หลังออกจากศูนย์การค้า ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าก็หารือกันครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจสำหรับแผนการขั้นตอนต่อไป
ในเมื่อมีความเป็นไปได้มากว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับบรรดาเอลฟ์ระดับสูง พวกนางจึงจะต้องสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับเอลฟ์ระดับสูงเหล่านั้นเสียก่อนและการหาทางเข้าใกล้เอลฟ์เหล่านั้นคือวิธีการที่ดีที่สุด
และหากต้องการเข้าไปใกล้คนเหล่านั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือการแฝงตัวเข้าไปในเผ่าของบรรดาองค์ชายและองค์หญิงเพื่อทำให้พวกเขาไว้วางใจ
ทั้งสามไม่คุ้นเคยกับชนเผ่าเอลฟ์แม้แต่น้อย หากสามารถหามิตรสหายและพันธมิตรได้ มันก็จะเป็นผลดีและมีส่วนช่วยได้อย่างมากในแผนการต่อ ๆ ไป
หลังจากสืบข้อมูลเกี่ยวกับบุตรทั้งหกคนของราชินีเอลฟ์ ทั้งสามก็ตั้งเป้าหมายไว้ที่องค์ชายห้าผู้ซึ่งไม่ชื่นชอบการต่อสู้หรือแก่งแย่งชิงดีทว่าเพียงปกครองเผ่าของตนอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
โดยปกติแล้ว ยิ่งผู้ใดดูไร้ความสามารถและเก็บตัวเงียบเพียงใด คนเหล่านั้นก็ย่อมมีแผนการซ่อนเร้นอยู่ในใจมากเพียงนั้น ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าใจสิ่งนี้เป็นอย่างดี
หลังออกจากเมืองหลิงอิ่น ทั้งสามก็มุ่งหน้าตรงไปยังเผ่าที่ถูกปกครองโดยองค์ชายห้า—เผ่าอู๋เหวย
‘เผ่าอู๋เหวย’ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกลทางตะวันตกของชนเผ่าเอลฟ์ซึ่งถูกเรียกกันว่าที่ราบอู๋เหวย
* 无为 อู๋เหวย หมายถึง ไม่บังคับแทรกแซงสิ่งใด สรรพสิ่งเป็นไปตามวิถีธรรมอันเป็นธรรมดาของมัน
สถานการณ์ของเผ่าอู๋เหวยก็เป็นไปตามชื่อของมันซึ่งเป็นเผ่าที่สงบเสงี่ยมอย่างมากเมื่อเทียบกับบรรดาเผ่าอื่น ๆ และก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งที่มากนักเช่นกัน ผู้ปกครองของเผ่าอย่างองค์ชายห้าหลัวหมิงฮ่าวเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เผ่าอู๋เหวยของเขาอยู่ในอันดับรั้งท้ายของเผ่าทั้งหมดมาเสมอ หากมิใช่เพราะสถานะองค์ชายห้าของหลัวหมิงฮ่าวและการที่เขาเป็นบุตรคนโปรดของหลัวจื๋อยิน เกรงว่าเผ่าอู๋เหวยคงตกเป็นของผู้อื่นไปนานแล้ว
ทั้งสามใช้เวลาเดินทางสามวันและมาถึงอาณาเขตบริเวณของเผ่าอู๋เหวยอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะเข้าไปถึงเผ่าอู๋เหวย พวกนางจะต้องผ่านเมืองที่มีชื่อว่า ‘เมืองอู๋ซี’ เสียก่อน
สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่ปกติหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชาวเอลฟ์ในช่วงที่ผ่านมา การควบคุมความปลอดภัยของเมืองอู๋ซีจึงเข้มงวดอย่างยิ่ง นอกเมืองเต็มไปด้วยทหารจำนวนมากซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันและคอยสอบถามเจตนาจากผู้คนที่เดินทางผ่านเข้าตัวเมือง
“หยุดก่อน พวกท่านเป็นใคร ?”
เมื่อพบฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสตรีลูกครึ่งเอลฟ์ ทหารที่คุ้มกันหน้าเมืองก็เอ่ยเรียกพวกนาง สาเหตุที่ทั้งสามถูกเรียกตัวไว้มิใช่เพราะความสงสัยในตัวตนของนางและหานโม่ฉือ หากแต่เป็นเพราะตัวตนของสตรีลูกครึ่งเอลฟ์สั่วซีหย่าที่ติดตามมาด้วยกัน
ลูกครึ่งเอลฟ์ถือเป็นตัวตนที่ต่ำต้อยในหมู่เอลฟ์และพวกเขาแทบไม่ค่อยปรากฏตัวเดินไปเดินมาในเมืองใหญ่เช่นสั่วซีหย่า เพราะเหตุนั้นทหารคนดังกล่าวจึงเอ่ยหยุดกลุ่มของฉินอวี้โม่ไว้
“พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา ๆ ส่วนนี่คือเด็กรับใช้ของข้าซึ่งเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ เราเพียงผ่านมาทางนี้โดยบังเอิญและอยากเข้าไปพักผ่อนในเมือง”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยท่าทางสง่างามและใจเย็นโดยไม่ขุ่นเคืองใจจากการที่ถูกขวางไว้แม้แต่น้อย
เพื่อมิให้เป็นการกระตุ้นความสนใจใด ๆ เวลานี้นางสวมผ้าคลุมสีขาวบดบังใบหน้าส่งผลให้ดูลึกลับไม่น้อย
ลักษณะท่าทางนิ่งเฉยของฉินอวี้โม่ทำให้เหล่าทหารประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อได้ยินว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปและลูกครึ่งเอลฟ์ผู้นั้นก็เป็นเด็กรับใช้ ทหารที่เอ่ยเรียกทั้งสามก็ไม่มีข้อสงสัยและเตรียมปล่อยให้ทั้งสามเดินเข้าไป
“ช้าก่อน !”
ก่อนก้าวเดินต่อไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นและบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่มีแววตาคลุมเครือก็ปรากฏตัวข้างหน้าประตูเมือง
“องค์ชายสี่”
เมื่อเห็นผู้มาใหม่ เหล่าทหารในบริเวณนั้นต่างก็โค้งคำนับด้วยความเคารพทันที
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลัวหมิงซี—องค์ชายสี่แห่งชนเผ่าเอลฟ์ และเขาก็ยังเป็นองค์ชายที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียที่สุดในบรรดาทายาททั้งหกคนของราชินีเอลฟ์
กล่าวได้ว่าหลิวหมิงซีผู้นี้เป็นคนมักมากในโลกียวิสัยและมักใช้สถานะอันส่งสูงของตนทำสิ่งที่น่ารังเกียจหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม เขามีความแข็งแกร่งที่มากพอสมควรและตัวตนของเขาก็ทำให้ใครต่อใครหลายคนไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองใจ เขาจึงวางตัวเผด็จการโดยที่ไม่เห็นใครอยู่สายตาได้ เว้นเพียงแต่ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินและหลัวหมิงรุ่ยพี่ชายของเขา นอกนั้นก็แทบไม่มีผู้ใดที่สามารถควบคุมเขาได้
การที่เขาเดินทางมาที่เมืองอู๋ซีในครานี้ เขาได้รับคำสั่งจากหลิวหมิงรุ่ยผู้เป็นพี่ชายให้มาสืบหาข้อมูลบางอย่างก่อนพบกับกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่ถูกหยุดอยู่หน้าประตูเมือง
รูปลักษณ์ของสั่วซีหย่าด้อยกว่าฉินอวี้โม่เพียงไม่มาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในชนเผ่าเอลฟ์หรือมนุษย์ นางก็ถือว่าเป็นสตรีที่งดงามชวนมอง หลัวหมิงซีผู้ซึ่งรักในความงามเป็นทุนเดิมย่อมสังเกตเห็นนางได้ในทันทีและคิดที่จะจับตัวนางกลับไปย่ำยีให้สมใจ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เดินตรงเข้ามาโดยไม่ลังเลและขวางหน้ากลุ่มคนทั้งสามไว้ทันที
“อืมม…”
องค์ชายสี่วางท่าทะนงตนขณะมองสั่วซีหย่าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก เหตุใดเจ้าไม่กลับไปที่จวนองค์ชายสี่กับข้าและเป็นนางบำเรอคนที่แปดสิบห้าของข้าล่ะ”
น้ำเสียงของเขามิใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ ในทางกลับกัน มันเป็นวาจาเชิงบังคับที่มิอาจปฏิเสธได้ สำหรับสตรีที่เป็นลูกครึ่งเอลฟ์เช่นนี้ เขาเชื่อว่าการที่คิดจะรับตัวนางกลับไปเป็นนางบำเรอคนที่แปดสิบห้าถือเป็นการให้เกียรตินางมากแล้ว
สั่วซีหย่าขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินวาจาของหลัวหมิงซีและนางโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
ใบหน้าของสั่วซีหย่าบูดบึ้งและนางส่ายศีรษะปฏิเสธทันที ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงการเป็นนางบำเรอคนที่แปดสิบห้าด้วยซ้ำ เพราะสำหรับคนมักมากผู้นี้ นางไม่ต้องการเข้าใกล้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นสั่วซีหย่าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล องค์ชายสี่ก็ชะงักไปเล็กน้อยและหัวเราะลั่นแทนที่จะเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอาจหาญถึงเพียงนี้ หรือเจ้าคิดว่านางบำเรอคนที่แปดสิบห้านั้นเป็นสถานะที่ต่ำต้อยเกินไปและต้องการจะเป็นนางสนมแทน ? รูปลักษณ์หน้าตาเจ้าถือว่าดูดีทีเดียว เรื่องนี้เราสามารถตกลงกันในภายหลังได้ ตราบใดที่เจ้ารับใช้ข้าจนพึงพอใจ ข้าก็อาจมีข้อยกเว้นและแต่งตั้งลูกครึ่งเอลฟ์อย่างเจ้าเป็นสนมข้างกายก็เป็นได้”
เขาเคยพบสตรีงามมาแล้วมากหน้าหลายตาและทราบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ทะนงในตนเอง การที่สั่วซีหย่าปฏิเสธทันควันเช่นนี้กระตุ้นความปรารถนาที่จะเอาชนะของเขามากยิ่งขึ้น และเขาเชื่อว่านั่นเป็นเพราะสั่วซีหย่าไม่พอใจกับการเป็นเพียงนางบำเรอ
“เหอะ ใครกันที่อยากจะเป็นสนมของเจ้า ? ต่อให้แต่งตั้งเป็นนางสนม ข้าก็ไม่สนใจ โลกนี้มีบุรุษดี ๆ มากมาย ไม่จำเป็นต้องตกลงปลงใจกับหมูสกปรกหื่นกามอย่างเจ้า !”
สั่วซีหย่าติดตามฉินอวี้โม่มาพักใหญ่และนางมิใช่สตรีขี้อายไม่กล้าสู้คนอีกต่อไป นางได้เรียนรู้คำศัพท์สมัยใหม่ของฉินอวี้โม่มาจากเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ เช่นกัน นางจึงกล่าววาจาก่นด่าสาปแช่งได้อย่างฉะฉาน
เดิมทีการปรากฏตัวขององค์ชายสี่หลัวหมิงซีก็ดึงดูดความสนใจของคนได้มากมายแล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินวาจาของสั่วซีหย่า ผู้คนมากมายโดยรอบตัวก็ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้
พวกเขาไม่ชอบหน้าหลัวหมิงซีผู้นี้แม้แต่น้อย หลายคนถึงขั้นสบถในใจด้วยความรังเกียจ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าพอที่จะกล่าววาจาก่นด่าอย่างเปิดเผยต่อหน้าองค์ชายสี่เหมือนกับสั่วซีหย่าเช่นนี้
เพราะเหตุนั้น การที่สตรีลูกครึ่งเอลฟ์กล้าฉีกหน้าหลัวหมิงซีอย่างเปิดเผยนี้ก็ทำให้หลาย ๆ คนสาแก่ใจและพึงพอใจอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้คนบางส่วนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนางเช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าหลัวหมิงซีมิใช่คนดี การที่นางก่นด่าเขาต่อหน้าทุกคนและยั่วโทสะอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ นางจะไม่ได้พบกับจุดจบที่ดีแน่
เป็นจริงดังที่หลายคนคิดไว้ วาจาของสั่วซีหย่าทำให้สีหน้าขององค์ชายสี่กลายเป็นเยือกเย็นทันที ไม่คิดเลยว่าสตรีที่มีสายเลือดเอลฟ์เพียงครึ่งหนึ่งจะริอาจฉีกหน้าเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ในอดีตที่ผ่านมา แม้แต่สตรีที่มั่นอกมั่นใจและทะนงตนก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเขามาก่อน เพราะตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็สามารถตัดสินโทษประหารให้กับพลเรือนทั่วไปได้ทุกเมื่อ
“บังอาจนัก ! เจ้ากล้าดูหมิ่นองค์ชายสี่ของเรา รนหาที่ตายแท้ ๆ !”
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งก้าวออกมาจากข้างหลังหลัวหมิงซีและแรงกดดันทรงพลังแผ่จากร่างของเขาตรงไปที่สั่วซีหย่าทันที
บุรุษผู้นั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและถือว่าทรงพลังพอสมควร ในขณะที่สั่วซีหย่าในตอนนี้มีพลังเพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นเท่านั้น เขาจึงมั่นใจว่าสั่วซีหย่าจะมิใช่คู่มือของตนอย่างแน่นอน
หลัวหมิงซีไม่ขัดขวางคนของตนขณะแสยะยิ้มราวกับต้องการเห็นสั่วซีหย่าคุกเข่าวิงวอนขอความเมตตาตรงหน้า เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาเชื่อว่าสตรีผู้ทะนงตนตรงหน้าจะต้องยอมก้มหัวศิโรราบอย่างแน่นอน
สั่วซีหย่าไม่แสดงถึงความหวั่นกลัวใด ๆ แม้ไม่แข็งแกร่งเท่าคนตรงหน้า ทว่าจิตใจของนางก็แกร่งกล้ากว่าคนผู้นั้นอย่างแน่นอน เวลานี้คลื่นพลังจากร่างของนางแผ่ออกไปเช่นกันและต้านทานแรงกดดันจากอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้
ฉินอวี้โม่เคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการสูญเสียขวัญและกำลังใจก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น แม้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่านางมาก ทว่าหากนางมีจิตใจตั้งมั่นที่จะต่อสู้จริง นางก็อาจไม่พ่ายแพ้เสมอไป
“…”
ทั้งสองฝ่ายติดชะงักอย่างที่ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบอยู่พักใหญ่ แรงกดดันจากผู้พิทักษ์ขององค์ชายสี่ไม่สามารถทำให้สั่วซีหย่าอ่อนแอลง อีกทั้งมันก็ค่อย ๆ สลายหายไปจนไม่มีผลกระทบใดต่อนางอีก
สีหน้าของผู้พิทักษ์บิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นจะต้านทานแรงกดดันจากพลังของเขาที่เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดได้
“ฮ่า ๆ ๆ น่าสนใจจริง ๆ ยิ่งเจ้าขัดขืนเพียงใด ข้าก็อยากพาตัวเจ้ากลับไปมากเพียงนั้น คงจะดีมากทีเดียวที่จะได้เห็นเจ้าเป็นลูกแมวน้อยที่อ้อนวอนอยู่ใต้ร่างของข้า !”
จู่ ๆ หลัวหมิงซีก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและสนใจในตัวสั่วซีหย่ามากขึ้น เมื่อเทียบกับสตรีงามทว่าน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ตรงหน้านี้ก็น่าสนใจกว่ามาก
“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลัวหมิงซี ฉินอวี้โม่ก็หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ หานโม่ฉือมองสตรีคนรักด้วยแววตาเปี่ยมด้วยความรักและทราบดีว่านางจะต้องมีแผนการบางอย่างในใจเป็นแน่
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างไม่ไว้หน้าของฉินอวี้โม่ ในที่สุดสายตาของหลัวหมิงซีก็จับจ้องไปที่นาง
แม้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ได้อย่างชัดเจน ทว่าลำคอระหง เรือนร่างเย้ายวนสมบูรณ์แบบและลักษณะท่าทางใจเย็นของนางทำให้ผู้พบเห็นเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะต้องเป็นสตรีงดงามชวนตะลึงอย่างแน่นอน
“จิ๊จิ๊จิ๊ ที่แท้ก็ยังมีอีกคน…แม่นางที่งดงาม ปลดผ้าคลุมออกและให้องค์ชายผู้นี้ได้เชยชมความงามของเจ้าหน่อยเถอะ หากเจ้างดงามกว่าลูกครึ่งเอลฟ์ตรงหน้านี้ ข้าก็สามารถแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนมข้างกายข้าได้เช่นกัน”
ขณะกล่าวเช่นนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อเปิดผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าของนาง
เมื่อหานโม่ฉือได้ยินวาจาของหลัวหมิงซี สีหน้าของเขาก็กลายเป็นเย็นชาพร้อมกับมีความคิดที่จะลงมือสั่งสอนบุรุษผู้นี้ด้วยตัวเอง ผู้ที่ริอาจกล่าววาจาล่วงเกินและแทะโลมกับสตรีของเขาต่อหน้าเขาเช่นนี้ไม่ต่างกับการรนหาที่ตายเลยสักนิด
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวโกรธของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่เพียงบีบมือเขาเบา ๆ นางยังมีสิ่งที่วางแผนไว้และไม่อาจปล่อยให้หานโม่ฉือทำลายแผนการนั้นได้
เมื่อถูกปรามโดยฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ลอบมองนางอย่างจนปัญญา อย่างไรก็ตาม เขาคิดกับตัวเองว่าหลังจากนี้จะต้องลงโทษสตรีร่างบางผู้นี้อย่างสาสม จากนั้นเขาก็เพียงยืนนิ่งเพื่อรอชมการแสดงที่กำลังจะได้เห็น
.