หลังจากที่ขับไล่หลัวหมิงซีและองครักษ์ของเขาจากไป ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่สนใจสายตาของทุกคนก่อนมุ่งหน้าตรงเข้าไปในตัวเมือง แม้หลัวหมิงฮ่าวจะเป็นเป้าหมายของการเดินทางมาที่นี่ พวกนางก็จะไม่เป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหาเขาก่อน การกระทำของหลัวหมิงฮ่าวเมื่อครู่นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสนใจในตัวพวกนางพอสมควรและฉินอวี้โม่เชื่อว่าเขาจะเป็นฝ่ายมาหาตนด้วยตัวเอง
ขณะมองแผ่นหลังของกลุ่มคนทั้งสามที่เดินจากไป ผู้คนที่ชมเหตุการณ์ทั่วบริเวณก็ค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมา
“ช่างประหลาดเหนือธรรมชาติยิ่งนัก !”
ใครคนหนึ่งกล่าวออกไปโดยสัญชาตญาณและอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เขาและคนอื่น ๆ ในที่นี้ล้วนทราบถึงความแข็งแกร่งของหลัวหมิงซีเป็นอย่างดี เมื่อครู่บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั้นซัดหลัวหมิงซีจนร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยกระบวนท่าเดียวและฉีกแขนของเขาอย่างโหดเหี้ยม ความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวและความองอาจกล้าหาญของหานโม่ฉือสามารถบรรยายได้ด้วยคำว่า ‘ประหลาดเหนือธรรมชาติ’ เท่านั้น
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากที่ใด ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นหลัวหมิงซีอยู่ในสายตาและไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวต่อตระกูลราชวงศ์เอลฟ์แม้แต่น้อย”
อีกคนไตร่ตรองและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม การที่ได้เห็นหลัวหมิงซีเผชิญกับผลกรรมเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง บุรุษที่ไร้ยางอายอย่างเขาควรที่จะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม !”
พวกเขาเหล่านี้เกือบทั้งหมดล้วนไม่ชอบหน้าหลัวหมิงซี ในหมู่ชาวเอลฟ์ ชื่อเสียงขององค์ชายสี่หลัวหมิงซีเลวร้ายจนถึงขั้นที่มีคนมากมายชิงชังเขาอย่างที่สุด แน่นอนว่าการที่มีคนสั่งสอนเขาอย่างสาสมเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนสาแก่ใจไม่ต่างกัน
“ทว่าเคราะห์ร้ายเช่นกันที่เจ้าหลัวหมิงซีเป็นคนใจชั่วขี้ฟ้อง เมื่อเขากลับไป เขาจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้คนอื่นทราบอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าจอมยุทธ์แปลกหน้าทั้งสามจะต้องเผชิญกับปัญหาไม่รู้จบ”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลายคนก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินอวี้โม่และคนทั้งสอง ไม่ว่าพวกนางจะทรงพลังเพียงใด พวกนางก็ไม่สามารถรับมือกับราชวงศ์เอลฟ์ทั้งตระกูลได้ หากไม่มีไพ่ตายที่ทรงพลังซ่อนไว้ พวกนางจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ในเวลานี้ หลัวหมิงฮ่าวที่ยืนนิ่งตกตะลึงก็เรียกสติกลับคืนมาแล้วเช่นกัน เขามองตามแผ่นหลังของทั้งสามที่เดินจากไปก่อนรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เขาเชื่อว่าจอมยุทธ์ทั้งสามน่าจะทราบอะไรบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็เป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังและแกร่งกล้า หากได้ร่วมมือกัน หลัวหมิงฮ่าวเชื่อว่ามันจะเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย
ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าเดินเท้าเข้าไปในเมืองอย่างไม่รีบร้อนขณะรอให้หลัวหมิงฮ่าวไล่ตามมา
“นายหญิง เมื่อครู่นี้ท่านทำอะไรกับเจ้าหลัวหมิงซีนั่นรึเจ้าคะ ?”
ระหว่างการประจันหน้าเมื่อครู่ สั่วซีหย่าอยู่ใกล้กับฉินอวี้โม่มากที่สุดและเห็นการกระทำของนางได้อย่างชัดเจน เมื่อหลัวหมิงซีเดินเข้ามาใกล้เพื่อปลดผ้าคลุมที่บังหน้า ฉินอวี้โม่ที่มีของเหลวบางอย่างอยู่ในมือก็แอบโปรยมันเข้าไปในร่างกายขององค์ชายสี่โดยที่เขาไม่รู้ตัว
สั่วซีหย่าทราบดีว่านายหญิงของตนมิใช่คนที่จะยอมอยู่เฉยและปล่อยให้ผู้อื่นรังแกโดยที่ไม่ตอบโต้
“ฮ่า ๆ ๆ เขาชื่นชอบความงามมากกว่าสิ่งใดมิใช่หรือ ? ในจวนของเขาก็คงจะมีนางบำเรออยู่หลายสิบคน สำหรับคนมักมากเช่นนั้น เจ้าคิดว่าสิ่งใดที่จะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจมากที่สุด ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น นางมิใช่คนใจอ่อนเป็นทุนเดิมและไม่ยอมปล่อยศัตรูให้รอดพ้นไปง่าย ๆ ในการประจันหน้าเมื่อครู่ นางแอบโปรยน้ำยาบางอย่างเข้าในร่างกายของหลัวหมิงซีซึ่งเป็นสิ่งที่นางได้มาจากอวิ๋นซื่อเทียนก่อนหน้านี้และมันเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาใช้งาน ‘ส่วนนั้น’ ไปไม่ได้ตลอดกาล
ในไม่ช้าองค์ชายสี่จะได้ตระหนักว่าการเชยชมสตรีงามในอ้อมแขนโดยที่มิอาจเสพสุขนั้นเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเพียงใด และสิ่งนั้นจะกลายเป็นความอัปยศอดสูของหลัวหมิงซีต่อไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ทรมานกับสิ่งนี้จนลืมเรื่องที่แขนขาดไปเสียสนิท
“นายหญิง ท่าน…”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ สั่วซีหย่าก็ส่ายศีรษะเบา ๆ และไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาบรรยายนายหญิงของตนได้เลย ทว่าสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือไม่ควรทำสิ่งใดให้ผู้เป็นนายขุ่นเคืองใจเด็ดขาด เมื่อเทียบกับวิธีการมากมายของฉินอวี้โม่ ความตายเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น
หานโม่ฉือเพียงมองสตรีคนรักด้วยแววตาประคบประหงมเอาใจและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของนางเพราะการกระทำที่โหดเหี้ยมเมื่อครู่นี้ เขาเป็นคนเย็นชาและไร้ความปรานีมาตั้งแต่ต้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้พบกับฉินอวี้โม่ แม้ว่าเขาได้มิตรสหายเพิ่มมากมาย ทว่านั่นก็ไม่อาจเปลี่ยนความเย็นชาที่เป็นตัวตนของเขาได้เลย
ยิ่งใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมเพียงใดเพื่อจัดการกับศัตรู มันก็ยิ่งสั่งสอนบทเรียนที่ลึกซึ้งให้กับพวกเขาได้มากเพียงนั้น อีกทั้งมันยังจะทำให้พวกเขาจดจำได้อย่างไม่ลืมเลือนและไม่คิดสร้างปัญหาอีกต่อไป แม้เขาเองจะไม่ทราบวิธีการทั้งหมดของฉินอวี้โม่ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าทั้งหมดจะใช้จัดการกับศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
“โม่เอ๋อร์ หากเจ้าคิดจะจัดการกับผู้ใดในอนาคต เจ้าก็อย่าให้พวกเขาเข้าใกล้เจ้าได้อีก มิฉะนั้นมันจะทำให้ข้าหึงหวงมาก”
เขาบีบมือบางของฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างจนปัญญา สำหรับสตรีร่างบางข้างกายผู้นี้ เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่แลบลิ้นอย่างซุกซนซึ่งดูน่ารักชวนหลงใหลยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางก็กลับสู่ความเรียบเฉยตามปกติ และสีหน้าท่าทางซุกซนในแบบของเด็กสาวเมื่อครู่ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานโม่ฉือได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเช่นกันและขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจนัก
ฉินอวี้โม่แทบจะไม่แสดงสีหน้าแบบเด็กสาวเช่นนั้นออกมา เมื่อครู่เขาก็กำลังชื่นชมอย่างพึงพอใจทว่าถูกขัดจังหวะโดยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา แน่นอนว่านั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านทั้งสาม ช้าก่อน”
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นในหูของทั้งสาม เจ้าของเสียงนั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลัวหมิงฮ่าว—องค์ชายห้าผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเผ่าอู๋เหวย
“มีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ องค์ชายห้า ?”
ทั้งสามหันกลับไปมองต้นเสียงและกล่าวถามหลัวหมิงฮ่าว
เมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อีกครั้ง หลัวหมิงฮ่าวก็ยังคงตะลึงในความงามไม่เปลี่ยนแปลง ต้องกล่าวเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นสตรีที่งดงามที่สุดที่เขาเคยพบมา เมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ แม้แต่ราชินีเอลฟ์ก็ยังดูด้อยกว่า
“ฮ่า ๆ ๆ ที่หน้าประตูเมืองเมื่อครู่ พี่สี่ของข้าสร้างปัญหาให้ท่านทั้งสาม ข้ามาเพื่อขอโทษกับพวกท่านและหวังว่าท่านทั้งสามจะไม่ถือสา”
สีหน้าท่าทางสุภาพอ่อนน้อมของหลัวหมิงฮ่าวแตกต่างจากลักษณะของหลัวหมิงซีอย่างสิ้นเชิง เขาตามมากล่าวขอโทษขอโพยทั้งสามด้วยตัวเอง แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหลัวหมิงซีจะไม่ปรองดองกันนัก ทว่าเขาก็เป็นน้องชายขององค์ชายสี่และควรจะเข้าข้างพี่ชายมากกว่า
“องค์ชายห้าช่างสุภาพยิ่งนัก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มิใช่เป็นความผิดของท่าน ยิ่งไปกว่านั้น เราก็ต้องขอบคุณที่ท่านช่วยพวกเราไว้เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม หลัวหมิงฮ่าวที่นอบน้อมสุภาพเช่นนี้ทำให้พวกนางประทับใจไม่น้อย หากได้ร่วมมือกันคนผู้นี้คงเป็นสิ่งที่ดีมากทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านทั้งสามไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ในเมื่อทุกท่านมาเยือนถิ่นของข้าแล้ว ข้าก็ควรจะเป็นเจ้าบ้านที่ดี หากท่านทั้งสามไม่ขัดข้อง ขอเชิญไปที่เผ่าอู๋เหวยกับข้าก่อนเถอะ ข้าจะให้การต้อนรับท่านทั้งสามเป็นอย่างดีเพื่อขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวเชื้อเชิญทั้งสามอย่างตรงไปตรงมา ที่นี่คือเมืองอู๋ซีซึ่งเป็นเพียงเมืองอาณาเขตรอบนอกของเผ่าอู๋เหวย การเข้าสู่เผ่าอู๋เหวยยังเป็นระยะทางอีกไกลพอสมควร เขารู้สึกถูกชะตาฉินอวี้โม่และคนทั้งสองยิ่งนักจึงกล่าวเชื้อเชิญด้วยตนเองอย่างไม่ลังเล
“องค์ชายห้าไม่กังวลหรือว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ความบาดหมางระหว่างท่านและองค์ชายสี่เพิ่มมากขึ้น ?”
หานโม่ฉือกล่าวถามอย่างใจเย็นและยังไม่ตอบรับคำเชิญของหลัวหมิงฮ่าวในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ หากข้าสนใจเรื่องนั้น ข้าก็คงไม่กล่าวว่าท่านทั้งสามเป็นแขกของข้าต่อหน้าทุกคนที่หน้าประตูเมืองหรอก”
หลัวหมิงฮ่าวยิ้มอย่างใจเย็นและกล่าวต่อ “อีกอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและพี่สี่ก็ไม่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าไม่มีปัญหาหากมันจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม”
“หากเป็นเช่นนั้นเราก็ยินดีตอบรับคำเชิญของท่าน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและตกคำรับปาก การเดินทางมาที่เผ่าอู๋เหวยครานี้เป็นเพราะพวกนางต้องการร่วมมือกับหลัวหมิงฮ่าวตั้งแต่ต้น ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายกล่าวเชิญเช่นนี้ พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธใด ๆ เมื่อไปถึงเผ่าอู๋เหวย พวกนางจะบอกทุกอย่างกับหลัวหมิงฮ่าวอย่างแน่นอน ทั้งสามเชื่อว่าการเลือกเข้าหาองค์ชายห้าผู้นี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
หลังจากเดินไปเรื่อย ๆ จนพ้นอีกฟากหนึ่งของเมืองอู๋ซี สภาพแวดล้อมโดยรอบก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไป
ผืนหญ้าเขียวขจีปรากฏให้เห็นและกลิ่นหอมโชยพัดพากลางอากาศซึ่งทำให้รู้สึกสบายกายสบายใจและสดชื่นยิ่งนัก
ขณะมุ่งหน้าต่อไประยะหนึ่ง ที่พักประณีตงดงามก็ปรากฏให้เห็นซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยพืชพรรณและบุปผานานาพันธุ์กอปรกับบรรยากาศสดชื่นเป็นพิเศษ
ที่พักเหล่านี้ทอดยาวเรียงรายหลายสิบหลังและในระหว่างทางพวกนางก็พบผู้คนที่ดูเป็นมิตรและมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ในขณะที่คนบางส่วนกำลังจดจ่ออยู่กับงานของตนเอง ด้วยการนำทางของหลัวหมิงฮ่าว กลุ่มของฉินอวี้โม่ก็มาถึงลานที่กว้างใหญ่ที่สุดของที่แห่งนี้
“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือเรือนที่พักของข้า หากท่านทั้งสามไม่รังเกียจก็เชิญพักอยู่ที่นี่กับข้าเถอะ และหากท่านวางแผนที่จะพักอยู่ในเผ่าอู๋เหวยของเราระยะยาว ข้าจะสั่งให้คนสร้างที่พักแห่งใหม่ให้กับพวกท่าน”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้มและต้อนรับทั้งสามอย่างอบอุ่น
“องค์ชายห้าช่างเมตตากับพวกเรายิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่และอีกสองคนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทั้งสามรู้สึกชื่นชอบและประทับใจในเผ่าอู๋เหวยพอสมควร
“องค์ชายห้า ท่านกลับมาแล้ว”
หลังจากเคาะประตูหน้าลานกว้าง บุรุษคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนพ่อบ้านก็เดินออกมา เมื่อเห็นหลัวหมิงฮ่าว ใบหน้าของเขาก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
“ลุงจาง สามคนนี้คือแขกของข้า ช่วยเตรียมที่พักให้กับพวกนางด้วย ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องหารือกับทั้งสามก่อน”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนนำทางทั้งสามตรงไปที่ห้องรับรองหลัก
“ท่านทั้งสามไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์ชายห้าหรอก เรียกข้าว่าหลัวหมิงฮ่าวก็พอ”
หลัวหมิงฮ่าวนั่งลงในบัลลังก์หลักของเขาพร้อมกับส่งสัญญาณให้คนรับใช้ชงชาให้กับแขกทั้งสามก่อนที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
“ข้าคือฉินอวี้โม่ นี่คือสามีของข้านามว่าหานโม่ฉือ ส่วนนี่คือสาวรับใช้ของข้านามว่าสั่วซีหย่า”
ในเมื่อหลัวหมิงฮ่าวแสดงกิริยาที่เป็นกันเองเช่นนี้ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายเช่นกัน นางกล่าวแนะนำตัวเองและอีกสองคนเพียงสั้น ๆ ก่อนกล่าว “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายห้าไม่สนใจโลกภายนอกเท่าใดนักและเผ่าอู๋เหวยก็มีสภาพแวดล้อมที่สวยงามอย่างที่สุด เมื่อได้พบเห็นด้วยตัวเอง ข้าก็เชื่อแล้วว่าคำกล่าวเหล่านั้นล้วนแต่เป็นความจริง”
“โอ้ มันเป็นเพียงข่าวที่ลือกันของคนภายนอก สภาพแวดล้อมในเผ่าของเรายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ทว่าการที่ข้าไม่สนใจโลกภายนอกนั้นมิใช่เรื่องจริงหรอก บางคราการเก็บตัวสงบเสงี่ยมก็เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาได้ดีทีเดียว ทว่าสุดท้ายการปล่อยวางและละทิ้งเรื่องทางโลกก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาใด ๆ”
หลัวหมิงฮ่าวยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เป็นไปตามใจของเขา
“สิ่งที่ท่านกล่าวมาก็จริง เพราะเหตุนั้น…การที่เรามาที่เผ่าอู๋เหวยครานี้เป็นเพราะเรามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการหารือกับองค์ชายห้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวจุดประสงค์ของตนเองออกไปโดยตรง