เมื่อทั้งสามคนพุ่งเข้ามาหมายจะโจมตีตน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด
หานโม่ฉือเพียงกระตุกยิ้มมุมปากและแรงกดดันอันทรงพลังในร่างกายของเขาแผ่ออกไปอย่างเปิดเผย จากนั้นเขาก็เหวี่ยงฝ่ามือฟาดเข้าใส่คนทั้งสามอย่างจังจนล้มกองลงบนพื้น
ในหมู่คนทั้งสาม ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนอย่างหานโม่ฉือ หากไม่มีไพ่ตายหรือเล่ห์เหลี่ยมใดที่ซ่อนไว้ เขาก็ไม่ทางต้านทานได้เลย
บุรุษทั้งสามถูกหานโม่ฉือฟาดจนล้มกองลงบนพื้นและสีหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวเหยเกเล็กน้อย ผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าของพวกเขาก็หลุดออกจนเผยให้เห็นใบหน้ารูปลักษณ์ที่แท้จริง
“ท่านจอมยุทธ์คือใครกัน ?”
ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนทั้งสามสยบความตื่นตระหนกในใจลงเล็กน้อยขณะมองตรงไปที่หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสับสน พวกเขาทั้งสามอยู่ในดินแดนเทพมายามาตลอดและคุ้นเคยกับดินแดนนี้เป็นอย่างดี ทว่าพวกเขาก็ไม่ทราบเลยว่าจอมยุทธ์เยาว์วัยที่ทรงพลังทั้งสองคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาไม่สามารถคาดเดาตัวตนของบุรุษและสตรีตรงหน้าได้เลย
“โอ้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร ส่งจดหมายนั่นมาให้เราซะดี ๆ และบอกข้อมูลทั้งหมดที่พวกเจ้ารู้มา แน่นอนว่าหากพวกเจ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พวกข้าก็อาจจะปล่อยพวกเจ้าไป”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และเรียกสั่วซีหย่าที่ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวออกมา
“ไอ้พวกสารเลว จำข้าได้รึไม่ !”
เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนทั้งสามอย่างชัดเจน สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็มั่นใจว่าพวกเขาคือกลุ่มเดียวกันกับที่สังหารมารดาของนางและจับตัวนางส่งไปที่โรงประมูล ในขณะนี้ โทสะในหัวใจของนางพลุ่งพล่านครอบงำทุกความรู้สึกในทันที
“เป็นเจ้านั่นเอง !”
เมื่อทั้งสามได้ยินคำพูดเจือความเกรี้ยวโกรธของสั่วซีหย่า พวกเขาก็มองนางอย่างพินิจพิจารณาและใบหน้าถอดสีซีดลงเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาจำลูกครึ่งเอลฟ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
“พวกเจ้าฆ่าแม่ของข้าและขายข้าให้กับโรงประมูล พวกเจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะมีชีวิตรอดออกมาเช่นนี้และตามหาพวกเจ้าพบอีกครั้งสินะ !”
สั่วซีหย่าปรับอารมณ์ของตนเองให้เย็นลง แม้จะชิงชังกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสุดหัวใจ นางก็ไม่ต้องการให้สิ่งนั้นทำลายแผนการของฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ ๆ สิ่งที่พวกเจ้าทำในอดีตนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าได้รับคำสั่งมาจากผู้อื่น ตราบใดที่พวกเจ้าบอกทุกอย่างที่รู้ เราจะปล่อยให้พวกเจ้าได้มีชีวิตต่อไป มิฉะนั้น…อย่าหาว่าพวกข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มเย็นชา นางไม่รังเกียจที่จะสังหารคนทั้งสาม อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะตายไป นางยังต้องใช้ประโยชน์จากพวกเขาจนคุ้มค่าเสียก่อน
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ขณะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของนางและหานโม่ฉือ สีหน้าของคนทั้งสามก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ทั้งสองจะทราบเรื่องราวมาพอสมควร ในตอนนี้พลังอำนาจของพวกเขาก็เทียบอีกฝ่ายไม่ติด ต่อให้พยายามต่อสู้จนตัวตาย พวกเขาก็มิอาจทำร้ายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็รักตัวกลัวตายอย่างยิ่งและไม่ต้องการกลายเป็นเพียงจิตวิญญาณล่องลอยไร้ชีวิตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจได้ในทันที
“ท่านทั้งสอง ตราบใดที่พวกท่านไว้ชีวิตเรา เราจะบอกทุกอย่างที่รู้มา อย่างไรก็ตาม หากพวกท่านไม่ปล่อยเราไป ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือเราจะต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งและท่านจะไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ”
ผู้เป็นหัวหน้าหยิบจดหมายออกมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ เขาเป็นคนชาญฉลาดพอสมควร เมื่อได้ทราบว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสนใจจดหมายดังกล่าวอย่างมาก แน่นอนว่าเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเจรจาต่อรองกับคนทั้งสอง
“โอ้ เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับพวกข้างั้นรึ ?!”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเยาะในขณะที่ร่างของหานโม่ฉือพุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง จดหมายในมือของหัวหน้ากลุ่มเมื่อครู่ก็มาอยู่ในมือของเขาแล้ว
“เอ่อ…”
ทั้งสามทำได้เพียงกลืนน้ำลายของตัวเองอย่างพูดไม่ออก พลังของหานโม่ฉือน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป พวกเขาประมาทจอมยุทธ์ทั้งสองตรงหน้าอย่างแท้จริง
“มาคุยกันเถอะ ผู้ที่ออกมาจากทะเลสาบเมื่อครู่นี้คือผู้ใดกัน ?”
หลังจากหยิบเก้าอี้สองตัวออกมาจากในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ทิ้งตัวนั่งลงอย่างสบาย ๆ ขณะมองตรงไปที่บุรุษทั้งสามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ทั้งสามชะงักไปทันทีที่เห็นท่าทางสบายใจเฉิบของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ จากนั้นพวกเขาก็หันมองหน้ากันและไม่กล้าปิดบังสิ่งใดอีกต่อไปจึงเริ่มกล่าวบอกทุกอย่างที่ทราบ
สำหรับผู้ที่ก้าวออกมาจากช่องทางสีทองในทะเลสาบก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสามคนไม่ทราบว่าคือผู้ใดและเพียงยืนยันได้ว่าผู้นั้นมิใช่มนุษย์
เดิมทีพวกเขาทั้งสามเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ที่ฝึกวิชาอย่างตั้งใจอยู่ในป่าวังชาเท่านั้น ทว่าเมื่อพวกเขามาที่ทะเลสาบแห่งนี้ พวกเขาก็พบกับคนผู้นั้นโดยบังเอิญ
คนผู้นั้นวานให้คนทั้งสามช่วยอะไรอย่างหนึ่งโดยกล่าวว่าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี พวกเขาจะได้รับสิ่งตอบแทนอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อมีสิ่งตอบแทนที่ล่อตาล่อใจ แน่นอนว่าทั้งสามไม่ปฏิเสธและตอบตกลงในทันที
และ ‘ภารกิจ’ ครานั้นคือการมอบหมายให้บุรุษทั้งสามกำจัดสั่วซีหย่าและมารดาของนาง
แม้ต้องการทราบเหตุผล คนผู้นั้นก็เพียงแสดงสีหน้าเคร่งขรึมและกำชับพวกเขาไม่ให้ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม
พลังอำนาจของคนผู้นั้นแกร่งกล้าอย่างยิ่ง แม้ทั้งสามจะรู้สึกไม่ดีนัก พวกเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธและทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี
เมื่อพบตัวสั่วซีหย่าและมารดา พวกเขาก็ลงมือสังหารผู้เป็นมารดาและจับตัวสั่วซีหย่าส่งไปขายที่โรงประมูล
ในความเป็นจริง คนผู้นั้นก็มอบหมายคำสั่งให้สังหารสั่วซีหย่าเช่นกัน ทว่าเมื่อพบว่านางเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ ความโลภก็เข้าครอบงำจิตใจของพวกเขา พวกเขาจึงจับตัวนางไปขายให้กับโรงประมูลแทน
หากมิใช่เพราะการตัดสินใจครานั้น สั่วซีหย่าก็คงจะมิได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้
หลังจากทำภารกิจนั้นเสร็จสิ้น คนผู้นั้นก็ได้มอบสิ่งตอบแทนที่ไม่คาดฝันให้กับบุรุษทั้งสามดังที่กล่าวไว้จริง หลังจากนั้น คนผู้นั้นก็ได้นัดหมายให้ทั้งสามมาพบกันที่นี่อีกครั้งโดยมีภารกิจอื่นที่ต้องการมอบหมายให้พวกเขาทำ
ในเมื่อได้รับสิ่งตอบแทนอย่างงาม บุรุษทั้งสามจึงไม่คิดปฏิเสธ หลังจากฝึกวิชาต่อไปตามปกติ พวกเขาก็มาพบกันที่นี่อีกครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาก็สัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าวังชาแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบัน การฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็มิได้มีผลประโยชน์กับพวกเขามากนัก พวกเขาจึงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่สงสัยในคำพูดของคนทั้งสามและคาดไว้แล้วว่าพวกเขาคงจะไม่ทราบข้อมูลใดมากนัก อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ได้เบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย มันก็มีประโยชน์อย่างมาก
“คนผู้นั้นสั่งให้ส่งจดหมายนี้ไปที่ใด ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือต้องการทราบว่าคนผู้นั้นสั่งให้คนทั้งสามนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งที่ใด หากเป็นดังที่พวกนางคิดไว้ มันจะยืนยันข้อสงสัยได้อย่างแน่นอน
“ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ‘เกาะเนรเทศ’ ข้ามีแผนที่คร่าว ๆ อยู่ในหัว หากท่านจอมยุทธ์ทั้งสองต้องการ ข้าสามารถวาดมันให้กับพวกท่านได้”
หัวหน้ากลุ่มกล่าวให้ความร่วมมือโดยไม่แสดงท่าทีขัดขืนอีกต่อไป
เพียงแต่ความกังวลในหัวใจของเขาก็ยังคงอยู่ ต่อให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือปล่อยพวกเขาไป เมื่อ ‘คนผู้นั้น’ ทราบว่าพวกเขาเปิดเผยความลับออกไป เกรงว่าพวกเขาจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
เกาะเนรเทศอย่างนั้นหรือ ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย แม้อยู่ในดินแดนเทพมายามานาน พวกนางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นมาก่อน
“นายหญิง เกาะเนรเทศนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นถิ่นฐานที่อยู่ของพวกฝ่ายมาร”
มารยากล่าวย้ำเตือนฉินอวี้โม่ อสูรสาวจำได้ว่าเมื่อครั้งยังอยู่ที่ดินแดนอ้างว้าง คนจากฝ่ายมารเคยกล่าวถึงสถานที่แห่งนี้อย่างผ่าน ๆ ทว่ามันก็ต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งกว่าที่จะนึกขึ้นได้
เมื่อได้ยินวาจาของมารยา ฉินอวี้โม่ก็นึกขึ้นได้เช่นกัน คนจากฝ่ายมารเคยกล่าวเช่นนั้นจริง และเกาะเนรเทศนั่นคงจะเป็นแหล่งรวมตัวและสำนักงานใหญ่ของฝ่ายมาร
ทั้งสามเริ่มร่างภาพแผนที่จากในความคิดและตรวจดูก่อนยืนยันได้ว่ามันตั้งอยู่นอกดินแดนรกร้างทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนเทพมายาซึ่งเป็นสถานที่ที่ห่างไกลและทุรกันดารอย่างยิ่ง
“ท่านจอมยุทธ์ เราบอกในสิ่งที่ท่านอยากรู้แล้ว ตอนนี้ท่านปล่อยเราไปได้หรือยัง ?”
ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวังและแสดงถึงความนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
“โอ้ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา เพียงแต่ก่อนที่พวกเจ้าจะไป…พวกเจ้าต้องทำอะไรบางอย่างก่อน”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวถึงสิ่งที่นางต้องการมอบหมายให้พวกเขาทำ
ทั้งสามขมวดคิ้วมุ่นทันที แม้ไม่เต็มใจนัก พวกเขาก็ได้เพียงพยักศีรษะอย่างจนปัญญา ถึงอย่างไรแล้วหากต้องการรอดชีวิตกลับไป พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟังวาจาของจอมยุทธ์ทั้งสองตรงหน้า
หลังจากมอบหมายทุกอย่างเสร็จสิ้น คนทั้งสามก็จากไป ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองดูจดหมายในมือก่อนยื่นให้กับสั่วซีหย่า
“หากข้าคิดไม่ผิด จดหมายฉบับนี้คงจะมีพลังของสายเลือดเอลฟ์เจือปนอยู่ เว้นเพียงแต่เอลฟ์ก็ไม่มีใครอื่นเปิดอ่านมันได้ ในเมื่อจดหมายมันลึกลับถึงเพียงนี้ มันจะต้องมีความลับบางอย่างระบุไว้แน่ เพราะฉะนั้น..สั่วซีหย่า หากเจ้าเปิดมันได้ ข้าเชื่อว่าพวกเราจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากแน่”
กล่าวได้ว่าฉินอวี้โม่มีปัญญาเป็นเลิศอย่างที่สุด เพียงสำรวจครู่เดียว นางก็มีข้อสันนิษฐานนี้อยู่ในใจแล้ว นางเพียงยิ้มบาง ๆ ขณะกล่าวอธิบายกับสั่วซีหย่า
สตรีลูกครึ่งเอลฟ์พยักศีรษะตอบรับและมิได้สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย อึดใจต่อมา นางก็หยดเลือดของตนเองลงบนจดหมายก่อนที่แสงสว่างวาบขึ้นมาจากจดหมายในมือของนาง
ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ สิ่งที่ดูเหมือนจดหมายธรรมดาในตอนแรกก็เปลี่ยนกลายเป็นใบไม้ขนาดใหญ่ที่ระบุอักษรเต็มใบ
เมื่อเห็นอักษรคำเหล่านั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มองหน้ากันอย่างพูดไม่ออกทันที มันมิใช่ตัวอักษรของภาษามนุษย์และน่าจะเป็นอักษรเฉพาะตัวของเอลฟ์
“นายหญิง ข้าอ่านคำพวกนี้ได้บางส่วน”
สั่วซีหย่าอ่านจดหมายอย่างตั้งใจก่อนกล่าวขึ้นมา
นางเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ที่มีสายเลือดเอลฟ์ไหลเวียนอยู่ในร่างครึ่งหนึ่ง เมื่อครั้งยังเยาว์วัย บิดาของนางก็ได้ทิ้งตำราเห็นแจ้งของเอลฟ์ไว้และนางได้ศึกษาอักษรง่าย ๆ จากมัน แม้ไม่อาจรับประกันว่านางจะอ่านได้ทั้งหมด นางก็สามารถแปลความง่าย ๆ ได้อย่างไม่เป็นปัญหา
ฉินอวี้โม่ส่งสัญญาณให้สั่วซีหย่าอ่านมันและบอกเนื้อหาในนั้นกับตน สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็เริ่มแปลมันออกมาอย่างเรียบง่ายทันที แต่ทว่า…พวกนางก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ทราบ
มีกบฏในหมู่เอลฟ์ ! และกบฏผู้นั้นก็ยอมจำนนต่อฝ่ายมารมาเป็นเวลานานแล้ว !
.