาจึงปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าหานชางโดยไม่ลังเลและไม่ปล่อยให้หานชางมีโอกาสหลบหนีไปได้
“หานชาง วันนี้เราจะได้สะสางความบาดหมางทั้งหมดที่ผ่านมาเสียที !”
หานซวนหยวนมองน้องชายต่างมารดาอย่างเย็นชาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ในอดีตเขาใจอ่อนและเมตตาเกินไปจนนำมาสู่เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดในตระกูลหาน วันนี้เขาจะต้องปลิดชีพหานชางด้วยมือของเขาให้จงได้
“หานซวนหยวน หากเป็นตัวเจ้าในอดีต ข้าก็คงจะมิใช่คู่มือของเจ้า ทว่าตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสามสิบปีแล้ว รากฐานฝึกยุทธ์ของเจ้าก็ถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนนั้น ต่อให้เจ้าจะเพียรพยายามฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดสามสิบปีนี้ มันก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับไปถึงระดับนั้นได้ ตอนนี้เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลยสักนิด !”
เมื่อได้ยินวาจาของหานซวนหยวน หานชางก็มองเขาด้วยแววตาดูหมิ่นอย่างชัดเจน
เป็นความจริงที่ในอดีตเขาไม่สามารถเอาชนะหานซวนหยวนได้เลย ทว่าหานซวนหยวนในวันนี้มิได้ทรงพลังดังเดิมอีกต่อไป ตลอดเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา เขาเชื่อว่าหานซวนหยวนไม่มีทางฟื้นฟูความแข็งแกร่งไปจนถึงระดับเดิมได้แน่ การที่อีกฝ่ายอาจหาญมาท้าทายตนเช่นนี้ นี่คือการรนหาที่ตายอย่างเห็นได้ชัด !
“ฮ่า ๆ ๆ หานชาง เจ้ายังคงดูถูกดูแคลนทุกคนไม่เปลี่ยน สำหรับความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้…ประเดี๋ยวเจ้าจะได้ประจักษ์อย่างชัดเจนเอง !”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น หานซวนหยวนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพุ่งตรงเข้าจู่โจมหานชางทันที
แม้หานชางไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของหานซวนหยวนจะฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาพเดิม เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย พลังจากทั่วทั้งร่างของเขาแผ่ออกไปอย่างไม่ปิดบังและประจันหน้ากับหานซวนหยวนโดยตรง
เวลานี้ หานโม่ฉือก็กำลังต่อสู้กับหานเฟยและหานซื่อ แม้พี่น้องทั้งสองจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ทว่าพวกเขาก็มิใช่คนดี ต่อให้ไม่ต้องการปลิดชีวิตของพวกเขาในตอนนี้ หานโม่ฉือก็ไม่อาจปล่อยทั้งสองไปเฉย ๆ ได้ มิฉะนั้นมันจะนำพาปัญหาไม่รู้จบมาอย่างแน่นอน
“หานโม่ฉือ ในนครเวหาครานั้น ข้าอาจจะพ่ายแพ้ให้กับเจ้า ทว่าวันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าพรสวรรค์ของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเจ้าเลย !”
หานเฟยทั้งริษยาและชิงชังหานโม่ฉืออย่างที่สุด หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือ ไป่หลี่ชิงโร่วก็คงเห็นเขาอยู่ในสายตาและตกลงปลงใจกับเขาไปแล้ว หากไม่มีหานโม่ฉือผู้นี้ เขาก็คงถือว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหานอย่างแท้จริงและสถานการณ์คงไม่เป็นเช่นนี้ ความชิงชังทั้งเรื่องใหม่และเรื่องเก่าผสมรวมกันจนทำให้จิตสังหารของหานเฟยที่มีต่อหานโม่ฉือรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หานซื่อไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงมองหานโม่ฉืออย่างเย็นชา ในงานประมูลครานั้น ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสหายรวมหัวกันทำให้เขาอับอายขายขี้หน้า และแน่นอนว่าเขายังจดจำความชิงชังนั้นอย่างมิอาจลืมเลือน
แม้ว่าหานโม่ฉือจะทรงพลังอย่างยิ่ง ทว่าหานซื่อและหานเฟยที่ร่วมมือกันก็มิได้อ่อนแอไปกว่าอีกฝ่ายนัก นอกจากนี้หานซื่อก็ยังมีไพ่ตายอีกหลายอย่างที่ซ่อนไว้และวันนี้เขาจะต้องทำให้หานโม่ฉือชดใช้กับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
หานโม่ฉือเพียงยิ้มบาง ๆ โดยใส่ใจพี่น้องคู่นี้แม้แต่น้อย เขาปรากฏตรงหน้าหานเฟยก่อนที่จะฟาดฝ่ามือออกไปอย่างแรง
ตูมมม !
ปฏิกิริยาของหานเฟยก็รวดเร็วไม่แพ้กันและเขาฟาดฝ่ามือเข้าใส่หานโม่ฉือเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทว่าหานเฟยกลับถูกฝ่ามือของหานโม่ฉือฟาดออกไปอย่างแรงจนกระเด็นหมุนตัวกลางอากาศสองตลบก่อนทรงตัวยืนได้
“ฮึ่ย !”
หานซื่อแค่นเสียงในลำคอและกระบี่เล่มยาวงดงามปรากฏในมือของเขา จากนั้นมันก็กลายเป็นภาพเงากระบี่ก่อนพุ่งตรงเข้าหาหานโม่ฉือ
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาและเพียงโบกมือเบา ๆ ก็ทำให้เงากระบี่นั้นหายวับไปกลางอากาศ เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อเขาแม้แต่น้อย
“อ่อนแอเกินไป”
หลังจากส่ายศีรษะ หานโม่ฉือก็กล่าวสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงทะนงตนซึ่งทำให้หานเฟยและหานซื่อโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดทว่าไม่มีหนทางตอบโต้ได้เลย
.