บนภูเขาที่มีความสูงไม่มากนัก ฉินอวี้โม่เดินตามบุรุษชราเคราขาวมาที่นี่เพื่อ ‘เก็บสมุนไพร’ เวลานี้นางค้นพบแล้วว่ามิใช่เพียงร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นดรุณีน้อยอายุประมาณสิบปี ทว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ก็ลดลงจนเหลือเพียงขอบเขตจิตมายาขั้นต้นเท่านั้น
การที่ต้องแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่มีน้ำหนักมากอยู่แล้วและยังมีสมุนไพรที่ถูกใส่เพิ่มเข้าไปอย่างต่อเนื่องทำให้นางต้องใช้พละกำลังมากกว่าที่คิด
“หนูน้อยชิงเหอ เห็นรึไม่ ? ในฐานะอาจารย์ ข้าพร่ำบอกเจ้ามาโดยตลอดว่าเจ้าจะฝึกฝนเพียงพลังมายาไม่ได้ ทว่าต้องให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งทางกายภาพเช่นกัน เห็นรึไม่…หลังจากเดินตามข้ามาไม่นาน เจ้าก็เหนื่อยจนแทบหมดแรงแล้ว”
บุรุษชราหันกลับมาเห็นใบหน้าระเรื่อเนื่องจากความเหนื่อยล้าของฉินอวี้โม่ เขาจึงอดกล่าวเชิงตำหนิไม่ได้ทว่าก็ยื่นมือออกมายกตะกร้าไม้ไผ่ออกจากหลังของนาง
“พักกันก่อนเถอะ”
หลังจากพบที่เหมาะสมสำหรับนั่งพัก เขาก็หยิบโอสถเม็ดหนึ่งและน้ำดื่มยื่นให้กับฉินอวี้โม่
“เจ้าต้องอดทนและหมั่นเพียรกับการฝึกฝนเข้าไว้ แม้เจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็มิอาจปกป้องเจ้าไปได้ตลอดชีวิต เมื่อเจ้าอายุครบสิบห้าปี ข้าจะส่งเจ้าออกไปนอกหุบเขาเพื่อให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพและฝึกวิชาด้วยตัวเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง !”
บุรุษชราเคราขาวกระซิบข้างหูของฉินอวี้โม่เบา ๆ จนนางเริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นางก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สภาพแวดล้อมรอบตัวของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครา
ตอนนี้นางยืนอยู่ตรงทางออกของหุบเขาและกำลังโค้งคำนับราวกับกำลังบอกลาเพื่อไปจากที่นี่
“หนูน้อยชิงเหอ เมื่อเจ้าออกไปแล้ว จงใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เจ้าจะต้องระมัดระวังในทุกฝีก้าว ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้เจ้าหลบหนีไปจากสถานการณ์อันตรายใด ๆ ได้ อีกอย่าง…อย่าลืมสมุนไพรที่อาจารย์ให้ไว้ พวกมันสามารถช่วยให้เจ้าซ่อนตัวได้เมื่อเผชิญกับภยันตราย จงจำสิ่งนี้ไว้ให้ดี”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะหงึกหงักโดยอัตโนมัติและตระหนักได้ว่าตอนนี้พลังของตนอยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพแล้ว นอกจากนี้นางก็มิใช่ดรุณีน้อยอายุสิบขวบอีกต่อไป หากแต่เติบใหญ่มากขึ้นจนมีอายุสิบห้าปีแล้วและยังมีรูปลักษณ์งดงามที่สะเทือนทั้งแผ่นดิน
ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งและฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวในป่าแห่งหนึ่ง
ในยามค่ำคืนเวลานี้ เสียงของอสูรมายามากมายในผืนป่าดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ฉินอวี้โม่หยิบกระบี่เล่มยาวออกมาก่อนเดินไปหาที่เหมาะสมเพื่อนั่งลง
ทว่าทันทีที่นั่งลง นางก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย !”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากในส่วนลึกของป่าและมันกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของนางเป็นอย่างมาก
นางพุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกระบี่ในมือและเหาะตรงไปในทิศทางของต้นเสียงดังกล่าว นางเริ่มสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าจะได้พบกับสิ่งใดต่อไป
ภายในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ภาพหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าและทำให้นางรู้สึกตื่นตาขึ้นมาทันที
ตรงหน้าฉินอวี้โม่ในตอนนี้คือพื้นที่โล่งกว้างซึ่งมีสตรีนางหนึ่งที่ดูมีอายุไล่เลี่ยกับนางกำลังถูกล้อมโดยฝูงพยัคฆ์เขี้ยวดาบ ร่างของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเล็กใหญ่โดยอยู่ในสภาพที่น่าสงสารยิ่งนัก ในมือของนางคืออาวุธลักษณะคล้ายคทาและอาภรณ์สีเขียวที่นางสวมใส่อยู่ก็บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยร่าเริงซุกซนของผู้สวมใส่ได้
ขณะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้น การต่อสู้ของสตรีชุดเขียวและฝูงพยัคฆ์เขี้ยวดาบก็กำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่ชะงักงันไร้ผู้ชนะ แม้สภาพของนางในตอนนี้จะดูน่าเวทนาไม่น้อย แต่สีหน้าและแววตาของนางก็ยังคงแสดงความมุ่งมั่นออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นสตรีผู้นี้ นางก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่างทันที นางเชื่อว่านางเคยพบกับแม่นางชุดเขียวมาก่อนทว่ายังนึกไม่ออกอยู่พักใหญ่
เมื่อเห็นคนผู้นั้นตกอยู่ในภยันตรายขณะพยัคฆ์เขี้ยวดาบเหล่านั้นตั้งท่ากระโจนเข้าทำร้ายเหยื่อ ฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงไปปรากฏตรงหน้าสตรีผู้นั้นเพื่อขวางฝูงอสูรร้ายให้กับนางทันที
ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ไม่อยู่ในการควบคุมของนางแม้แต่น้อยขณะปล่อยการโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่องจนพวกพยัคฆ์เขี้ยวดาบค่อย ๆ ล่าถอยออกไป
“ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตข้า”
เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากผู้มาใหม่อย่างไม่ทันตั้งตัว สตรีที่ดูร่าเริงผู้นั้นก็กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ข้ามีนามว่าหลัวจื๋อยินและเป็นสมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์ ข้าแอบออกมาจากบ้านเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเอง ไม่คิดเลยว่าจะโชคร้ายพบกับพยัคฆ์เขี้ยวดาบชั่วร้ายพวกนั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังถูกกลุ่มคนโจมตีอีกด้วย ข้าก็เลยตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้”
สตรีร่าเริงกล่าวแนะนำตัวเองอย่างสั้น ๆ ด้วยท่าทางและน้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินชื่อ ‘หลัวจื๋อยิน’ ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงเล็กน้อยทันที หรือนี่จะเป็นราชินีเอลฟ์เมื่อครั้งเยาว์วัย ?
“ข้ามีนามว่าชิงเหอ”
ฉินอวี้โม่ตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้ยินวาจาที่ตนเองกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว คาดว่านี่เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ชิงเหอและหลัวจื๋อยินได้พบกันและเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างมิตรภาพของทั้งสอง
ตลอดหลายวันต่อมา นางและหลัวจื๋อยินก็ฝึกฝนต่อไปด้วยกันและมีความสุขกันอย่างมาก
หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสองก็ได้พบกับฉินเฟยเหยียน—อดีตเทพมายาผู้ซึ่งถูกล้อมรอบโดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดูน่ากลัว
หลังจากร่วมมือกันช่วยฉินเฟยเหยียนได้สำเร็จ สตรีทั้งสามก็กลายเป็นสหายที่จริงใจต่อกันอย่างแท้จริง
ทั้งสามใช้เวลาฝึกวิชาสั่งสมประสบการณ์ด้วยกันพักใหญ่ก่อนถึงวันที่ฉินเฟยเหยียนและหลัวจื๋อยินต้องกลับไปที่ชนเผ่าของตน ทั้งสามจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแยกจากกันชั่วคราว
เมื่อฉินอวี้โม่ในร่างชิงเหอเหลือเพียงตัวคนเดียว ความรู้สึกสับสนก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ราวกับว่านางเข้ามาอยู่ในร่างของชิงเหอและประสบกับสิ่งต่าง ๆ ที่สตรีผู้นั้นเคยพานพบมา ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือบางคราฉินอวี้โม่ก็สามารถควบคุมร่างกายของชิงเหอได้โดยสมบูรณ์ ทว่าบางครานางก็มิอาจควบคุมสิ่งใดได้เลย
ราวกับว่าต่อให้ต้องการกล่าวว่าตนเองมีชื่อว่าฉินอวี้โม่ นางก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกไปได้ ตอนนี้นางคือชิงเหอและมิใช่ฉินอวี้โม่อีกต่อไป
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าดวงจิตสายฟ้านี้ต้องการบอกสิ่งใดกับฉินอวี้โม่ และแม้ผ่านมาถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อจนปัญญาและไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ ฉินอวี้โม่จึงหยุดคิดเกี่ยวกับมันและตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป
หลายวันหลังจากนั้น นางก็ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างสบาย ๆ จนกระทั่งได้พบกับบุรุษคนหนึ่ง
เวลานี้นางอยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า ‘เมืองเฟยเยี่ยน’ และฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับ ‘เขา’ ในโรงประมูลของเมือง
บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าที่เหมือนกับหานโม่ฉือและมีลักษณะนิสัยที่ไม่แตกต่างกันเลย เขามีชื่อว่า ‘อวี้เฟิง’
เมื่อได้พบกันครั้งแรก ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าเขาคือหานโม่ฉือคนรักของตน อย่างไรก็ตาม อวี้เฟิงผู้นั้นไม่รู้จักนางด้วยซ้ำ
เมื่อทราบแล้วว่าเขามิใช่หานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป ทว่าอวี้เฟิงกลับแสดงท่าทีสนใจนางอย่างเห็นได้ชัดและติดตามอยู่เคียงข้างกายนับตั้งแต่นั้นมา
ไม่ว่าฉินอวี้โม่ในร่างชิงเหอจะไปที่ใด อวี้เฟิงก็มักจะอยู่ที่นั่นเสมอ
“อวี้เฟิง เจ้าตามข้ามาทำไมรึ ?”
ในที่สุดวันหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็นึกรำคาญใจและหยุดก้าวเดินก่อนเอ่ยถามอวี้เฟิงอย่างจริงจัง
“ชิงเหอ…”
อวี้เฟิงไม่กล่าวสิ่งใดโดยตรง ทว่าความรู้สึกในแววตาของเขาชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย เขาติดตามนางมาก็เพราะเขามีความรู้สึกดี ๆ ต่อนางและแอบหมายปองนางอยู่
เดิมทีฉินอวี้โม่ก็ต้องการปฏิเสธด้วยการบอกเขาไปตรง ๆ ถึงแม้อวี้เฟิงจะมีใบหน้ารูปลักษณ์เหมือนกับคนรักของตน สุดท้ายเขาก็มิใช่หานโม่ฉือ
แต่ทว่า…ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน นางก็ไม่สามารถกล่าววาจาปฏิเสธออกไปได้เลย
อวี้เฟิงผู้นี้น่าจะเป็นคนรักของชิงเหอในอดีตและเป็นบุรุษที่อยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา
หลังจากใช้เวลาเผชิญเรื่องราวในอดีตของชิงเหอเป็นเวลานาน ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจได้ว่าบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นการพบกับหลัวจื๋อยิน การพบกับฉินเฟยเหยียน..และอวี้เฟิงผู้นี้ !
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันต่อไปราวกับเป็นคู่รักชายหญิง ไม่ว่าชิงเหอปรากฏตัวอยู่ที่ใดก็มักมีอวี้เฟิงติดตามเป็นดั่งเงาอยู่ข้างกายเสมอ
พรสวรรค์ของชิงเหอนับว่ายอดเยี่ยมโดดเด่นอย่างมากและอวี้เฟิงก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่นานนักทั้งสองก็กลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาและกลายเป็นคู่รักที่ดูราวกับเทพบุตรและเทพธิดาจนคนทั้งดินแดนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเป็นอย่างดี
ระหว่างช่วงเวลานั้น ฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับผู้ก่อตั้งของตระกูลใหญ่หลายตระกูลและหลายคนที่นางคาดไม่ถึง ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีเทพอสูรในตำนานและราชินีเหมันต์ซึ่งต่างก็เป็นผู้ที่ทรงพลังอย่างที่สุดในยุคสมัยเมื่อพันปีที่แล้ว
ในวันหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานชุมนุมของเผ่าอสูร
เมื่อเข้าไปที่นั่น นางก็ได้พบกับสหายที่แยกจากกันมานานอย่างฉินเฟยเหยียนและหลัวจื๋อยิน
ทั้งสามรวมตัวกันอีกครั้งและต่างก็มีความสุขกันอย่างยิ่ง หลัวจื๋อยินและฉินเฟยเหยียนต่างก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับบุรุษหนุ่มอวี้เฟิง และเมื่อได้พบกันในเวลานี้ ทั้งสองก็รู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนดีและสนับสนุนความรักของชิงเหอและอวี้เฟิงอย่างเต็มที่
ภายในเผ่าอสูร ฉินอวี้โม่ก็ได้พบกับซิวซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้เพียงไม่นานเท่านั้น
ในตอนนั้นมันยังเป็นมังกรตัวน้อยที่เพิ่งเกิดมาได้เจ็ดวันเท่านั้น มันถูกอุ้มออกมาโดยนายหญิงแห่งเผ่าอสูรผู้ซึ่งเป็นมิตรสหายที่ดีกับฉินเฟยเหยียน
เทพอสูรและนายหญิงของเผ่าอสูรในตอนนั้นก็พยากรณ์ถึงหายนะครั้งใหญ่ที่จะต้องเผชิญในอนาคตข้างหน้า ดังนั้นพวกมันจึงได้เจรจาหารือกับฉินเฟยเหยียนซึ่งเป็นเทพมายาและตัดสินใจให้นางทำพันธสัญญากับซิวซึ่งยังเป็นมังกรทารก
หากมิใช่เพราะเห็นด้วยตาของตัวเอง ฉินอวี้โม่ก็คงไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าซิวผู้ที่มักหยิ่งผยองและเผด็จการจะเคยมีรูปลักษณ์หน้าตาที่น่ารักน่าชังถึงเพียงนั้น
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านมานับร้อยปี ฉินอวี้โม่ก็คุ้นชินกับการมีอวี้เฟิงอยู่ข้างกายและใช้เวลากับเขาได้อย่างสบายใจ บางครานางก็ตระหนักอยู่เสมอว่าประสบการณ์ทุกอย่างเป็นเรื่องราวของชิงเหอ ทว่าบางครานางก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำและรู้สึกราวกับประสบพบเจอด้วยตัวเอง
จู่ ๆ ในวันหนึ่งอวี้เฟิงก็กล่าวกับชิงเหอว่าเขาต้องจากไปสักระยะหนึ่งโดยกล่าวว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ตระกูลของเขาจึงต้องรีบกลับไปจัดการโดยเร็ว
เดิมทีฉินอวี้โม่ต้องการเดินทางไปกับเขา ทว่าในเวลานั้นนางก็ได้รับจดหมายเชิญจากฉินเฟยเหยียนให้เดินทางไปที่ชนเผ่ามายา เพราะเหตุนั้น ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแยกจากกัน
ในเวลานั้น อวี้เฟิงก็กำชับให้ฉินอวี้โม่รอเขาและเขาจะรีบกลับมาโดยเร็ว แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เข้าใจความคิดความรู้สึกระหว่างชิงเหอและอวี้เฟิงเป็นอย่างดี
หลังจากนั้น นางก็เดินทางไปที่เผ่ามายาก่อนได้พบกับฉินเฟยเหยียนและฉินมู่ยวี่ผู้ซึ่งวางตัวประพฤติดีอยู่ข้างกายฉินเฟยเหยียน
ในตอนนั้น ฉินอวี้โม่เองก็นึกภาพไม่ออกว่าฉินมู่ยวี่จะกลายเป็นผู้ทรยศไปได้อย่างไร ฉินมู่ยวี่ในตอนนั้นดูเป็นคนดีและเป็นมิตรมากจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่านางมิใช่คนเลวร้ายแต่อย่างใด
นางต้องการกล่าวเตือนฉินเฟยเหยียนเพื่อให้ระวังฉินมู่ยวี่ให้ดีทว่าไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นางทราบดีว่าโลกใบนี้เป็นเพียงห้วงมายาที่ตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ตามต้องการ
และในการพบกันครานั้น ฉินเฟยเหยียนก็คาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่สะเทือนทั้งแผ่นดินกับฝ่ายมารในอนาคตข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นฝ่ายมารก็เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนและมีความสัมพันธ์อันดีกับหลายขุมกำลังของดินแดนเทพมายา ไม่มีใครป้องกันหรือระแวดระวังตัวจากฝ่ายมารและไม่มีผู้ใดมองพวกเขาเป็นศัตรู
กล่าวได้ว่าการเพิกเฉยและมองข้ามฝ่ายมารในตอนนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายจนอยู่เหนือการควบคุม ในวันหนึ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าผู้นำฝ่ายมารได้พลังความมืดอันชั่วร้ายมาจากที่ใด ทว่าจอมยุทธ์ฝ่ายมารทั้งหมดก็ล้วนฝึกฝนบ่มเพาะพลังดังกล่าว
หลังจากได้บ่มเพาะพลังความมืด ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ฝ่ายมารเหล่านั้นล้วนพัฒนาขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ เชื่อว่าพลังความมืดดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ควบคุมจิตใจของผู้ฝึกและทำให้ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดสงครามระหว่างฝ่ายดินแดนเทพมายาและฝ่ายมารเมื่อพันปีที่แล้วซึ่งเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างก็อุบัติขึ้น
และในสงครามครานี้ ฉินอวี้โม่ก็มีลางสังหรณ์ในใจว่านางอาจได้ไขปริศนาข้อสงสัยหลายอย่างที่นางมีอยู่…