หลังจากใช้เวลาอยู่ในโรงเตี๊ยมต่ออีกพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์การค้าของเมืองหลิงอิ่น
พวกนางต้องการแลกแก่นวิญญาณบางส่วนเพื่อให้การแฝงตัวอยู่ในหมู่เอลฟ์แนบเนียนมากขึ้น
ศูนย์การค้าของเมืองหลิงอิ่นทุกวันนี้เงียบเชียบอย่างยิ่ง เนื่องจากการเหี่ยวเฉาโรยราของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งผลต่อเอลฟ์ทุกชีวิต เอลฟ์ในเมืองหลิงอิ่นจึงมีจำนวนน้อยลงมากและธุรกิจต่าง ๆ ในเมืองต่างก็ย่ำแย่ลงเช่นกัน ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ไม่มีลูกค้าคนใดแวะเวียนมาที่นี่และมีเพียงบรรยากาศความเงียบเหงาเท่านั้น
เมื่อเห็นทั้งสามเดินเข้ามา สีหน้าหม่นหมองและสิ้นหวังของผู้จัดการที่ดูแลศูนย์การค้านี้ก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างทันที ด้วยการแต่งกายที่ดูดีและหรูหราของทั้งสาม เขาเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากขายสิ่งต่าง ๆ ให้กับลูกค้าทั้งสามได้มาก มันจะช่วยกู้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ของศูนย์การค้าได้และเขาจะไม่ต้องลำบากใจเมื่อพบหน้ากับเถ้าแก่เจ้าของศูนย์การค้าแห่งนี้
“ท่านทั้งสาม ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือขอรับ ?”
เขากล่าวทักทายอย่างนอบน้อมและสุภาพ
“เราอยากแลกแก่นวิญญาณสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะหยิบอาวุธและอุปกรณ์คุณภาพดีจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติก่อนยื่นให้กับผู้จัดการตรงหน้า
ผู้จัดการของศูนย์การค้าก็รู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่เพียงต้องการแลกแก่นวิญญาณและไม่สนใจซื้อสินค้าใด ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นอุปกรณ์ที่ดูดีมีคุณภาพที่ฉินอวี้โม่นำออกมา เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
“ท่านจอมยุทธ์เป็นช่างหลอมหรือขอรับ ?”
เขาสำรวจดูอุปกรณ์หลายชิ้นที่ฉินอวี้โม่ยื่นมาให้อย่างระมัดระวังและรับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่อุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติธรรมดาทั่วไป จากนั้นกิริยาท่าทางของเขาก็สุภาพมากยิ่งขึ้น
“ถูกต้อง”
ฉินอวี้โม่มิได้กล่าวปฏิเสธใด ๆ นางทราบอยู่แล้วว่าตัวตนในสถานะช่างหลอมสามารถยกระดับตนในหมู่ชาวเอลฟ์ได้มากและโอกาสในการถูกสงสัยก็จะลดน้อยลง
“ท่านช่างหลอมผู้ทรงเกียรติ ขออภัยที่ข้าละเลยเกินไป”
เมื่อฉินอวี้โม่ตอบยืนยัน ผู้จัดการศูนย์การค้าจึงโค้งคำนับแสดงถึงความเคารพสูงสุดในทันที
“นี่คือแก่นวิญญาณที่อุปกรณ์ทั้งสี่ชิ้นสามารถแลกได้ขอรับ มูลค่ารวมทั้งหมดเป็นเก้าพันเก้าร้อยแก่นวิญญาณ นี่คือแก่นวิญญาณหนึ่งหมื่นชิ้นขอรับ เชิญท่านจอมยุทธ์ตรวจนับได้เลย”
ในชนเผ่าเอลฟ์ สถานะของช่างหลอมถือว่าสูงส่งกว่าในโลกภายนอกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับช่างหลอมที่มีฝีมือในระดับสูง เมืองของเผ่าใหญ่ ๆ หลายเมืองต่างก็หมายจะแย่งชิงกัน
ฉินอวี้โม่โยนกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุแก่นวิญญาณเหล่านั้นลงในแหวนมิติโดยไม่คิดจะนับมันด้วยซ้ำ
“ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนหันหลังเตรียมเดินออกจากศูนย์การค้า พวกนางมีเวลาไม่มากนัก ยิ่งปล่อยให้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เหี่ยวเฉาโรยราไปมาเพียงใด ปัญหาที่ตามหาก็จะหนักหนาเพียงนั้น แน่นอนว่านางต้องการหาสาเหตุที่ทำให้ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้และหาทางแก้ไขที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด
“ท่านทั้งสาม อย่าเพิ่งไปเลยขอรับ”
เมื่อเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่กำลังจะจากไป ผู้จัดการก็กล่าวเรียกทั้งสามไว้ทันที
“ท่านทั้งสามคงจะเป็นจอมยุทธ์ลับที่เก็บตัวฝึกวิชาในที่ห่างไกลใช่หรือไม่ ?”
ลักษณะท่าทางของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ทำให้ผู้จัดการศูนย์การค้าคาดเดาบางอย่างได้ เขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของคนทั้งสามรวมถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง
“ใช่แล้ว พวกเราเพิ่งมีเวลาได้พักผ่อนจากการฝึกวิชาเป็นเวลานาน”
ในเมื่อผู้จัดการศูนย์การค้าคาดเดาเช่นนั้น ทั้งสามก็ตามน้ำไปอย่างไม่คัดค้าน การที่เขากล่าวเรียกเพื่อหยุดพวกตนไว้เช่นนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะเขาต้องการบอกเรื่องบางอย่างเป็นแน่
“ฮ่า ๆ ๆ การที่ท่านจอมยุทธ์ทั้งสามออกมาเช่นนี้ พวกท่านคงจะค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จึงได้ออกมาสำรวจสถานการณ์ด้วยตัวเองใช่รึไม่”
ผู้จัดการกล่าวพร้อมรอยยิ้มและมีน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขากล่าวถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ฉินอวี้โม่และอีกสองคนมาที่นี่เพราะเรื่องต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์จริง ทว่าพวกนางมิใช่จอมยุทธ์ลับของชนเผ่าเอลฟ์ หากแต่มาจากชนเผ่ามนุษย์
“โอ้ ท่านมีปัญญาหลักแหลมทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยขณะพบที่นั่งและเดินตรงไปนั่งลง
“หากท่านมีเรื่องอะไรก็รีบว่ามาเถิด เราไม่มีเวลามาเสียไปกับเรื่องไร้สาระมากนัก”
นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเพื่อมิให้อีกฝ่ายพูดจาอ้อมค้อมให้เสียเวลาอีก
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านจอมยุทธ์ช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริง ๆ”
ผู้จัดการศูนย์การค้ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้ามีข่าวสารที่สำคัญบางอย่างซึ่งสามารถบอกกับท่านจอมยุทธ์ได้ เพียงแต่…ท่านต้องแลกมันกับอุปกรณ์ระดับสูงเช่นเดียวกับที่ท่านแลกมาเมื่อครู่นี้”
เขาสนใจในคุณภาพของอุปกรณ์ที่ฉินอวี้โม่หลอมด้วยตัวเองเป็นอย่างยิ่งและต้องการได้มาเพิ่มเติม อุปกรณ์และอาวุธระดับสูงเช่นนั้น หากนำออกไปประมูล เขาเชื่อว่าจะได้ราคาดีสมใจอย่างแน่นอนและจะกระตุ้นธุรกิจโรงประมูลของเขาให้ฟื้นฟูดียิ่งขึ้น
“ได้สิ ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท่านจะได้ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าของข้อมูลที่ท่านมี”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงโดยไม่ลังเล ศูนย์การค้าถือเป็นศูนย์กลางข่าวสารที่ดีอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน และนางเชื่อว่าผู้จัดการผู้ดูแลที่นี่จะต้องมีเบาะแสหลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่เคยทราบอย่างแน่นอน
ผู้จัดการยิ้มตอบและกล่าวสิ่งที่ทราบทันที เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าฉินอวี้โม่จะสนใจในข้อมูลของตน
หลังจากได้ยินข่าวจากผู้จัดการ ฉินอวี้โม่และอีกสองคนก็มองหน้ากันด้วยความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นทันที หากเป็นจริงดังที่ผู้จัดการศูนย์การค้ากล่าว เช่นนั้นแล้ววิกฤตของชนเผ่าเอลฟ์ครานี้ก็ไม่ได้จำกัดเพียงฝ่ายมารเท่านั้น
ชนเผ่าเอลฟ์มีประวัติศาสตร์ยาวนานเคียงคู่กับหมู่มวลมนุษย์ ผู้ปกครองชนเผ่าเอลฟ์ในปัจจุบันก็มีอายุกว่าหนึ่งพันปีแล้วซึ่งเป็นราชินีที่มีชื่อว่า ‘หลัวจื๋อยิน’
หลัวจื๋อยินสืบทอดตำแหน่งราชินีเอลฟ์หลังจากผู้ปกครองชนเผ่าเอลฟ์คนก่อนเสียชีวิตในสงครามกับฝ่ายมารเมื่อพันปีก่อน นางเป็นผู้ทรงพลังอย่างยิ่งและเป็นที่รักของทุกคน เกียรติยศความรุ่งเรืองของนางไม่ด้อยไปกว่าเทพมายาแม้แต่น้อย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางปกครองดูแลชนเผ่าเอลฟ์เป็นอย่างดีและแม้มีความแข็งแกร่งไม่มากเท่าช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุด ชนเผ่าเอลฟ์ก็ยังคงเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุดคือชนเผ่าเอลฟ์มั่นคงและสงบสุขอย่างยิ่งภายใต้การปกครองของนาง ในขณะที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเพียงน้อยครั้งเท่านั้น
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินมีบุตรห้าคนและบุตรีหนึ่งคน บุตรชายทั้งห้าล้วนมีความสามารถและพรสวรรค์ที่ไม่แพ้กัน ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวก็มีลักษณะนิสัยและความสง่างามเหมือนกับตัวนางในอดีตไม่มีผิด
แต่ทว่า…เนื่องจากทายาททุกคนของนางล้วนมากความสามารถ มันจึงดึงดูดภยันตรายมากมายตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บุตรทั้งหกคนของหลัวจื๋อยินไม่ได้มีบิดาเป็นคนเดียวกันทั้งหมด ในฐานะราชินีเอลฟ์ที่เป็นผู้ปกครองของทั้งชนเผ่า นางจึงมีสามีหลายคนและบุตรทั้งหกของนางก็มาจากสามีสี่คนด้วยกันซึ่งแบ่งออกเป็นบิดาของบุตรคนโตและบุตรคนที่สี่ บิดาของบุตรคนรองและบุตรคนที่สาม ส่วนบุตรคนที่ห้าและบุตรสาวคนที่หกก็มีบิดาที่แตกต่างกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่น้องทั้งหกแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด เว้นเพียงแต่บุตรคนที่ห้าซึ่งมักเก็บตัวไม่สุงสิงและไม่เข้าร่วมการแข่งขันใด การแข่งขันของอีกห้าคนดุเดือดมาเสมอจนเรียกได้ว่าแทบจะต่อสู้จนขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง
สาเหตุที่เกิดเรื่องเช่นนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินตั้งใจจะเลือกผู้ปกครองเอลฟ์คนต่อไปจากบุตรทั้งหกคน มันจึงนำไปสู่การแข่งขันอย่างจริงจังในหมู่พี่น้อง
แม้ชนเผ่าเอลฟ์จะไม่กว้างใหญ่เท่าหมู่มวลมนุษย์ ทว่ามันก็มิใช่ขุมกำลังเล็ก ๆ เช่นกัน ภายในชนเผ่าเอลฟ์แบ่งออกเป็นเผ่าเล็ก ๆ อีกหลายเผ่าซึ่งเผ่าเหล่านั้นได้รับการดูแลปกครองโดยพี่น้องทั้งหกคน
เดิมทีราชินีเอลฟ์ตัดสินใจที่จะประกาศผู้สืบทอดตำแหน่งในงานรวมพลเอลฟ์ในอีกสิบวันข้างหน้า ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดสภาวะวิกฤตที่ทำให้ตัวนางหมดสติไปอย่างกะทันหันและต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนจะถูกพิษร้ายจนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับชาวเอลฟ์ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม งานรวมพลของชนเผ่าเอลฟ์ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้และจะดำเนินต่อไปตามปกติ ยิ่งไปกว่านั้น งานรวมพลเอลฟ์จะมีการเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเอลฟ์เป็นการชั่วคราว ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ชนเผ่าดำเนินต่อไปโดยไร้ผู้นำ และไม่มีใครทราบได้เลยว่าราชินีเอลฟ์จะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เพราะเหตุนั้นการแต่งตั้งผู้นำขึ้นเป็นการชั่วคราวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
สำหรับข่าวสารที่ผู้จัดการศูนย์การค้าได้รับมา ในงานรวมพลครานี้จะมีใครบางคนฉวยโอกาสประกาศการก่อกบฏและเข้ายึดอำนาจควบคุมชนเผ่าไปโดยสมบูรณ์ และสำหรับพี่น้องทั้งหกนั้น ด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและหมกมุ่นอยู่กับการหาทางครองบัลลังก์ พวกเขาจึงไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย นั่นคือสาเหตุที่ผู้จัดการศูนย์การค้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับคนแปลกหน้าอย่างฉินอวี้โม่และอีกสองคนได้ทราบด้วยหวังว่าพวกนางจะลงมือทำอะไรสักอย่างได้
“ท่านทราบข่าวนี้ได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนมองตรงไปที่ผู้จัดการและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ความจริงก็คือ…คราก่อนมีคนกลุ่มหนึ่งมาที่โรงประมูลในการดูแลของข้าและซื้ออาวุธจำนวนมากไป ข้าพยายามถามความจากพวกเขาทว่าคนเหล่านั้นกลับสั่งไม่ให้ข้ายุ่งวุ่นวาย นั่นยิ่งทำให้ความสงสัยใคร่รู้ของข้าเพิ่มมากขึ้น ข้าจึงแอบตามพวกเขาไปและพยายามสืบเบาะแสมา”
ผู้จัดการศูนย์การค้ากล่าวตามความจริงและไม่คิดว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับการกระทำของเขา
“ถึงอย่างไรชนเผ่าเอลฟ์ก็เป็นบ้านเมืองของเรา ถึงแม้สถานะของเราในชนเผ่าจะไม่สูงส่ง แต่เราก็ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองต้องตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว ชนเผ่าของเราสงบสุขมาโดยตลอด หากพวกเขายึดครองมันไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อเอลฟ์ทุกชีวิตแน่ ทว่าน่าเสียดายที่ข้าไม่รู้จักใครที่มีอำนาจมากพอหรือมีคนที่ไว้วางใจได้ แต่เมื่อได้พบท่านจอมยุทธ์ทั้งสามในวันนี้ ข้าจึงบอกข่าวให้ได้ทราบ…ข้าหวังว่าท่านทั้งสามจะสามารถขัดขวางโศกนาฏกรรมที่จะมาถึงได้”
“เหตุใดท่านจึงคิดว่าท่านเชื่อใจพวกข้าได้ ? แล้วเหตุใดจึงคิดว่าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ?”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็เอ่ยถามออกไป แม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่ความสงสัยก็ชัดเจนในน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง
“เพราะความรู้สึก แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งของพวกท่าน ข้าเพียงรู้สึกได้ว่าพวกท่านมิได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามีลางสังหรณ์ว่าท่านทั้งสามจะช่วยให้ชนเผ่าเอลฟ์ของเราข้ามผ่านวิกฤตครานี้ไปได้”
ผู้จัดการศูนย์การค้ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับความถูกต้องและความชอบธรรม เวลานี้เขาจึงตัดสินใจทำตามลางสังหรณ์ของตนเอง สำหรับสิ่งที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะตัดสินใจนั้น เขามิอาจล่วงรู้ได้เลย อย่างไรก็ตาม เขาเกิดความรู้สึกอย่างที่อธิบายไม่ได้ว่าวิกฤตที่ชนเผ่าเอลฟ์ต้องเผชิญครานี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะคนทั้งสามที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันนี้…
สถานการณ์ของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกพิษร้ายจนเหี่ยวเฉาโรยราและราชินีเอลฟ์ผู้หลับใหลไม่ได้สติจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะทั้งสามคนนี้
“เอาล่ะ ลางสังหรณ์ของท่านถือว่าไม่เลวทีเดียว”
ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยืนขึ้นและหยิบของจำนวนหนึ่งจากแหวนมิติก่อนยื่นให้กับผู้จัดการร้าน
“เราจะจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์เอง ข้อมูลจากท่านถือว่าช่วยพวกเราได้มาก”
ด้วยเบาะแสและข้อมูลเหล่านี้ พวกนางจะมีข้อมูลอ้างอิงสำคัญสำหรับการตัดสินใจต่อไปในอนาคตและทราบว่าควรวางแผนทำสิ่งใดต่อไป…
.