หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ หลัวหมิงรุ่ยก็ตบไหล่หลัวหมิงซีอีกครั้งและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องสี่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีจิตใจที่อ่อนโยนเช่นนี้”
แม้ไม่กล่าวเป็นคำพูดตรงไปตรงมาก็เห็นได้ชัดว่าหลัวหมิงรุ่ยเห็นดีเห็นชอบกับข้อเสนอของหลัวหมิงซี
“พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนให้กำเนิดข้ามา แม้ว่านางจะไม่ดีกับข้านักตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ทว่าการให้นางจากไปอย่างสงบก็จะทำให้ข้าสบายใจมากกว่า”
หลัวหมิงซียิ้มและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“เอาล่ะ ข้าจะยกหน้าที่นี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ข้าจะหารือกับท่านหยางเรื่องการสถาปนาบัลลังก์”
หลัวหมิงรุ่ยพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจก่อนหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนจำนวนหนึ่งที่เขาไว้วางใจเพื่อให้จับตาดูหลัวหมิงซีไว้ จากนั้นเขาและหยางเสวียนก็แยกตัวออกไป
แน่นอนว่าหลัวหมิงซีก็เห็นการขยิบตาของพี่ชายทว่าไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
“พวกเจ้าไปเตรียมโลงศพผลึกแก้วมาให้ข้า ข้าจะนำร่างท่านแม่ไปฝังไว้ที่เชิงเขาของภูเขาเอลฟ์”
หลัวหมิงซีกล่าวออกคำสั่งกับคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าพวกเขาก็รับคำสั่งและแยกกันออกไปอย่างไม่ลังเล นอกจากคน ๆ หนึ่งที่คอยจับตาดูหลัวหมิงซีอยู่ ทุกคนที่เหลือก็ตรงออกไปเตรียมโลงศพผลึกแก้วตามคำสั่ง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน พวกเขาก็กลับมาพร้อมโลงผลึกแก้วที่งดงาม
“ไปฝังโลงศพนี้กับข้าที่เชิงเขาของภูเขาเอลฟ์”
หลัวหมิงซีกล่าวออกคำสั่งกับคนเหล่านั้นอีกครั้ง
พวกเขาก็พยักศีรษะรับคำ จากนั้นหลัวหมิงซีและคณะเดินทางก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปในทิศทางของภูเขาเอลฟ์พร้อมด้วยร่างของราชินีเอลฟ์ที่อยู่ในโลงศพผลึกแก้ว
ทว่าทันทีที่ออกจากพระราชวัง หลัวหมิงซีก็สัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่ตนด้วยความมุ่งร้ายอย่างที่สุด อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ ทราบแล้วว่าหลัวหมิงซีสังหารราชินีเอลฟ์และองครักษ์ภักดีอย่างพวกเขาย่อมโกรธแค้นชิงชังอย่างที่สุด
“หลัวหมิงซี เจ้าคนชั่วที่ฆ่าได้แม้กระทั่งมารดาของตน เจ้าไม่คู่ควรที่จะเกิดมาด้วยซ้ำ เจ้าลูกเนรคุณ !”
อี้หานเทียนกล่าวอย่างโกรธแค้นและสาปแช่งหลัวหมิงซี เขาเคยคิดว่าองค์ชายสี่ผู้นี้เพียงมักมากในกามและไร้กฎระเบียบในชีวิตเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะชั่วร้ายถึงขั้นร่วมมือวางแผนกับหลัวหมิงรุ่ยเพื่อสังหารราชินีเอลฟ์ผู้เป็นมารดา อี้หานเทียนจงรักภักดีต่อหลัวจื๋อยินยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดและผู้ที่เขาเกลียดชังที่สุดในตอนนี้นอกเหนือจากหลัวหมิงรุ่ยก็คือหลัวหมิงซีผู้นี้ซึ่งลงมือสังหารราชินีเอลฟ์ด้วยตัวเอง
สีหน้าของหลัวหมิงซีไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการตามแผนเช่นนี้ เขาก็เตรียมใจที่จะรับมือกับคำก่นด่าและสาปแช่งที่จะได้รับ ตราบใดที่สามารถปกป้องชนเผ่าเอลฟ์และมารดาของตน เขาก็ไม่รังเกียจที่จะถูกต่อว่าหรือถูกมองเป็นคนชั่วช้าอำมหิต
คนอื่น ๆ กล่าววาจาก่นด่าอย่างต่อเนื่องเช่นกันขณะจ้องมองหลัวหมิงซีด้วยแววตาอาฆาตและชิงชัง พวกเขามององค์ชายสี่ผู้นี้เป็นคนชั่วช้าที่สุดและปรารถนาที่จะปลิดชีวิตเขาด้วยตนเอง
“ในเมื่อพวกเจ้าจงรักภักดีนักก็ไปฝังท่านแม่ด้วยกันกับข้าเถอะ ถึงอย่างไรการที่ท่านแม่ต้องอยู่เพียงลำพังก็คงจะเหงาแย่ !”
หลัวหมิงซียกยิ้มมุมปากก่อนกล่าวกับกลุ่มผู้พิทักษ์ที่ดูแลกลุ่มของอี้หานเทียน “พาพวกเขาไปที่ภูเขาเอลฟ์ ข้าจะจับพวกเขาฝังไปพร้อมกับร่างของราชินี !”
คนเหล่านั้นก็รับคำสั่งแต่โดยดีก่อนเริ่มจับตัวกลุ่มของอี้หานเทียนและออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปที่ภูเขาเอลฟ์พร้อมกับกลุ่มของหลัวหมิงซี
หลัวหมิงรุ่ยก็มิได้สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย ในเวลานี้เขากำลังหารือกับหยางเสวียนเกี่ยวกับวิธีการสืบทอดบัลลังก์ที่จะได้รับการยอมรับจากทุกคน รวมถึงการประกาศการสิ้นพระชนม์ของราชินีเอลฟ์…
หลังจากใช้เวลาเดินทางนานครึ่งวัน หลัวหมิงซีก็นำทางคนทั้งกลุ่มมาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายข้างหน้าภูเขาเอลฟ์
ผู้พิทักษ์หลายคนยังคงคุ้มกันบริเวณนี้เช่นเคยและพวกเขาล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นหลัวหมิงซีและคณะเดินทางมาถึง
“องค์ชายสี่ นี่มัน…?”
เมื่อเห็นโลงศพผลึกแก้วที่แบกมาโดยคนกลุ่มนี้ เหล่าผู้พิทักษ์หน้าภูเขาต่างก็ฉงนงุนงง
“อย่าถามอะไรไร้สาระ เรากำลังจะเข้าไปฝังคนจำนวนหนึ่ง”
หลัวหมิงซีกล่าวอย่างหมดความอดทนทว่าแอบขยิบตาเป็นสัญญาณให้กับใครคนหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นก็รับทราบและหันไปส่งสัญญาณให้กับสหายหลายคนของตนก่อนผายมือตรงไปในมุมมืดจุดหนึ่ง
เหล่าผู้ที่ติดตามหลัวหมิงซีก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ทว่าอึดใจต่อมา พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่ามีคมกระบี่แหลมแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นชีวิตของพวกเขาก็ดับสิ้นไปเช่นนี้
อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ ชะงักงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสีหน้าแสดงถึงความตกตะลึงอย่างชัดเจน พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ ผู้พิทักษ์ที่พาพวกตนมาที่นี่จึงกลายเป็นศพไปภายในชั่วพริบตา
“องค์ชายรอง !”
ทันใดนั้น อี้หานเทียนก็มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดีและอุทานด้วยความประหลาดใจ
ในเวลานี้ ท่ามกลางกลุ่มผู้คน หลัวหมิงหล่างก็ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยจิตสังหารแรงกล้าที่ยังไม่สลายไป เขาคือคนที่ปลิดชีพกลุ่มคนชั่วร้ายเมื่อครู่นี้
“องค์ชายรอง หลัวหมิงซี…เจ้าคนชั่วช้านี่เป็นผู้ที่สังหารราชินีเอลฟ์ขอรับ ท่านต้องล้างแค้นให้กับองค์ราชินี !”
อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ เคารพเทพบุตรสงครามแห่งชนเผ่าเอลฟ์ผู้นี้อย่างมาก เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงหลัวหมิงซี อี้หานเทียนจึงกล่าวรายงานองค์ชายสองทันทีพร้อมกับแสดงสีหน้าความเกลียดชังอย่างชัดเจน
“จิ๊จิ๊จิ๊ ข้านึกมาตลอดว่าข้าโง่มากแล้ว ไม่คิดเลยว่าผู้บัญชาการอี้จะด้อยไหวพริบยิ่งกว่าข้าเสียอีก !”
จางหลิน—หัวหน้าผู้พิทักษ์คุ้มกันค่ายกลเคลื่อนย้ายหน้าภูเขาเอลฟ์กล่าวพร้อมรอยยิ้มพลางเดินตรงเข้าไปหาอี้หานเทียนและคลายผนึกที่ควบคุมพลังของเขาไว้
“เอ๋…?”
สีหน้าของอี้หานเทียนในตอนนี้แสดงความงุนงงและไม่เข้าใจอย่างชัดเจน เขามองรอยยิ้มมุมปากของหลัวหมิงซีและพยายามครุ่นคิดทว่ายังไม่เข้าใจเช่นเคย
“หากมิใช่เพราะองค์ชายสี่ ท่านจะมาถึงที่นี่และถูกพวกเราช่วยไว้ได้อย่างไร ? ในเวลานี้ราชินีเอลฟ์เพียงอยู่ในสภาวะเสมือนตายเท่านั้น องค์ชายสี่ทำทุกอย่างเพื่อนำร่างของนางมาที่นี่”
พื้นที่โดยรอบในตอนนี้ได้รับการป้องกันไว้ด้วยม่านพลังของหลัวหมิงหล่างและเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าคนนอกจะได้ยินเข้า นี่คือแผนการที่พวกเขาหารือกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หลัวหมิงหล่างใช้เวลาครึ่งวันเพื่อเดินทางจากค่ายทหารมาถึงที่นี่ในขณะที่หลัวหมิงซีใช้เวลาครึ่งวันเช่นเดียวกัน
หลังจากจงใจถ่วงเวลาพักใหญ่ หลัวหมิงหล่างก็ได้ทำการจัดตั้งกับดักรออยู่ที่นี่และหลัวหมิงซีก็พยายามหาทางส่งร่างของราชินีเอลฟ์มาเช่นกัน
“หากมิใช่เพราะความจงรักภักดีของพวกเจ้า องค์ชายผู้นี้คงไม่ช่วยพวกเจ้าไว้ !”
หลัวหมิงซีกล่าวอย่างวางท่า ในความจริง นี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจอย่างกะทันหันเมื่อพบกันก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ว่าอี้หานเทียนและองครักษ์อีกหลายคนภักดีต่อมารดาของตนอย่างแท้จริงและมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา เพราะเหตุนั้นหลัวหมิงซีจึงหาทางช่วยพวกเขาไว้
หากมิใช่เพราะในช่วงหลังมานี้ที่มุมมองความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่การที่อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ กล่าววาจาต่อว่าและดูหมิ่นเขาอย่างไม่มีสาเหตุก่อนหน้านี้ มันก็เพียงพอให้เขาทอดทิ้งคนเหล่านี้ไปอย่างไม่ไยดีแล้ว
เมื่อได้ทราบเรื่องราวความเป็นมา อี้หานเทียนและคนอื่น ๆ ก็เกาศีรษะด้วยความเก้อเขินทันที พวกเขาไม่ทราบเลยว่าแท้จริงแล้วหลัวหมิงซีคือสายลับที่แฝงตัวอยู่ข้างกายหลัวหมิงรุ่ย ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่าสองพี่น้องวางแผนสมรู้ร่วมคิดกันมาตลอด
“องค์ชายสี่ ขออภัยด้วยที่พวกเราเข้าใจท่านผิดไปขอรับ !”
คนเหล่านั้นโค้งคำนับขอโทษขอโพยหลัวหมิงซีอย่างลนลาน พวกเขาล้วนเข้าใจได้ง่ายและพร้อมเปลี่ยนความคิดทัศนคติที่มีต่อหลัวหมิงซีทันทีที่ได้ทราบความจริง
“ช่างมันเถอะ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าย่อมไม่คิดถือโทษคนต่ำต้อย ข้าให้อภัยพวกเจ้า”
หลัวหมิงซีโบกมือปัดอย่างไม่ขุ่นเคืองใจและมีสีหน้าที่เป็นสุข นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างแท้จริง ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก
“พี่รอง ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ข้าฝากท่านแม่ให้ท่านดูแลต่อก็แล้วกัน ฤทธิ์จากโอสถของนางจะหายไปในสามวัน เมื่อถึงตอนนั้น หัวหน้าอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะมาสมทบที่นี่ พวกท่านจะได้หารือแผนการขั้นตอนต่อไปและบอกให้ข้าได้ทราบภายหลัง”
หลัวหมิงซีกล่าวกับหลัวหมิงหล่างอย่างใจเย็น เขาอยู่ที่นี่อีกเพียงสองก้านธูปก่อนเตรียมตัวกลับไป
“เข้าใจแล้ว เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”
หลัวหมิงหล่างกล่าวเตือนสติหลัวหมิงซีเพื่อให้เขาระวังตัวอยู่เสมอ
“ข้าจะระวังตัว !”
หลัวหมิงซีพยักหน้าหงึกหงักก่อนครุ่นคิดครู่หนึ่งและตัดสินใจทำให้ตนอยู่ในสภาพที่น่าสงสารโดยการใช้มีดคมเฉือนร่างของตนจนมีสองแผล จากนั้นเขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองราชวงศ์
เหล่าผู้พิทักษ์ของหลัวหมิงรุ่ยที่มากับเขาล้วนถูกสังหารไปแล้วทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องมีข้ออ้างกลับไป ทางที่ดีที่สุดคือการกล่าวว่ากลุ่มของเขาถูกโจมตีระหว่างทางและคนเหล่านั้นเสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อปกป้องเขา
จากนั้นหลัวหมิงหล่างก็นำทางกลุ่มของอี้หานเทียนและพาร่างของราชินีเอลฟ์ตรงเข้าไปในภูเขาเอลฟ์เพื่อรอการมาถึงของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
ในระหว่างทาง ฉินอวี้โม่และคณะก็ได้รับข่าวความคืบหน้าของเรื่องนี้ การกระทำของหลัวหมิงซีในครานี้ทำให้พวกนางทั้งพึงพอใจและชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
“ในที่สุดพี่สี่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเวลานี้องค์ชายสี่หลัวหมิงซีมิใช่คนที่พี่น้องแทบทุกคนชิงชังอีกต่อไป และตอนนี้นางเรียกเขาว่า ‘พี่สี่’ ได้อย่างเต็มปาก
“หวังว่าเขาจะไม่เผชิญกับอันตรายใดในระหว่างกลับเมือง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นางรู้สึกได้ว่าการตัดสินใจของตนถูกต้องแล้วจริง ๆ ที่ดึงหลัวหมิงซีเข้ามาอยู่ร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับตน
“ว่าแต่…เหตุใดถึงไม่มีข่าวจากพี่ห้าเลยล่ะ ?”
หลัวอวิ๋นซีไตร่ตรองครู่หนึ่งและกล่าวถาม ครานี้เป็นหลัวหมิงหล่างที่ดำเนินตามแผนการแทนที่จะเป็นหลัวหมิงฮ่าว ในขณะเดียวกัน หลัวหมิงเฟยก็รีบมุ่งหน้ากลับไปที่ค่ายทหารของเขา บางทีฉินอวี้โม่อาจจะมีแผนการบางอย่างอยู่
“ต้นโพธิ์อยู่ในมือของพวกเราแล้วและพวกของตู้ซีรั่วก็คงจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงปล่อยมือจากหม้อที่แตกไปแล้วและหาทางอื่นในการทำลายชนเผ่าเอลฟ์ ตอนนี้เผ่าของหมิงฮ่าวก็ถือว่าเป็นเผ่าที่ยึดอำนาจได้ง่ายที่สุดและต้องตกเป็นเป้าหมายแรกของศัตรู เพราะเหตุนั้นเขาจึงออกมาในตอนนี้ไม่ได้ทว่าต้องหาทางรับมือกับศัตรูและถ่วงเวลาอยู่ที่นั่น เมื่อต้นโพธิ์วิวัฒนาการได้อย่างสมบูรณ์ นั่นก็จะเป็นเวลาแห่งชัยชนะของเรา”
* 破罐子破摔 ปล่อยมือจากหม้อแตก หมายถึง ยอมปล่อยมือจากสิ่งที่ล้มเหลวเพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่าเดิม
ฉินอวี้โม่อธิบายพร้อมรอยยิ้มและนางเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ถึงอย่างไรคนชั่วเหล่านั้นก็ไม่มีทางยอมให้พวกนางช่วยต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าพวกเขาจะต้องมีกลยุทธ์อื่นอยู่อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ดำเนินแผนการเช่นนี้เพราะต้องการให้หลัวหมิงฮ่าวกลับไปคุ้มกันเผ่าอู๋เหวยของตน นอกจากนี้ ในชนเผ่าเอลฟ์ ความสามารถในการต่อสู้ของหลัวหมิงหล่างก็น่าจะเป็นรองเพียงหลัวจื้อเลี่ยคนเดียวเท่านั้น เมื่อมีเขาเป็นผู้คุ้มกันอยู่ที่ภูเขาเอลฟ์ หากคนนอกพยายามบุกรุกเข้าไป เขาจะสามารถรับมือได้อย่างแน่นอน
สำหรับฉินอวี้โม่และสหายทุกคน ‘เวลา’ คือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ และในการต่อสู้เพื่อชาวเอลฟ์ครานี้ พวกนางจะพ่ายแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
ฉินอวี้โม่คาดการณ์ถูกต้องทุกประการ เวลานี้เผ่าอู๋เหวยถูกโจมตีอย่างรุนแรง โชคดีที่หลัวหมิงฮ่าวได้รับข่าวจากฉินอวี้โม่ก่อนและไม่ออกมาจากเผ่าของตน กอปรกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉินอวี้โม่มอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ เขาจึงถ่วงเวลาและจัดการทุกอย่างได้ตามเหมาะสม
และหลัวจื้อเลี่ยที่กลับไปจัดการกิจการที่เผ่าเลี่ยหยางก่อนหน้านี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเผ่าอู๋เหวยเช่นกัน แผนการในตอนนี้ของฉินอวี้โม่คือการให้หลัวจื้อเลี่ยเข้าไปช่วยหลัวหมิงฮ่าวและแบ่งเบาความกดดันของเขา
นอกจากนี้ก็มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นในกองทัพของชนเผ่าเอลฟ์ เวลานี้คนของหลัวหมิงรุ่ยพยายามยึดอำนาจทางการทหารทว่าหลัวหมิงเฟยก็กลับไปที่นั่นอย่างรวดเร็วและควบคุมสถานการณ์ของกองทัพได้ทันท่วงที หากหลัวหมิงรุ่ยไม่มีการเคลื่อนไหวต่อไป เขาก็จะไม่ลงมือเช่นกัน
ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่ต้องการเห็นชาวเอลฟ์ที่เสียชีวิตไป หากสามารถลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดได้ นั่นก็จะทำให้พวกเขามีความสุขมาก
ในขณะเดียวกัน ข่าวการสิ้นพระชนม์ของราชินีเอลฟ์ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งชนเผ่าเอลฟ์อย่างรวดเร็วราวกับมีปีกบิน…
.