ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินเป็นที่เคารพอย่างสูงในหมู่ชาวเอลฟ์ เมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของราชินีผู้เป็นที่รัก พวกเขาจึงเศร้าโศกอย่างที่สุด เว้นเพียงไม่กี่คนที่ทราบความจริง ทุกคนล้วนเชื่อว่าราชินีเอลฟ์สิ้นชีพแล้วจริง กอปรกับเหตุการณ์หลายอย่างในช่วงที่ผ่านมาในชนเผ่าเอลฟ์ ทุกคนในชนเผ่าต่างก็ตื่นตระหนกและบรรยากาศทั้งทั่วชนเผ่าก็ตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดหม่นหมอง ดูเหมือนว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างได้ในทุกเมื่อ
เมื่อเปรียบเทียบกัน เผ่าที่ใจเย็นและนิ่งเงียบที่สุดก็คือเผ่าอู๋เหวยและเผ่าเลี่ยหยาง หลัวจื้อเลี่ยและหลัวหมิงฮ่าวทราบดีว่าราชินีเอลฟ์ยังมีลมหายใจ พวกเขาจึงสั่งการชาวเผ่าของตนมิให้กระทำสิ่งใดบุ่มบ่าม
หลัวจื้อเลี่ยก็ถือโอกาสนำคนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเผ่าอู๋เหวยอย่างลับ ๆ หากพวกเขาคาดเดาไม่ผิด เผ่าอู๋เหวยจะตกเป็นเป้าหมายต่อไปของกลุ่มคนชั่วร้ายอย่างแน่นอน และไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็จะต้องขัดขวางมิให้แผนการของคนเหล่านั้นประสบผลสำเร็จ
ในขณะเดียวกัน หลัวหมิงฮ่าวก็เตรียมการป้องกันอย่างเต็มรูปแบบในเผ่าอู๋เหวย ไม่ว่าจะเป็นใครที่บุกโจมตีเผ่าขององค์ชายห้า พวกเขาจะต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ภายในกองทัพเอลฟ์ หลัวหมิงเฟยก็มุ่งหน้ากลับไปถึงที่นั่นอย่างรวดเร็วและพบกับนายพลหลายคนที่กำลังพูดคุยกับคนกลุ่มหนึ่งโดยที่ต้องการก่อความวุ่นวายในกองทัพและยึดอำนาจการปกครองกองทัพจากสองพี่น้องหลัวหมิงหล่างและหลัวหมิงเฟย
แน่นอนว่าหลัวหมิงเฟยไม่มีทางปล่อยให้คนเหล่านั้นทำได้สำเร็จตามต้องการ เขาปราบปรามบรรดาแกนนำทันทีและฉวยจังหวะควบคุมสถานการณ์กองทัพให้กลับสู่ปกติและคงที่ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนี้เขาก็จะใช้เวลาอยู่ในกองทัพระยะหนึ่งเพื่อรอฟังข่าวจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนวางแผนสำหรับขั้นตอนต่อไป
ภายในเมืองราชวงศ์ หลัวหมิงซีกลับมาเข้าในพระราชวังเอลฟ์ในสภาพที่น่าเห็นใจอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้หลัวหมิงรุ่ยกำลังหารือกับหยางเสวียนและผู้อาวุโสหลายคนที่ไว้วางใจที่สุดเกี่ยวกับการสถาปนาบัลลังก์ของตน เมื่อเห็นหลัวหมิงซีที่กลับมาพร้อมบาดแผลและสภาพที่น่าเวทนา เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้
“พี่ใหญ่ ข้าฝังท่านแม่ไว้ที่ภูเขาเอลฟ์แล้ว ทว่าระหว่างทางกลับมาที่นี่ ข้าก็พบเข้ากับหลัวหมิงหล่างซึ่งขวางทางพวกเราและต้องการจับตัวข้ากลับไปเป็นตัวประกัน เหล่าผู้พิทักษ์ต่างก็ปกป้องข้าอย่างสุดความสามารถและถึงขั้นเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยให้ข้าหลบหนีออกมาได้ สุดท้ายข้าจึงรอดกลับมาถึงที่นี่แม้จะได้รับบาดเจ็บก็ตาม”
ท่าทางของหลัวหมิงซีดูอ่อนแอปวกเปียกและใบหน้าซีดเซียวขณะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อีกอย่าง…ดูเหมือนพวกเขาจะทราบแล้วว่าการตายของท่านแม่เกี่ยวข้องกับเรา หลัวหมิงหล่างก็กล่าวว่าเขาจะนำทหารในกองทัพมาที่พระราชวังและบั่นหัวพี่ใหญ่ให้ได้ขอรับ”
สีหน้าของหลัวหมิงรุ่ยเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อได้ยินวาจาของน้องชาย หลัวหมิงหล่างเป็นถึงเทพบุตรสงครามแห่งชนเผ่าเอลฟ์และเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น การที่หลัวหมิงซีบาดเจ็บหนักกลับมาเช่นนี้ เขาก็ไม่นึกสงสัยในวาจาของหลัวหมิงซีและคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตบางอย่างที่อาจมาถึง…
“พี่ใหญ่ เรื่องของท่านแม่ไม่ควรรู้ไปถึงหูของหลัวหมิงหล่างอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หลัวหมิงหล่างก็ไม่ควรที่จะรู้ถึงการเคลื่อนไหวของข้าได้อย่างชัดเจนเช่นกัน การที่เขาทราบทุกอย่าง ข้าเกรงว่า…ข้าเกรงว่า…”
“เกรงว่าอะไร ?”
เมื่อเห็นท่าทางลังเลและหยุดชะงักของหลัวหมิงซี หลัวหมิงรุ่ยก็กล่าวถามอย่างกังวลใจทันที
หลัวหมิงซีลอบมองหยางเสวียนและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ อย่างระแวดระวัง ราวกับพยายามจะสื่ออะไรบางอย่าง “ข้าเกรงว่าในพระราชวังของเราจะมีคนทรยศและเปิดเผยแผนการของเราออกไป เพราะเหตุนั้นหลัวหมิงหล่างจึงทราบถึงการตายของท่านแม่ รวมถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดของข้า”
เดิมทีหลัวหมิงรุ่ยก็พอจะคาดเดาไว้บ้างแล้วและสีหน้ากลายเป็นเย็นชาทันทีที่ได้ยินวาจาของหลัวหมิงซี เขาตวัดสายตามองไปที่หยางเสวียนและเหล่าผู้อาวุโสที่สีหน้าเป็นกังวลทันที
หากกล่าวว่ามีผู้ทรยศแฝงตัวอยู่ในพระราชวัง เขาก็ไม่ทราบเลยว่าจะเป็นผู้ใด อย่างไรก็ตาม คนที่น่าสงสัยที่สุดในใจของเขาก็คือหยางเสวียนผู้ที่มักวางท่าเรียบเฉยใจเย็นอยู่เสมอ เพราะนอกจากหยางเสวียนผู้นี้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครอื่นที่มีความสามารถมากพอ
“เอาล่ะ น้องสี่ เจ้าทำได้ดีแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
หลัวหมิงรุ่ยไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดให้มากความในตอนนี้และบอกให้หลัวหมิงซีกลับไปพักผ่อนก่อน
“ขอรับ”
หลัวหมิงซีพยักศีรษะรับคำและเดินออกจากพระราชวังอย่างอ่อนแรง แต่ทว่า…หลัวหมิงรุ่ยและคนอื่น ๆ ไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าทันทีที่หันหลังให้พวกตน องค์ชายสี่กลับยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
เดิมทีหลัวหมิงรุ่ยก็เป็นบุคคลที่มักจะสงสัยในทุกสิ่งรอบตัวและหวาดระแวงอยู่เสมอ ถึงแม้เขาจะยังไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ทว่าในเวลานี้เขาจะต้องสงสัยในตัวหยางเสวียนอย่างแน่นอน เมื่อเมล็ดพันธ์ุของความคลางแคลงใจถูกฝังไว้แล้ว มันก็ยากที่จะกำจัดออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่รดน้ำเพียงเล็กน้อย เมล็ดนั้นก็จะหยั่งรากลึกและงอกกลายเป็นต้นกล้าในไม่ช้า หยางเสวียนคือที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์คนสำคัญที่สุดของหลัวหมิงรุ่ย เมื่อเขาไม่เชื่อมั่นและไว้วางใจหยางเสวียนอีกต่อไป ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมา
หยางเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกมาเสมอว่ามีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เขามองไปยังแผ่นหลังของหลัวหมิงซีที่กำลังเดินจากไปและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัย “องค์ชายใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับองค์ชายสี่ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาคือสายลับที่แฝงตัวสืบแผนการของเราและจงใจปล่อยข้อมูลพิกัดของตน รวมถึงสังหารผู้พิทักษ์เหล่านั้น ?”
“ท่านหยาง อย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ น้องสี่จริงใจกับข้ามาเสมอและไม่มีทางทรยศข้าแน่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสัยในตัวเขา ครานี้เขาถึงขั้นสังหารท่านแม่ด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของข้าต้องเสื่อมเสีย หากท่านยังคิดที่จะกล่าวหาเขาอีกละก็ อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน !”
วาจาของหยางเสวียนทำให้หลัวหมิงรุ่ยมั่นใจในข้อสงสัยของตนมากยิ่งขึ้น หยางเสวียนผู้นี้มีแผนการชั่วร้ายซ่อนไว้อย่างแน่นอน หลัวหมิงซีจริงใจกับเขามาเสมอและการที่หยางเสวียนพยายามจุดชนวนให้สองพี่น้องผิดใจกันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงรุ่ยยังคงชั่งใจและไม่เชื่อวาจาของน้องชายทั้งหมด เขาจึงส่งคนไปที่ภูเขาเอลฟ์เพื่อสืบหาความจริงในทันที
ในอีกฟากหนึ่ง ณ ภูเขาเอลฟ์ หลัวหมิงหล่างก็เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างสมบูรณ์แบบและแน่นอนว่าผู้ที่สืบข่าวจะได้รับคำตอบไม่ต่างจากสิ่งที่หลัวหมิงซีบอกกับหลัวหมิงรุ่ย เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวหมิงรุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องสงสัยในตัวหลัวหมิงซีอีกต่อไปและทำให้เกิดความแตกหักกับหยางเสวียนมากยิ่งขึ้น
หยางเสวียนรู้สึกจนปัญญากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่งและเขาทราบดีว่าหลัวหมิงรุ่ยเริ่มสงสัยในความภักดีของเขาแล้ว ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรแก้ตัวได้ เขาเชื่อว่าหากหลัวหมิงซีเป็นสายลับแฝงตัวมาจริง ความลับนั้นจะถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงเวลานั้นที่ความจริงปรากฏตรงหน้า หลัวหมิงรุ่ยก็จะต้องเชื่อเขาอย่างแน่นอน
หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ หลัวหมิงรุ่ยก็ตัดสินใจปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นและเตรียมตัวรับตำแหน่งครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการในอีกสามวันข้างหน้า
หยางเสวียนและผู้อาวุโสหลายคนก็รับคำสั่งและเตรียมการในส่วนของตนเพื่อมิให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดในงานสถาปนาของหลัวหมิงรุ่ย
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็มาถึงภูเขาเอลฟ์ในที่สุด
ภายในภูเขาเอลฟ์ เหลียนหยางทั้งตื่นเต้นและกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นราชินีเอลฟ์ที่หลับใหลไม่ได้สติด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ในอดีต เป็นเพราะความเข้าใจผิดบางอย่างทำให้เขากลับไปใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าของหลัวอวิ๋นซีโดยไม่กลับไปพบหน้าราชินีเอลฟ์อีกเลย ภายในชั่วพริบตาหลังจากนั้น มันก็ผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าราชินีเอลฟ์จะต้องเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้และตอนนี้ก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของทักษะสาปวิญญาณ เหลียนหยางจึงรู้สึกกังวลและโทษตัวเองอยู่ไม่น้อย
หากมิใช่เพราะเขาทิ้งราชินีเอลฟ์และออกไปจากพระราชวัง เขาเชื่อว่าสถานการณ์เหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นและสามารถอยู่เคียงข้างคอยช่วยนางรับมือกับความวุ่นวายทั้งหมดได้
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร ?”
หลัวอวิ๋นซีกล่าวอย่างเป็นกังวล ราชินีเอลฟ์รักและเอาใจใส่นางมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยและแน่นอนว่านางย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของมารดา เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของราชินีเอลฟ์ นางก็ยิ่งกังวลมากขึ้น ตอนนี้ต้นโพธิ์ก็ยังวิวัฒนาการไม่ถึงจุดสมบูรณ์ แล้วราชินีเอลฟ์จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร ?
“ไม่ต้องกังวล แม้ต้นโพธิ์จะยังวิวัฒนาการได้ไม่สมบูรณ์ หยดน้ำทิพย์ใกล้กับหัวใจของต้นโพธิ์ก็ยังมีประสิทธิภาพมากนัก ตราบใดที่สกัดหยดน้ำทิพย์ออกมาได้เพียงหยดเดียว มันก็จะทำให้ราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมาและลบล้างทักษะสาปวิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายของนางได้”
เสียงของเสี่ยวม่านดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างชัดเจนเพื่อมิให้พวกนางกังวลมากเกินไป
ทันใดนั้นฉินอวี้โม่และทุกคนก็ย้ายร่างของราชินีเอลฟ์เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันทีและปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็หยั่งรากอยู่ในสวนขนาดใหญ่นอกอาคารคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่พักของฉินอวี้โม่ ในเวลานี้มันก็ได้ดูดกลืนสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวไปอย่างมากและรอบ ๆ ต้นของมันก็เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
“ต้นโพธิ์ ตอนนี้เราต้องการหยดน้ำทิพย์ใกล้กับหัวใจของเจ้าเพื่อช่วยใครบางคน หากเป็นไปได้…ช่วยสกัดออกมาให้เราด้วยเถิด”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับต้นโพธิ์ตรงหน้า สิ่งสำคัญเช่นนี้ไม่สามารถบังคับขู่เข็ญเพื่อเอามาได้ นางจึงกล่าวบอกเพื่อให้มันมอบให้อย่างเต็มใจ มิฉะนั้น ต่อให้บังคับจนได้มันมา มันก็อาจไร้ประโยชน์และไร้ประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ต้นโพธิ์ไม่ตอบสนองใด ๆ ราวกับไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่หรือมิให้ความสนใจนางแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ก็มิได้ถอดใจและพยายามสื่อสารกับมันอย่างใจเย็นต่อไปด้วยหวังว่าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะยอมช่วยเหลือนางแต่โดยดี
เสี่ยวม่านเองก็พยายามสื่อสารกับต้นโพธิ์หลายคราทว่าไม่ได้รับการตอบสนองเช่นกัน
“เหอะ หากยังนิ่งเฉยไม่ตอบสนองอีกละก็ รอดูข้าเผาต้นไม้บัดซบนี่ได้เลย !”
หลัวอวิ๋นซีหมดความอดทนและแค่นเสียงออกไปอย่างเย็นชา เวลานี้นางกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของมารดาและไม่สนใจเรื่องอื่นใด หากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางก็คิดที่จะใช้ไม้แข็งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
หวิวว~ ติ๋ง~
หลังจากสายลมพัดผ่านครู่หนึ่งก็มีหยดของเหลวบางอย่างซึ่งดูเหมือนหยดน้ำตาหยดลงเข้าปากของราชินีเอลฟ์ จากนั้นมันก็ไหลเข้าไปในร่างกายของนางก่อนแทรกซึมหายไป
“ขอบคุณมาก ต้นโพธิ์”
เมื่อเห็นต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ปล่อยหยดของเหลวบางอย่างออกมาด้วยตนเอง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็กล่าวขอบคุณมันด้วยความโล่งใจ ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุยาวนานนับพันปีจริง ๆ และมันเข้าใจความหมายของพวกนางได้
“ต้นโพธิ์ หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกเสี่ยวม่านได้เลย หากมันทำให้เจ้าพอใจ เสี่ยวม่านจะบอกข้าและข้าจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวกับต้นโพธิ์ ภายในเวลาครึ่งเดือน ไม่มีผู้ใดทราบได้เลยว่าต้นโพธิ์จะวิวัฒนาการได้อย่างสมบูรณ์และขจัดพลังความมืดในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่
ต้นโพธิ์ยื่นใบที่เขียวชอุ่มของมันออกมาและลูบไล้พวงแก้มของฉินอวี้โม่อย่างแผ่วเบาเพื่อแสดงถึงความเข้าใจ
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ส่งร่างของราชินีเอลฟ์ไปที่ห้องพักโดยมีเหลียนหยางเฝ้าอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองจะมีเรื่องผิดใจอะไรกัน เขาก็มิได้สนใจและจับข้อมือบางของหลัวจื๋อยินไว้อย่างแผ่วเบาพร้อมกับเติมพลังเอลฟ์เข้าสู่ร่างของนางอย่างต่อเนื่อง
เวลาสองก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและพลังเอลฟ์ในร่างของตนถูกใช้ออกไปแทบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดที่จะลุกจากไปแม้เพียงเสี้ยวอึดใจและยังเฝ้าดูอาการอยู่ข้างกายนางขณะถ่ายทอดพลังที่เหลือของตนเข้าในร่างกายของนาง
ใบหน้าที่ซีดเซียวของหลัวจื๋อยินก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ชมพูระเรื่อดูมีเลือดฝาดและร่างกายของนางก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นโดยกลับคืนสู่รูปลักษณ์งดงามที่ยากจะละสายตาได้
“อืมม…”
ในที่สุด เมื่อเหลียนหยางเริ่มถ่ายทอดพลังไม่ไหวอีกต่อไป จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นและราชินีเอลฟ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
.