ทั้งบริเวณยอดเขาม่านหมอกตกอยู่ท่ามกลางความเงียบทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ ทุกคนหยุดเคลื่อนไหวและหยุดพูดคุยส่งเสียงขณะสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หลัวอวิ๋นซี
หลัวอวิ๋นซี—องค์หญิงเล็กผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของทั้งชนเผ่าเอลฟ์ผู้นี้ ทุกคนทราบลักษณะนิสัยและอารมณ์ของนางเป็นอย่างดี ในเมื่อต้นโพธิ์ต้นนี้ถูกค้นพบภายในอาณาเขตของนางแน่นอนว่ามันถือเป็นสมบัติของนาง ด้วยลักษณะนิสัยที่ทุกคนทราบกันดี เกรงว่าคงยากที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะครอบครองมันไปได้
อย่างไรก็ตาม ครานี้ทุกคนคิดผิดถนัด
“สาเหตุที่เจ้าตามหาต้นโพธิ์ก็เพื่อที่จะช่วยต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์และราชินีเอลฟ์ใช่รึไม่ ?”
เหลียนหยางกล่าวถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล
“ใช่แล้ว มีเพียงต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะลบล้างพลังความมืดในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ และหากได้หยดน้ำทิพย์ใกล้กับหัวใจของต้นโพธิ์มา พวกเราก็จะสามารถคลายทักษะสาปวิญญาณที่ถูกใช้กับราชินีเอลฟ์ได้”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังความจริงและกล่าวออกไปตามตรง นางรู้สึกได้ว่าเหลียนหยางผู้นี้เป็นห่วงความปลอดภัยของราชินีเอลฟ์จากใจจริง
เมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเหลียนหยางก็แสดงถึงความกระตือรือร้นทันทีและหันไปมองหลัวอวิ๋นซีราวกับต้องการกล่าวบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะกล่าวสิ่งใด หลัวอวิ๋นซีก็โบกมือเบา ๆ
“หากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีข้าก็คงจะไม่มีทางยอมให้ผู้ใดเอาต้นโพธิ์ไปจากเผ่าของข้าได้ ทว่าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หากท่านอยากเอามันไปก็ย่อมได้ เพียงแต่ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง…”
หลัวอวิ๋นซีหยุดชั่วคราวก่อนมองฉินอวี้โม่และกล่าวต่อ “ต้องยอมรับเลยว่าพรสวรรค์ของท่านไม่ด้อยไปกว่าข้าจริง ๆ และความแข็งแกร่งโดยรวมก็สูงกว่าข้า อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังไม่เต็มใจยอมรับง่าย ๆ หากท่านสู้กับข้าโดยไม่ใช้อสูรมายาพวกนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าก็จะไม่ขัดขวางท่านอีก”
กองทัพอสูรมายาของฉินอวี้โม่ได้แสดงให้องค์หญิงเล็กตระหนักถึงช่องว่างความแตกต่างระหว่างตนและฉินอวี้โม่แล้ว นอกจากนี้ ความองอาจกล้าหาญและไหวพริบอันชาญฉลาดของฉินอวี้โม่ก็เป็นสิ่งที่นางเทียบไม่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลัวอวิ๋นซียังไม่เต็มใจยอมรับความจริงเท่าใดนัก หากฉินอวี้โม่ไม่ใช้อสูรมายาและประชันฝีมือกับตนอย่างซึ่ง ๆ หน้า ไม่ว่าฝ่ายใดแพ้หรือคว้าชัย นางก็จะปล่อยให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไปจากที่นี่พร้อมกับต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับความหลงใหลที่นางมีต่อหานโม่ฉือ หลัวอวิ๋นซีก็จะปล่อยวางมันเช่นกัน
ไม่คิดเลยว่าครานี้หลัวอวิ๋นซีจะยินยอมและว่าง่ายเช่นนี้ แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ต้องประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากเรียกสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านยืนกรานที่จะสู้กัน ข้าก็จะสนองให้แต่โดยดี แต่หากท่านแพ้…อย่าร้องห่มร้องไห้ก็แล้วกัน”
จู่ ๆ ในเวลานี้นางก็รู้สึกว่าหลัวอวิ๋นซีตรงหน้ามิใช่ผู้ที่น่ารังเกียจอย่างที่เคยคิด ในฐานะองค์หญิงเล็กแห่งชนเผ่าเอลฟ์ ไม่ว่าตัวตนหรือลักษณะนิสัยของนางจะเป็นอย่างไร นางก็ตระหนักดีว่าสิ่งใดสำคัญและสิ่งใดคือสิ่งที่ควรกระทำ รวมถึงความผิดชอบชั่วดี เห็นได้ชัดว่าแท้จริงแล้วลึก ๆ นางก็เป็นคนดีไม่น้อย
“เหอะ หากไม่ใช้อสูรมายา คนที่แพ้ก็อาจจะไม่ใช่ข้า !”
หลัวอวิ๋นซีแค่นเสียงเย็นชาและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที สำหรับการประชันฝีมือในยอดเขาม่านหมอกครานี้ ไม่ว่าชนะหรือต้องพ่ายแพ้ หลัวอวิ๋นซีก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และพุ่งขึ้นไปหยุดตรงหน้าคู่ต่อสู้ นางสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางไม่เปลี่ยนแปลง
ดูจากภายนอกนั้น พลังของหลัวอวิ๋นซีก็อยู่ในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าวเป็นอย่างต่ำซึ่งถือว่าแข็งแกร่งกว่านางเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมในการต่อสู้ของนาง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนที่แท้จริง ฉินอวี้โม่ก็จะไม่เสียเปรียบ และในการประชันฝีมือกับหลัวอวิ๋นซีครานี้ นางจะเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ เงยหน้ามองฉินอวี้โม่และหลัวอวิ๋นซีกลางอากาศอย่างตั้งตารอการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง
แม้เป็นการต่อสู้ประชันฝีมือ ทว่าการที่สตรีงดงามและโดดเด่นทั้งสองต่อสู้กันเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ามองและตรึงตาตรึงใจอย่างแน่นอน
เนื่องจากเป็นเพียงการดวลฝีมือ ทั้งสองจึงไม่ใช้อาวุธและนี่ก็เป็นการเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด หลัวอวิ๋นซีเองก็ถือว่าเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและมิได้เรียกอสูรมายาใด ๆ ออกมา
“ฉินอวี้โม่ ข้าไม่ยอมแพ้ท่านแน่”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวพลางยกยิ้มมุมปากและเหวี่ยงกำปั้นขวาตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่
“ข้าก็เช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและปล่อยการโจมตีแบบเดียวกัน
โครมมม !
หมัดทรงพลังของทั้งสองปะทะกันอย่างแรงและทั้งสองแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และหลัวอวิ๋นซีถอยหลังไปคนละสามก้าวก่อนทรงตัวซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลังของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกันเท่าใดนัก
“เหอะ ข้าไม่ได้สู้กับใครอย่างเต็มที่เช่นนี้มานานแล้ว”
หลัวอวิ๋นซียิ้มพร้อมกับมีสีหน้าที่ตื่นเต้นขึ้นมา จากนั้นนางก็ไม่รอช้าและพุ่งตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่อีกครั้ง
นางกำหมัดข้างขวาในขณะที่ข้างซ้ายเป็นกรงเล็บโดยหมายจะโจมตีบริเวณไหล่และหน้าอกของฉินอวี้โม่
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ขณะกำหมัดด้วยมือข้างหนึ่งและปล่อยฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นหมัดของนางก็ปะทะกับมือข้างซ้ายของหลัวอวิ๋นซีในขณะที่ฝ่ามืออีกข้างต้านทานมือข้างขวาของหลัวอวิ๋นซีไว้ส่งผลให้อีกฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
“หลัวอวิ๋นซี หากเป็นเรื่องของการต่อสู้ระยะประชิดและประสบการณ์การต่อสู้ ท่านมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยาะและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นพร้อมปลดปล่อยการโจมตีกระหน่ำเข้าใส่หลัวอวิ๋นซี
แม้แต่ความเร็วของหานโม่ฉือเองก็ยังด้อยกว่านางอยู่เล็กน้อย เพราะเหตุนั้น หลัวอวิ๋นซีที่อยู่ในขอบเขตนภาเซียนครึ่งก้าวจึงไม่มีทางที่จะเทียบกับนางได้
หลัวอวิ๋นซีรู้สึกเพียงว่าฉินอวี้โม่พยายามโจมตีทุกส่วนของร่างกายตนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนางก็ง่วนอยู่กับการป้องกันจนไม่สามารถโจมตีตอบโต้ได้เลย
การโจมตีของฉินอวี้โม่กระจายไปสู่ทุกส่วนของร่างกายและเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรวดเร็วจนนางไม่อาจตั้งรับได้ทัน
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลัวอวิ๋นซีก็ต้านทานไว้ไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนเสียงดังออกมา “หยุด !”
นางร่วงลงบนพื้นในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง
ร่างของฉินอวี้โม่พุ่งตามลงพื้นและหยุดลงไม่ไกลจากนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่าการประชันฝีมือเมื่อครู่นี้จะมิได้ทำให้สตรีผู้นี้อ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
“นับว่าท่านมีฝีมือมากทีเดียว ด้วยความเร็วของท่าน เกรงว่าจอมยุทธ์นภาเซียนก็คงต้านทานไว้ไม่ได้”
หลัวอวิ๋นซีมองฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความจริงใจ นางมองร่างและการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของฉินอวี้โม่ได้ไม่ทันด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการโจมตี หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ออมมือ หลัวอวิ๋นซีก็คงฟกช้ำและปูดบวมไปด้วยอาการบาดเจ็บทั่วร่าง สภาพของนางคงไม่ดีเฉกเช่นตอนนี้แน่
“ท่านไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่ท่านมีประสบการณ์การต่อสู้ที่น้อยเกินไป หากท่านได้เรียนรู้และฝึกฝนประมือกับผู้อื่นเป็นประจำ ท่านก็คงจะไม่พ่ายแพ้ไปง่าย ๆ เช่นนี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเดินกลับไปหยุดข้างหานโม่ฉือ เวลานี้นางมองเห็นส่วนที่น่ารักขององค์หญิงเล็กผู้นี้บ้างแล้ว
ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกนางจะมีความขัดแย้งหรือความบาดหมางใด ๆ ตัวตนที่แท้จริงของหลัวอวิ๋นซีก็ถือได้ว่าเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอายุน้อยนัก เพราะเหตุนั้นความคิดความอ่านและไหวพริบของนางจึงยังไม่ได้มากเท่ากับฉินอวี้โม่ หากมีเวลาฝึกวิชามากกว่านี้ คาดว่านางคงไม่เพลี่ยงพล้ำไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่
“ท่านพ่อไม่ยอมสู้กับข้าและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ไม่ยอมสู้กับข้าเช่นกัน ในความจริงข้าก็อยากหาใครสักคนเพื่อเป็นคู่มือฝึกซ้อมแต่ก็ไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ประชันฝีมือกับผู้ที่มีพลังใกล้เคียงกัน แน่นอนว่าข้าย่อมมีข้อบกพร่องอยู่หลายอย่าง”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวอย่างจนปัญญา ก่อนหน้านี้แม้พยายามหาคู่ต่อสู้เพื่อฝึกฝีมือ นางก็เคยไม่สมหวัง
“หากเจ้าต้องการหาคู่ซ้อมคู่ฝึกฝนละก็ เจ้าก็ไปที่ค่ายทหารของข้าได้ ตราบใดที่เจ้าไม่คิดว่าคนเหล่านั้นหยาบคายและไม่ห่วงความเหมาะสม มันจะเป็นส่วนช่วยที่ดีอย่างมากสำหรับทักษะและกลยุทธ์การต่อสู้ของเจ้า”
หลัวหมิงเฟยก็รู้สึกประทับใจในตัวน้องเล็กผู้นี้มากขึ้น ในความทรงจำตลอดเวลาที่ผ่านมา หลัวอวิ๋นซีเป็นน้องสาวที่ทะนงตนและหัวแข็งมาเสมอ ไม่คิดเลยว่านางจะมิใช่เด็กสาวเช่นนั้นอีกต่อไปและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
“จริงรึ ? เยี่ยมไปเลย เมื่อสถานการณ์ในชนเผ่าของเราสงบลง ข้าจะไปที่นั่น แม้ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้จะดูแกร่งกล้าไม่ธรรมดา ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง ข้าก็อาจสู้ไม่ได้”
เมื่อได้ยินวาจาของหลัวหมิงเฟย หลัวอวิ๋นซีก็ยิ้มร่าด้วยความดีใจทันทีและตัดสินใจไปฝึกฝนที่ค่ายทหารในอนาคต อย่างน้อยที่สุด เมื่อพบกับตู้ซีรั่วครั้งต่อไป นางก็ไม่มีทางปล่อยให้ตู้ซีรั่วเอาชนะได้ง่าย ๆ
“องค์หญิงเล็ก ตอนนี้เราสามารถนำต้นโพธิ์กลับไปได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและเดินไปที่ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนครุ่นคิดว่าจะนำมันกลับไปอย่างไร
“แน่นอน คำพูดของข้าย่อมเชื่อถือได้ ว่าแต่…ท่านวางแผนจะเอาต้นโพธิ์กลับไปอย่างไร ?”
ในเวลานี้ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่และมิได้มีสติรับรู้มากนัก หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการนำมันออกไป พวกนางก็ต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับสำหรับการอยู่รอดและการเจริญเติบโตให้กับมัน ยิ่งไปกว่านั้น ต้นโพธิ์ต้องยินยอมไปกับพวกนางด้วยความเต็มใจเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าข้ามีวิธีอยู่”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยและหยิบคฤหาสน์เฟิงหัวออกมา ไม่นานนักคลื่นพลังจากคฤหาสน์มิติของนางก็ปกคลุมรอบต้นโพธิ์ตรงหน้า
สภาวะพลังหนาแน่นในคฤหาสน์เฟิงหัวไม่ด้อยไปกว่ายุคสมัยรุ่งเรืองของชนเผ่าเอลฟ์แต่อย่างใด เมื่อถูกปกคลุมด้วยพลังเหล่านั้น ต้นโพธิ์ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังแกร่งกล้าก่อนที่กิ่งก้านและใบไม้ของมันจะเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าไม่ขัดข้อง เชิญใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้าได้เลย ข้ารู้ว่าเจ้ายังพอมีสติรับรู้อยู่บ้างและคงจะเข้าใจความหมายของข้าดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปทว่าต้นโพธิ์ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ราวกับไม่เข้าใจความหมายเหล่านั้น
“ต้นโพธิ์ สภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวสามารถช่วยให้เจ้าเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น เชิญเจ้าไปอยู่ในคฤหาสน์มิติกับพวกเราสักระยะและเราก็อยากจะขอความช่วยเหลือบางอย่างจากเจ้าเช่นกัน หลังจากนั้น หากเจ้าอยากออกไป เราก็จะไม่ขัดขวาง”
เสี่ยวม่านปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่และสื่อสารกับต้นโพธิ์ด้วยเสียงทางจิตวิญญาณ
เมื่อเข้าใจความหมายของเสี่ยวม่าน ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ลังเลเล็กน้อยก่อนเกิดประกายแสงสว่างจ้าและต้นโพธิ์ก็หายไปจากยอดเขาม่านหมอกทันที ฉินอวี้โม่ตรวจดูและพบว่ามันปรากฏอยู่ในจุดหนึ่งของคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งเป็นจุดที่ทิวทัศน์งดงามและสภาวะพลังอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ทันทีที่ต้นโพธิ์เข้าไปข้างใน พฤกษามากมายหลายชนิดในคฤหาสน์เฟิงหัวก็ได้รับพลังชีวิตที่มหาศาล ส่งผลให้พืชพรรณต่าง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาเติบโตก็เจริญเติบโตเต็มที่ในทันที
“ต้นโพธิ์ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก !”
อสูรมายาทั้งหลายก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงและถึงกับอุทานเป็นเสียงเดียว ไม่แปลกใจเลยที่มันถือเป็นต้นไม้แห่งชีวิตในตำนาน พลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แทบที่จะเรียกได้ว่าเป็นพลังของเทพเจ้า
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักศีรษะอย่างพึงพอใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคาด หลัวอวิ๋นซีก็ไม่กล่าวสิ่งใดทว่าแอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะสะสางปัญหาเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ให้ได้โดยเร็ว
ขณะกำลังจะออกจากยอดเขาม่านหมอก จู่ ๆ อุปกรณ์สื่อสารของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ! พี่ใหญ่จะฆ่าท่านแม่และยึดบัลลังก์กลายเป็นราชาเอลฟ์ !”
เสียงขององค์ชายสี่หลัวหมิงซีดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ส่งผลให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
.