ด้านล่างแท่นบูชา เมื่อชาวเอลฟ์ได้พบหน้าราชินีเอลฟ์ พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่เอ่อล้นของตนเองได้และคุกเข่าคารวะราชินีเอลฟ์พร้อมกับตะโกนเสียงดังเพื่อแสดงความจงรักภักดี
ผู้อาวุโสหลายคนที่มิได้ลงมือช่วยเหลืออะไรในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ก็มองดูราชินีเอลฟ์ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าความรู้สึกข้างในของพวกเขาซับซ้อนยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง เวลานี้ราชินีเอลฟ์กลับมาแล้ว เกรงว่านางจะคิดบัญชีพวกเขากับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา
“หลัวหมิงรุ่ย เพื่อตำแหน่งราชาของชนเผ่าเอลฟ์ เจ้าทำได้แม้กระทั่งฆ่ามารดาของตนเอง เจ้าลองถามตัวเองดูเถอะว่าเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งนี้หรือไม่ !”
หลัวอวิ๋นซีเริ่มตะโกนกร้าวด้วยความไม่พอใจ นางไม่เคยชอบหน้าพี่ชายผู้โหดร้ายผู้นี้และตอนนี้ก็เกลียดชังเป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะราชินีเอลฟ์ยังไม่ให้คำสั่งมา นางก็คงอดทนอดกลั้นไม่ไหวและสั่งสอนหลัวหมิงรุ่ยให้รู้สำนึกไปแล้ว
“ใช่ การที่คิดสังหารได้แม้กระทั่งราชินีเอลฟ์ที่พวกเราทุกคนเคารพรักและร่วมมือกับฝ่ายมารเพื่อทำให้ชนเผ่าเอลฟ์ของเราเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย องค์ราชินี…ได้โปรดเนรเทศผู้ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยของพวกเราชนเผ่าเอลฟ์ออกไปเถอะขอรับ !”
ชาวชนเผ่าเอลฟ์กล่าวด้วยความโกรธแค้น หากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของราชินีเอลฟ์ เกรงว่าพวกเขาก็คงถูกหลัวหมิงรุ่ยหลอกลวงตบตาจนหลงเชื่อ ผู้ที่จิตใจชั่วร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นราชาของชนเผ่าเอลฟ์และไม่มีคุณสมบัติพอที่จะปกครองพวกเขาทุกคน
“ออกไปจากชนเผ่าเอลฟ์ !”
“ออกไปจากชนเผ่าเอลฟ์ !”
“ออกไปจากชนเผ่าเอลฟ์ !”
……
ภายในเวลาเพียงครู่เดียว เสียงโห่ร้องขับไล่หลัวหมิงรุ่ยก็ดังไปทั่วในหมู่ชาวเอลฟ์
สีหน้าขององค์ชายใหญ่ในตอนนี้บิดเบี้ยวและเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ ครานี้แม้แต่คนที่เคยสนับสนุนเขาก็มีจิตใจที่สั่นคลอน อำนาจบารมีของราชินีเอลฟ์สูงส่งจนไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ในเวลานี้หลัวหมิงรุ่ยก็รับรู้ได้ทันทีว่าตนเองประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปพร้อมทั้งประเมินความเคารพรักที่ชาวเอลฟ์ทุกคนมีต่อราชินีเอลฟ์ต่ำเกินไป
“ท่านหยาง ?”
หลัวหมิงรุ่ยหันมองไปที่หยางเสวียนผู้ซึ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยด้วยความกระสับกระส่าย ตอนนี้เขาไม่มีทางออกสำหรับสถานการณ์ตรงหน้าเลย และหยางเสวียนเป็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยเขาได้
เมื่อได้ยินหลัวหมิงรุ่ยเอ่ยเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ หยางเสวียนก็ก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
“ขยะ !”
หลังจากเอ่ยเพียงสองพยางค์ ฝ่ามือของหยางเสวียนก็เหวี่ยงฟาดไปที่ร่างของหลัวหมิงรุ่ยอย่างแรง
พลั่ก ! พรวดดด !
หลัวหมิงรุ่ยไม่ทันระวังตัวและถูกฟาดกระเด็นลงจากแท่นบูชาลงบนพื้นอย่างรุนแรงจนกระอักเลือดออกมา
ใบหน้าของเขาเหยเกจนแทบดูไม่ได้ขณะพยายามทรงตัวลุกขึ้นและมองไปที่หยางเสวียนด้วยแววตาฉงนสงสัย
บุรุษผู้นี้เป็นที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขามานานนับสิบปีและคอยช่วยเหลือจัดการเรื่องต่าง ๆ มาโดยตลอด เหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ ?
“หากมิใช่เพราะเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ของชนเผ่าเอลฟ์ละก็ ข้าก็คงไม่เสียเวลาอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอดหลายปีหรอก !”
หยางเสวียนชำเลืองมองหลัวหมิงรุ่ยด้วยแววตาเย็นชาไร้ความรู้สึก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาอยู่ในคฤหาสน์องค์ชายใหญ่และเป็นผู้ช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ เพียงเพราะสถานะองค์ชายใหญ่ของหลัวหมิงรุ่ย จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขามิใช่การช่วยให้หลัวหมิงรุ่ยได้เป็นราชาเอลฟ์ หากแต่เป็นการยึดครองอำนาจของชนเผ่าเอลฟ์อย่างสมบูรณ์
ทว่าตอนนี้ในเมื่อแผนการล้มเหลวแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป หลัวหมิงรุ่ยเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่มีประโยชน์ในสายตาของหยางเสวียนอีกต่อไป
“หยางเสวียน เจ้าเป็นใครกันแน่ ?!”
หลัวจื๋อยินมองหยางเสวียนและแผ่แรงกดดันตรงไปที่เขาอย่างไม่ปิดบัง นางไม่สามารถมองเห็นถึงตัวตนของคนผู้นี้ได้เลย เมื่อไตร่ตรองนึกย้อนกลับไป เขาก็อยู่เบื้องหลังของหลาย ๆ เรื่องและน่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารเป็นแน่
“ฮ่า ๆ ๆ หลัวจื๋อยิน หลังจากช่วงเวลานับพันปีผ่านไป เจ้าก็ยังโชคดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน !”
จู่ ๆ หยางเสวียนก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนที่รูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นจากกระบี่อยู่บนใบหน้า เสื้อคลุมเดิมของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นเสื้อคลุมสีดำที่ดูประหลาดอย่างยิ่ง
“เจี้ยนเหิน เป็นเจ้านั่นเอง !”
เมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหยางเสวียนอย่างชัดเจน สีหน้าของราชินีเอลฟ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจี้ยนเหิน—หนึ่งในสี่ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของฝ่ายมาร ในสงครามเมื่อพันปีก่อน เขาและอีกสามคนที่ร่วมมือกับผู้นำฝ่ายมาร เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังที่เหนือชั้นไร้เทียมทาน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นราชินีเอลฟ์ได้ผนึกกำลังร่วมกับผู้ทรงพลังหลายคนในดินแดนเพื่อกำจัดยอดฝีมือทั้งสี่และทำร้ายผู้นำฝ่ายมารจนบาดเจ็บสาหัส ไม่คิดเลยว่าบุรุษผู้นี้ที่หายสาบสูญไปนานนับพันปีจะยังมีชีวิตอยู่และแฝงตัวเข้ามาอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์นานหลายปีโดยที่ไม่มีผู้ใดค้นพบ
“ฮ่า ๆ ๆ คงจะคาดไม่ถึงเลยสินะ ครานั้นข้าก็นึกว่าข้าจะถูกพวกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว ทว่าโชคดีที่ว่าเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้ารอดมาได้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นท่านผู้นำก็พยายามหาทางช่วยและสร้างร่างกายของข้าขึ้นใหม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พลังของข้าก็ฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็คืนกลับสู่ระดับสูงสุดได้ในที่สุด สาเหตุที่ข้าแฝงตัวเข้ามาในชนเผ่าเอลฟ์เป็นเวลาหลายปีก็เพื่อที่จะทำลายชนเผ่านี้และประจันหน้ากับเจ้าอีกครา !”
เจี้ยนเหินเอ่ยพลางแสยะยิ้ม เขาไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ผ่านมานานนับพันปี ครานั้นราชินีเอลฟ์ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บและเกือบสังหารเขาได้สำเร็จ หากมิใช่เพราะผู้นำฝ่ายมารช่วยไว้ด้วยวิธีการลับบางอย่าง เขาก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
บัดนี้แม้ว่าแผนการโค่นอำนาจเอลฟ์เกือบที่จะสมบูรณ์เต็มที ทว่าไม่คิดเลยว่าเขาจะประมาทเกินไปจนนำมาสู่ความล้มเหลวเช่นนี้
“เหอะ ไม่แปลกใจเลยที่เกิดเรื่องประหลาดมากมายกับชนเผ่าเอลฟ์ ที่แท้ก็เป็นเพราะคนชั่วอย่างเจ้านี่เอง”
หลัวจื๋อยินแค่นเสียงก่อนกล่าวต่อ “เมื่อพันปีก่อน เจ้ามิใช่คู่มือของข้า วันนี้เจ้าก็จะต้องพ่ายแพ้ต่อข้าไม่เปลี่ยนแปลง ครานั้นเจ้าโชคดีรอดออกไปได้ ทว่าเจ้ากลับไม่รู้จักซ่อนตัวให้ดีและริอาจบุกมาถึงถิ่นของข้า เจี้ยนเหิน…เจ้าจะยโสโอหังเกินไปแล้ว !”
นางได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ เจี้ยนเหินศัตรูผู้นี้จะต้องถูกฝังอยู่ที่ชนเผ่าเอลฟ์ไปตลอดกาล หากกำจัดเจี้ยนเหินได้ มันจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อขุมกำลังมารร้ายอย่างแน่นอน
“จิ๊จิ๊ ช่างกล้ากล่าววาจาอย่างไม่อายปาก แม้พวกเจ้าจะมีต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไร้ประโยชน์ ต้นไม้นั่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าที่จะเติบโตจนสมบูรณ์ได้ ทว่าต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ อยากเห็นนักว่าเมื่อต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าเหี่ยวแห้งจนล้มตายไปและชาวเอลฟ์ไม่มีแหล่งพลังเอลฟ์หลงเหลืออีก พวกเจ้าจะต่อกรกับพวกข้าอย่างไร !”
เจี้ยนเหินแสยะยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ นี่คือสิ่งที่เขาทราบมาจากผู้นำฝ่ายมาร ต่อให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ต้นโพธิ์ไปอยู่ในการครอบครอง มันก็ไร้ประโยชน์ ต้นโพธิ์ดังกล่าวต้องใช้เวลานานนับปีกว่าจะพัฒนาจนสมบูรณ์และตอนนี้ไม่มีทางเลยที่มันจะลบล้างพลังความมืดที่กัดกร่อนต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
เมื่อต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เหี่ยวเฉาและล้มตายไปอย่างสมบูรณ์ ความพยายามทั้งหมดของหลัวจื๋อยินและคนอื่น ๆ ในตอนนี้ก็จะสูญเปล่าไป
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าฝ่ายมารจะมีแต่คนเย่อหยิ่งไร้สมอง หากผู้นำของฝ่ายมารเป็นเหมือนกับพวกเจ้า การจัดการกับทั้งฝ่ายมารก็คงไม่ยากอย่างที่คิด”
ฉินอวี้โม่อดกล่าวอย่างเย้ยหยันไม่ได้ นางเคยประจันหน้ากับคนจากฝ่ายมารมาหลายคนและทั้งหมดล้วนยโสโอหังและมั่นอกมั่นใจจนเกินไป ต้นโพธิ์ต้องใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อเติบโตก็จริง ทว่านั่นก็มิได้หมายความว่านางจะทำอะไรไม่ได้
ในเมื่อมีสิ่งที่แปลกประหลาดผิดธรรมชาติอย่างคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ ไม่ว่าจะหนึ่งปี สิบปีหรือมากกว่านั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่
“เจ้าเป็นใครกัน ?”
เจี้ยนเหินมองฉินอวี้โม่และขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงอย่างไรแผนการของพวกเขาก็ถูกทำลายโดยคนเหล่านี้ แน่นอนว่าตัวตนของพวกนางจะต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน
“จิ๊จิ๊จิ๊ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าคือเทพมายาที่พวกเจ้าเฝ้าตามหามาตลอดหลายปี ไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของฝ่ายมารได้อย่างไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและไม่พยายามปิดบังตัวตนของนางแต่อย่างใด ถึงอย่างไรตัวตนของนางก็มิใช่ความลับและไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนมัน
“เทพมายาคนใหม่ !”
เจี้ยนเหินชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชื่อฉินอวี้โม่ฟังดูคุ้นหูนัก ที่แท้เจ้าก็คือเทพมายามาคนใหม่ที่กล่าวกันว่ามีพรสวรรค์มากกว่าเทพมายาคนก่อนเสียอีก ดูเหมือนว่าพวกคนไร้ประโยชน์จากนิกายหงส์มังกรจะเผชิญกับความเสียหายเพราะเจ้ามากทีเดียว !”
เนื่องจากใช้เวลาอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ตลอด เขาจึงไม่ทราบเรื่องราวในโลกภายนอกมากนัก ชื่อของ ‘ฉินอวี้โม่’ เคยถูกเอ่ยถึงในหมู่คนจากฝ่ายมารเมื่อนานมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าชื่อของนางฟังดูคุ้นหู ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่าความรู้สึกนั้นมาจากที่ใด
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอโอกาสทองเช่นนี้ หากจับตัวเจ้ากลับไปที่ฝ่ายมารได้ ท่านผู้นำจะต้องตบรางวัลข้าอย่างงามแน่ !”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ร่างของเจี้ยนเหินก็หายวับไปอย่างประหลาดและปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่ เขายกมือข้างหนึ่งที่กลายเป็นกรงเล็บและหมายจะคว้าไหล่ของฉินอวี้โม่ไว้เพื่อพยายามจับตัวนางทันที
“หากคิดจะแตะต้องผู้หญิงของข้า จงตระหนักด้วยว่าเจ้ามีความสามารถพอรึไม่ !”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชา เขาสังเกตเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวของเจี้ยนเหินอยู่ก่อนแล้วและทราบเจตนาของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้เจี้ยนเหินมีโอกาสนั้น เขาก้าวออกไปขวางหน้าฉินอวี้โม่และปล่อยหมัดตรงเข้าใส่เจี้ยนเหินอย่างแรง
โครมมม !
การโจมตีของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงก่อนแยกออกจากกัน ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ทั้งสองจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
“จิ๊จิ๊จิ๊ ไม่คิดเลยว่าจะยังมีอีกคนที่บ่มเพาะกายโกลาหล น่าสนใจจริง ๆ !”
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เจี้ยนเหินก็คาดเดาสภาวะร่างกายของหานโม่ฉือได้ทันที ต้องกล่าวเลยว่าเขามีความรู้และมากประสบการณ์อย่างแท้จริง
“หากข้าดูดกลืนพลังมายาในร่างของเจ้าได้ เชื่อว่าพลังของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล !”
เจี้ยนเหินมองหานโม่ฉือด้วยแววตาเหมือนอสูรร้ายที่จับจ้องเหยื่อ
“โอ้ ? คิดว่าเจ้ามีฝีมือมากพอรึ ?”
หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่เห็นเจี้ยนเหินอยู่ในสายตา ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน เว้นเพียงแต่ผู้นำฝ่ายมารจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ลิ่วล้อคนอื่น ๆ ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
“ข้าเพียงคนเดียวคงทำไม่สำเร็จจริง ๆ ทว่า…หากมีพวกเขาด้วยล่ะ ?”
เจี้ยนเหินแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนดีดนิ้ว จากนั้นก็มีกลุ่มคนชุดดำจำนวนมากเข้ามาล้อมรอบบริเวณแท่นพิธีอย่างรวดเร็ว
หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นตู้ซีรั่วนั่นเอง ผู้ที่อยู่ถัดจากนางคือตู้จ้งผู้เป็นบิดาของนางและผู้นำตระกูลตู้ ส่วนอีกฟากหนึ่งคือบุรุษชุดดำที่เคยเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่มาแล้วหลายครา
คนชุดดำเหล่านี้มีจำนวนรวมกันนับร้อยคนทีเดียว ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดขึ้นไป ในหมู่คนเหล่านี้ก็มีจอมยุทธ์นภาเซียนมากกว่าสิบคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมความพร้อมมานานแล้ว
“ดูจะเป็นงานใหญ่ทีเดียว !”
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นกลุ่มคนชุดดำ ทว่าไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม้พวกนางไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวมากนัก พวกนางก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่มานาน ถึงคราวที่ข้าจะได้ยืดเส้นยืดสายเสียที !”
เสียงของหลัวจื้อเลี่ยดังขึ้นจากระยะไกลก่อนที่กลุ่มคนนับสิบจะปรากฏตัวขึ้นข้างกายหลัวจื๋อยินและคนอื่น ๆ