ภายในเมืองราชวงศ์ของชนเผ่าเอลฟ์ เวลานี้การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
ทุกคนต่างก็ต่อสู้กับฝ่ายมารและคนของตระกูลตู้อย่างเต็มที่โดยไม่ออมมือแม้แต่น้อย เรียกได้ว่านี่เป็นสงครามครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา
ทว่าในอีกมุมหนึ่ง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลับวางตัวอย่างสบาย ๆ ราวกับไม่สนใจสิ่งใด
เนื่องจากฝ่ายชาวเอลฟ์ล้วนเลือกคู่ต่อสู้ไว้แล้วและจอมยุทธ์ฝ่ายมารทั้งหมดก็ติดพันอยู่ในการต่อสู้กับชาวเอลฟ์ เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่มีเวลาแยกมาต่อสู้กับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือส่งผลให้ทั้งสองรับชมการต่อสู้ด้วยความผ่อนคลาย
ทั้งสองเดินไปหาที่นั่งและนั่งลงอย่างสบาย ๆ ขณะรับชมการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
หลัวจื้อเลี่ยและเจี้ยนเหินมีพลังอำนาจที่เรียกได้ว่าไล่เลี่ยในระดับเดียวกัน แม้ในตอนนี้เจี้ยนเหินที่มีพลังความมืดจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ทว่าหลัวจื้อเลี่ยก็ไม่มีความคิดที่จะล่าถอยขณะใช้พลังที่แกร่งกล้าและกระบวนท่าที่แปลกประหลาดเพื่อรับมือจนแทบจะสูสีเท่าเทียมกับเจี้ยนเหิน
การเผชิญหน้ากันระหว่างเหลียนหยางและตู้จ้งก็ดูน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน เหลียนหยางเป็นคนสุภาพถ่อมตนและเก็บตัวมาเสมอ หากเขาไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกมาเอง เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าพลังของเขาไม่ด้อยไปกว่าหลัวจื้อเลี่ยเท่าใดนัก
ทว่าสำหรับคู่ต่อสู้อย่างตู้จ้ง แม้พลังของเขาจะด้อยกว่าเหลียนหยางอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มพลังงานสีดำประหลาด มันจึงยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าเขาจะพ่ายแพ้ไปในเร็ว ๆ นี้
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินก็ติดพันอยู่กับจอมยุทธ์นภาเซียนสองคน แม้ความแข็งแกร่งของทั้งสองจะอยู่ในระดับสูงพอสมควร ทว่าหลัวจื๋อยินก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน ในอดีตเมื่อต่อสู้กับผู้นำฝ่ายมาร นางก็มิได้ตกเป็นรองมากนัก เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่รู้สึกกดดันกับการรับมือกับจอมยุทธ์นภาเซียนที่ธรรมดาทั้งสองคนนี้
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ราชินีเอลฟ์ก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในขณะที่จอมยุทธ์ฝ่ายมารทั้งสองซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของนางตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเล็กน้อย
ในฐานะเทพบุตรสงครามของชนเผ่าเอลฟ์ ความแข็งแกร่งของหลัวหมิงหล่างก็คู่ควรแก่เกียรติยศดังกล่าวอย่างแท้จริง เขาประจันหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดอีกคนนอกเหนือจากเจี้ยนเหินและตู้จ้ง หลังจากการโจมตีประมาณสิบกระบวนท่า เขาก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นกัน
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของชนเผ่าเอลฟ์ก็ไม่กล้ายืนดูเฉย ๆ พวกเขาต่างก็พบคู่ต่อสู้ของตนเองและเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด
หลัวหมิงซี หลัวหมิงเฟยและหลัวอวิ๋นซีก็ล้วนประจันหน้ากับจอมยุทธ์พสุธาเซียนขั้นสูงสุดจำนวนสองถึงสามคนเพียงลำพังและสถานการณ์ของพวกเขาก็ถือว่าคงที่พอสมควร
ชาวเอลฟ์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้ก็โจมตีบุรุษชุดดำจากฝ่ายมารอย่างดุดันเช่นกัน ภายในเวลาเพียงไม่นาน สถานการณ์ของฝ่ายมารก็เรียกได้ว่าเลวร้ายลงมากและตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
ณ มุมหนึ่งที่แทบไม่มีคนสังเกตเห็น หลัวหมิงรุ่ยเห็นว่าไม่มีผู้ใดที่กำลังสนใจตนเองและเพิกเฉยต่อเขาไปโดยปริยาย เขาจึงพยายามลอบถอยออกไปเรื่อย ๆ เพื่อหนีเอาตัวรอด วันนี้เขาพ่ายแพ้ไปโดยสมบูรณ์แล้ว หากไม่หาทางหนีไปในตอนนี้ ราชินีเอลฟ์ผู้เป็นมารดาจะต้องลงโทษเขาอย่างสาสมและสถานะขององค์ชายใหญ่ในชนเผ่าเอลฟ์ก็จะจมดิ่งอย่างแน่นอน !
อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นใครบางคนที่ขวางหน้าตนไว้ หลัวหมิงรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าคนผู้นั้นก็คือหลัวหมิงฮ่าวที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“น้องห้า ก่อนหน้านี้ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีที่สุดในหมู่พี่น้องของเรา วันนี้เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ”
หลัวหมิงรุ่ยมองหลัวหมิงฮ่าวด้วยสีหน้าท่าทางถ่อมตนและแสร้งทำตัวน่าสงสาร เขาจำได้ดีว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหกคน คนที่จิตใจดีที่สุดก็คือองค์ชายห้าผู้นี้ ตราบใดที่เสแสร้งแสดงท่าทางน่าเห็นใจ หลัวหมิงรุ่ยเชื่อว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป
“พี่ชายที่รักของข้า ท่านเลิกเสแสร้งทำตัวน่าสงสารเถอะ ครานี้หากมิใช่เพราะท่าน ชนเผ่าเอลฟ์ของเราจะเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ปล่อยท่านไปแน่ จงอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังและรอรับบทลงโทษจากท่านแม่เถอะ หากคิดทำสิ่งใดที่ไม่ควร อย่าหาว่าข้าหยาบคายกับท่านก็แล้วกัน !”
หลัวหมิงฮ่าวในตอนนี้มิใช่องค์ชายห้าคนเดิมอีกต่อไป หากมิใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลัวหมิงฮ่าวก็อาจปล่อยหลัวหมิงรุ่ยไป ทว่าตอนนี้สิ่งนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สถานการณ์เลวร้ายและวุ่นวายทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับหลัวหมิงรุ่ยทั้งสิ้น เพราะเหตุนั้น หลิวหมิงรุ่ยจะต้องได้รับโทษจากราชินีเอลฟ์เสียก่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเอลฟ์ทั้งชนเผ่า
“หลัวหมิงฮ่าว ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ฟัง ข้าก็คงต้องใช้กำลังกับเจ้า !”
เมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหลัวหมิงฮ่าว หลัวหมิงรุ่ยก็หมดความอดทนและกล่าววาจาข่มขู่ทันที ในความทรงจำที่ผ่านมา เขาจำได้ว่าหลัวหมิงฮ่าวเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พี่น้อง หากยังยืนกรานที่จะขัดขวางตนเช่นนี้ หลัวหมิงรุ่ยก็ไม่รังเกียจที่จะแสดงให้น้องห้าได้เห็นว่าตนมีฝีมือเพียงใด
“อยู่เฉย ๆ จะดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยท่านไป !”
หลัวหมิงฮ่าวยังคงไม่สะทกสะท้านและไม่มีท่าทีว่าจะยอมหลีกทาง
“เหอะ !”
หลัวหมิงรุ่ยแค่นเสียงเย็นชาและพุ่งตรงเข้าโจมตีหลัวหมิงฮ่าวทันที เขาต้องการจัดการกับองค์ชายห้าเพื่อหาทางหนีไปจากที่นี่ให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม เขาประมาทหลัวหมิงฮ่าวจนเกินไปพร้อมทั้งมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนมากเกินไป ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว เขาก็ถูกหลัวหมิงฮ่าวซัดจนล้มลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวช
“ข้าเตือนท่านแล้วว่าให้รออยู่เฉย ๆ อย่าแม้แต่คิดที่จะหลบหนีอีก มิฉะนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมัดท่านไว้ที่นี่ !”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะสบตาหลัวหมิงรุ่ยด้วยแววตาเย็นชาและไร้ความปรานี
“เจ้า !”
ใบหน้าของหลัวหมิงรุ่ยซีดเผือดทันที ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าในบรรดาองค์ชายและองค์หญิงทั้งหมด หลัวหมิงฮ่าวคือผู้ที่ลึกลับซ่อนเงื่อนที่สุด และความลึกลับนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นที่สุด !
“ฮ่า ๆ ๆ หลัวหมิงฮ่าวแตกต่างไปจากครั้งแรกที่เราได้พบจริง ๆ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สังเกตเห็นสถานการณ์ระหว่างองค์ชายทั้งสองเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าและแววตามุ่งมั่นขององค์ชายห้า นางก็อดกล่าวพร้อมถอนหายใจไม่ได้
หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดทว่าเพียงมองสตรีข้างกายด้วยความรักและมีรอยยิ้มแห่งความสุขประดับอยู่บนใบหน้า
ตูมมม !
อีกฟากหนึ่งของการต่อสู้ สั่วซีหย่าปล่อยการโจมตีเข้าใส่ตู้ซีรั่วหลายครั้งหลายคราจนอีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง แม้ว่าพลังของตู้ซีรั่วจะเหนือกว่าสั่วซีหย่ามาก แต่สั่วซีหย่าก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสโจมตีตน ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วและความคล่องแคล่วของสั่วซีหย่านั้นก็มากกว่าตู้ซีรั่วอยู่หลายขุม
ตู้ซีรั่วไม่มีจังหวะได้เคลื่อนไหวหรือถอยออกไปขณะถูกโจมตีโดยสั่วซีหย่าอย่างต่อเนื่องจนทำให้นางรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“บัดซบ ! ถือว่าไม่เลวทีเดียว !”
ขณะมองสั่วซีหย่าอย่างเย็นชา ตู้ซีรั่วก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและหยิบลูกแก้วขนาดเล็กออกมาก่อนโยนตรงไปยังทิศทางของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
ตูมมม !
ลูกแก้วสีดำสนิทระเบิดออกใกล้กับสั่วซีหย่าและหมอกสีดำทะมึนปกคลุมทั่วร่างสั่วซีหย่าในทันที
“เหอะ ไปลงนรกเสียเถอะ !”
ตู้ซีรั่วแค่นเสียงเย็นชาขณะกริชเล่มคมปรากฏในมือ นางพุ่งตรงเข้าไปยังจุดที่สั่วซีหย่ายืนอยู่ก่อนหน้านี้และง้างมือเตรียมจ้วงแทงโดยไม่ลังเล
“นายหญิง แย่แล้ว !”
มารยาและอสูรตัวอื่น ๆ เห็นว่าสถานการณ์ของสั่วซีหย่าไม่สู้ดีนักและสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกมันเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือสตรีลูกครึ่งเอลฟ์
“ไม่ต้องห่วง สั่วซีหย่าไม่ได้เป็นอะไร”
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา สั่วซีหย่าแสดงให้นางได้เห็นถึงการพัฒนาอย่างมากและประสบการณ์การต่อสู้ของสั่วซีหย่าก็มีมากกว่าเมื่อก่อนนัก
“อ๊ากกกก !”
เสียงร้องของสตรีดังขึ้นและสีหน้าของทุกชีวิตเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นกลุ่มหมอกสีดำทะมึนก็จางหายไปโดยเผยให้เห็นร่างของสั่วซีหย่าและตู้ซีรั่ว
มุมปากของสั่วซีหย่ามีคราบเลือดเปื้อนเล็กน้อยทว่ายังคงมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่ ในที่สุดนางก็สังหารศัตรูคู่อาฆาตและล้างแค้นให้มารดาได้สำเร็จ
ในเวลานี้ ลูกธนูส่องประกายเจาะทะลุหน้าอกของตู้ซีรั่ว แววตาของนางแสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นและความตื่นตระหนกสุดขีดเมื่อมองไปที่สั่วซีหย่า
เมื่อครู่นางหมายมั่นที่จะสังหารสั่วซีหย่าให้ได้ ทว่าในขณะที่กำลังจู่โจม จู่ ๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปและนางรู้สึกราวกับว่าถูกดึงเข้ามาในลานหิมะเย็นยะเยือก
และในเสี้ยวอึดใจนั้น ลูกธนูของสั่วซีหย่าก็ปักทะลุเข้าที่หัวใจของนาง
ทันทีที่สั่วซีหย่าเห็นลูกแก้วสีดำที่ตู้ซีรั่วโยนออกมา นางก็มีแผนการอยู่ในใจแล้ว นางเชื่อว่าตู้ซีรั่วไม่มีทางเข้ามาในเขตข่ายอาคมอย่างแน่นอน และด้วยการที่ตู้ซีรั่วมีพลังที่เหนือชั้นกว่า หากไม่ใช้วิธีการพิเศษ สั่วซีหย่าก็คงไม่สามารถสังหารตู้ซีรั่วได้สำเร็จ
เพราะเหตุนั้น นางจึงวางแผนไว้ในใจโดยการแสร้งเปิดช่องโหว่ให้ตู้ซีรั่วคิดว่ามีโอกาสปลิดชีพตน ทว่าแท้ที่จริงแล้วสั่วซีหย่าได้ทำลายผลึกน้ำแข็งที่มารยามอบให้และวางข่ายอาคมในหมอกสีดำนั้น เมื่อกริชเล่มคมของตู้ซีรั่วกำลังจะโจมตีถึงตัว สั่วซีหย่าจึงขวางมันด้วยคันธนูยาวในมือ
แม้ว่าพลังมหาศาลจากกริชนั้นจะทำให้นางกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางก็ใช้โอกาสนี้สังหารตู้ซีรั่วได้สำเร็จและแก้แค้นให้กับมารดาดังที่ต้องการ
“สั่วซีหย่า ยอดเยี่ยมไปเลย !”
เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ต่างมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและกล่าวออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ ความสามารถของสั่วซีหย่าในการสังหารตู้ซีรั่วทำให้พวกมันชื่นชมอย่างมาก
“ซีรั่ว !”
เมื่อตู้จ้ง—ผู้นำตระกูลตู้เห็นบุตรของตนถูกสังหารไปโดยฝีมือของสั่วซีหย่า เลือดและพลังงานในร่างกายของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหันและทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นมา
แน่นอนว่าเหลียนหยางไม่พลาดโอกาสทองนี้และฉวยจังหวะนี้ทำให้ตู้จ้งบาดเจ็บสาหัสจนสูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ต่อไป
จอมยุทธ์ฝ่ายมารคนอื่น ๆ ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ก่อนจะเสียเปรียบและเริ่มเพลี่ยงพล้ำให้กับกลุ่มชาวเอลฟ์ซึ่งนำโดยราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยิน
ภายในเวลาเพียงพริบตา สถานการณ์ของทั้งชนเผ่าเอลฟ์ก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจี้ยนเหินซึ่งอยู่กลางอากาศก็เห็นสถานการณ์ดังกล่าวและมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาคาดไม่ถึงเลยว่าชาวเอลฟ์ยังมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้และจอมยุทธ์ฝ่ายมารจำนวนมากก็พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย
สิ่งที่ทำให้เขากังวลใจมากที่สุดก็คือจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าสองคนของอีกฝ่ายยังไม่ลงมือด้วยซ้ำ หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าร่วมการต่อสู้นี้ เกรงว่าพวกเขาฝ่ายมารคงไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิด
หลัวจื้อเลี่ยหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง แน่นอนว่าเขาเห็นถึงความวอกแวกของเจี้ยนเหินจึงปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกไปทันที
“พายุหมุนสะท้านฟ้า !”
ทันทีที่ตะโกนออกมา กระแสลมก็ปรากฏในมือของหลัวจื้อเลี่ยก่อนกวาดตรงไปที่เจี้ยนเหินและทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นพายุหมุนรุนแรงปกคลุมร่างของเขาไว้ข้างใน
เจี้ยนเหินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ครู่ใหญ่เพราะถูกโจมตีโดยกระบวนท่าดังกล่าวอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อถูกครอบงำโดยพายุหมุนรุนแรง ร่างของเขาราวกับถูกฉุดดึงอย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสโจมตีตอบโต้ได้เลย ตอนนี้สภาพของเขาดูน่าเวทนายิ่งนัก
“เจี้ยนเหิน วันนี้คือวันตายของเจ้า !”
หลัวจื้อเลี่ยแค่นเสียงเย็นชาและหอกเล่มหนึ่งปรากฏในมือ เขาเสริมพลังของตนเองลงในหอกนี้และขว้างตรงไปที่หัวใจของเจี้ยนเหินอย่างรวดเร็วราวกับเป็นคมกริช
แน่นอนว่าเจี้ยนเหินเห็นการเคลื่อนไหวของหลัวจื้อเลี่ยและสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที เขาก็ต้องการป้องกันตัวเอง ทว่าการที่ถูกครอบงำด้วยพายุหมุนนี้ เขาก็ไม่มีทางขยับเขยื้อนได้เลย
สีหน้าของเขาแสดงถึงความหวาดหวั่นอย่างที่สุดและพึมพำกับตัวเองในใจ “ชีวิตของข้าสิ้นสุดแล้ว !”
ทว่าทันทีที่หอกแหลมกำลังจะแทงเข้าร่างของเจี้ยนเหิน จู่ ๆ แรงกดดันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ
จากนั้นพายุหมุนก็ระเบิดออกและหอกแหลมเปลี่ยนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านลอยละล่องก่อนสลายหายไปกลางอากาศ
“ผู้นำของฝ่ายมาร !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏอย่างไม่ทันตั้งตัว สีหน้าของราชินีเอลฟ์และหลัวจื้อเลี่ยก็เปลี่ยนไปทันทีขณะเอ่ยออกมาโดยสัญชาตญาณ
.