เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ปั่นป่วนนั้น หัวใจของฉินอวี้โม่ก็สั่นไหวในทันทีและเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมา
“อวี้เฟิง เจ้า…”
เห็นได้ชัดว่าฉินเฟยเหยียนคาดเดาได้ว่าบุรุษหนุ่มคิดจะทำสิ่งใดและต้องการที่จะหยุดยั้งเขา ทว่าจู่ ๆ นางก็ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้เลย
“ข้ามาจากโลกอื่น ความโชคดีที่สุดของข้าคือการได้พบกับชิงเหอ ในเมื่อตอนนี้นางจากไปแล้ว ไม่ว่าจะมีชีวิตอีกยาวนานเพียงใด มันก็ไร้ความหมายสำหรับข้า”
มุมปากของอวี้เฟิงยกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ แม้กล่าวกันว่าชิงเหอหายสาบสูญไปแล้ว สามจิต-เจ็ดวิญญาณของนางได้สลายหายไปในอากาศและไม่มีทางที่จะกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้อีก อย่างไรก็ตาม บุรุษหนุ่มไม่ปักใจยอมรับเช่นนั้น เขาเชื่อมั่นว่าตนและชิงเหอจะต้องได้พบกันในชีวิตหน้าและอยู่ร่วมกันตลอดไป
“ด้วยโลหิต ด้วยกายาของข้า…ข้าขออัญเชิญดวงจิตออกมา !”
น้ำเสียงราบเรียบทว่าทรงพลังดังมาจากอวี้เฟิง จากนั้นเสียงหวิวบางอย่างก็ดังขึ้น
สิ่งที่ฉินอวี้โม่มองเห็นในตอนนี้คือสิ่งที่เลือนรางเหมือนจิตวิญญาณล่องลอยผ่านหน้าตนและปรากฏตรงหน้าบุรุษหนุ่ม
ฉินอวี้โม่ต้องการห้ามปรามอวี้เฟิงไว้ ทว่าเสียงตะโกนทั้งหมดก็ไม่เกิดผล ไม่ว่านางจะพยายามตะโกนเสียงดังเพียงใด อวี้เฟิงไม่ได้ยินเสียงตะโกนของฉินอวี้โม่เลยสักนิดและแน่นอนว่าไม่รับรู้ถึงตัวตนของนางแม้แต่น้อย
หัวใจของฉินอวี้โม่ตื่นตระหนกอย่างที่สุดและน้ำตาไหลพรากอย่างไม่รู้ตัว นางสันนิษฐานได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป ทว่ามิอาจทำใจยอมรับได้เลย
“ตาทึ่ม ! เหตุใดถึงทำเช่นนี้ !”
ทันใดนั้น เสียงหวานก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่และอวี้เฟิงพร้อมกัน
ตรงหน้าอวี้เฟิงในตอนนี้คือชิงเหอที่สบตาเขาด้วยรอยยิ้มงดงามไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าความรู้สึกจนปัญญาเจือด้วยความกังวลใจก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนางด้วยเช่นกัน
ลมหายใจของอวี้เฟิงค่อย ๆ อ่อนแอรวยรินลงอย่างต่อเนื่อง การอัญเชิญจิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องแลกด้วยชีวิต
“ข้าจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรเล่า !”
อวี้เฟิงมองชิงเหอผู้เป็นที่รักและรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า แววตาของเขาแสดงถึงความโหยหาและประคบประหงมเอาใจขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรักอย่างชัดเจน
“อวี้เฟิง…ในชีวิตหน้า เจ้าต้องพบข้าก่อนและจะต้องจดจำข้าให้ได้ ในชีวิตหน้า เราจะไม่มีวันแยกจากกันอีกโดยเด็ดขาด !”
ชิงเหอจุมพิตอวี้เฟิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“เฟยเหยียน ดูแลตัวเองด้วย หากเราได้พบกันในชีวิตหน้า หวังว่าเราจะเป็นสหายที่ดีต่อกันเช่นเดียวกับในตอนนี้”
ชิงเหอหันไปมองฉินเฟยเหยียนและยิ้มอย่างสุขใจ
“ชิงเหอเอ๋ย…”
ฉินเฟยเหยียนมองสหายของตนอย่างจนปัญญาและจู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ชิงเหอ ข้าไม่เคยให้อะไรเจ้ามาก่อน เพราะฉะนั้นก่อนเจ้าไป..ข้าขอมอบบางอย่างให้กับเจ้า ข้าเชื่อว่าในชีวิตข้างหน้า มันจะช่วยเจ้าได้มาก”
ฉินเฟยเหยียนเดินตรงเข้าไปหาชิงเหอและยื่นมือออกไป
“เฟยเหยียน นี่มัน…”
ฉินอวี้โม่ไม่เห็นว่าฉินเฟยเหยียนมอบสิ่งใดให้กับชิงเหอ นางเห็นเพียงสีหน้าที่ตกตะลึงของชิงเหอเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไป เก็บไว้เถอะ มันอาจสร้างปัญหาให้เจ้าบ้าง…แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด ข้าจะรอเจ้าอยู่ในที่ใดสักแห่ง…รอให้เจ้ามาพบกับข้าอีกครั้ง !”
ฉินเฟยเหยียนยิ้มอย่างจริงใจ
ใบหน้าจริงใจและรอยยิ้มเปี่ยมสุขของนางทำให้ฉินอวี้โม่ยืนยันได้ว่าฉินเฟยเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ทว่าน่าจะใช้ชีวิตอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของดินแดนนี้หรืออาจเป็นดินแดนอื่น
“อวี้เฟิง เฟยเหยียน ข้าต้องไปแล้ว ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
ชิงเหอยิ้มและค่อย ๆ สลายหายไปตรงหน้าฉินอวี้โม่อย่างไร้ร่องรอย
“ชิงเหอ…รอข้าด้วย“
อวี้เฟิงเองก็คลี่ยิ้มเช่นกัน จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ สลายจนหายไปกลางอากาศ
อย่างไรก็ตาม จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบ รอยยิ้มแห่งความสุขก็ประดับบนใบหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงและเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด
“คนทึ่มทั้งสอง…เฮ้อ…”
ฉินเฟยเหยียนถอนหายใจกับตัวเองก่อนร่างของนางจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย
นางสันนิษฐานบางอย่างไว้ในใจแล้ว ทว่ายังไม่กล้ายืนยันด้วยความหนักแน่นนัก
หากว่านางคือชิงเหอ จากนั้นอวี้เฟิงก็คือหานโม่ฉือ นี่คือชีวิตในภพก่อนของนางและเป็นชีวิตในภพก่อนของหานโม่ฉือเช่นกัน เขายอมแลกชีวิตของตนเองกับการใช้วิชาอัญเชิญจิตเพียงเพื่อให้ได้อยู่กับนางในชีวิตหลังความตายและชีวิตต่อไป ที่แท้พวกเขาทั้งสองก็รักกันอย่างสุดหัวใจมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ยังคงสงสัยบางอย่าง หากว่านางคือชิงเหอจริง ๆ และนี่คือชาติภพก่อนของตน เหตุใดนางจึงต้องรอนานนับพันปีกว่าที่จะเกิดมาอีกครั้ง ?
ก่อนที่จะได้พิจารณาต่อไป จู่ ๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้นางถึงกับวิงเวียนครู่ใหญ่ก่อนที่สภาพแวดล้อมรอบตัวจะหยุดนิ่งและอาคารสีดำทะมึนปรากฏให้เห็นตรงหน้า
อาคารนี้ดูหม่นหมองน่ากลัวยิ่งนักและมีอักษรตัวใหญ่สามพยางค์ติดอยู่อย่างชัดเจน—ศาลนรก !
ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อยทันที หรือตอนนี้นางจะปรากฏตัวที่ยมโลกอเวจีในตำนาน ?!
แน่นอนว่านางต้องการทราบสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจึงรีบเดินตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ภายในศาลนรกแห่งนี้ พญายมดูน่าเกรงขามเหมือนกับที่ฉินอวี้โม่เคยจินตนาการไว้ไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากนี้ก็ยังมีผู้พิทักษ์แห่งยมโลกสองตนซึ่งมีศีรษะเป็นวัวตนหนึ่งและใบหน้าเป็นม้าตนหนึ่งยืนอยู่เบื้องล่าง รวมถึงผู้พิพากษาของศาลนรกเช่นกัน
“ท่านพญายม สตรีนามว่าชิงเหอผู้นี้ไม่มีโอกาสเกิดใหม่ได้อีกแล้ว ทว่าใครบางคนใช้วิชาอัญเชิญจิตเพื่อช่วยให้นางกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เราก็ค้นหาทั่วทั้งยุทธภพแล้วแต่ก็ไม่พบร่างที่เหมาะสมกับนางเลย เราจะทำอย่างไรดี ?”
ผู้พิพากษาศาลนรกกล่าวอธิบายออกมาซึ่งดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่ได้ในทันที
“ยากเหลือเกินที่จะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลก หากทั้งสองไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสมหวังดังต้องการ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายจนเกินไป”
พญายมถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าว “อวี้เฟิงผู้นั้นใช้วิชาอัญเชิญจิต จิตวิญญาณของเขาจึงเสื่อมโทรมลง ไม่ว่าเขาจะเกิดในชีวิตใด เขาก็จะกลายเป็นตัวกาลกิณีที่ไม่มีผู้ใดชื่นชอบเว้นแต่ว่าเขาจะเผชิญความทุกข์ทรมานนานพันปี มิฉะนั้น ต่อให้พบกับชิงเหอผู้นั้นอีกครั้ง มันก็คงเป็นเพียงโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า ตามความคิดของข้า มันคงจะดีกว่าหากเราหาร่างที่เหมาะสมให้กับชิงเหอหลังจากผ่านเวลาไปพันปี เมื่อถึงตอนนั้น ความปรารถนาของทั้งสองจะได้สุขสมหวัง…”
เมื่อได้ยินวาจาของพญายม ฉินอวี้โม่ก็ยืนยันได้ทันทีว่าตนคือชิงเหอและอวี้เฟิงก็คือหานโม่ฉือในภพนี้อย่างแน่นอน
เพื่อช่วยให้จิตวิญญาณของนางมีโอกาสฟื้นและเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ อวี้เฟิงจึงใช้วิชาอัญเชิญจิตเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางอย่างเย้ยฟ้าท้าสวรรค์จนต้องเผชิญกับผลข้างเคียงที่เลวร้ายของมัน หากไม่เผชิญกับหายนะทั้งหมดในช่วงพันปี ต่อให้ได้พบกับชิงเหอคนรักอีกครั้ง สถานการณ์ของทั้งสองก็จะเป็นได้เพียงโศกนาฏกรรม
ตอนนี้หัวใจของฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจจนเกินบรรยายและกระสับกระส่ายอย่างที่สุด ตาทึ่มหานโม่ฉือนั่นต้องทุกข์ทรมานเพื่อข้ามามากจริง ๆ !
“ขอรับ ท่านพญายม”
ผู้พิพากษาศาลนรกพยักศีรษะและประกาศชะตาต่อไปของชิงเหอ
“สำหรับเวลาหนึ่งพันปีข้างหน้า ให้ชิงเหออยู่ในสระหวาชิงภายในวังพญายมและปล่อยให้นางฆ่าเวลาได้ตามต้องการ”
พญายมกล่าวเสริมขึ้นมาก่อนที่ผู้พิพากษาศาลนรก ผู้พิทักษ์หัววัวและหน้าม้า ยมทูตขาวดำและตนอื่น ๆ จะแยกย้ายกันออกไป
“จิ๊จิ๊จิ๊ ไม่รู้เลยว่าความเห็นอกเห็นใจของข้าจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด ชิงเหอและอวี้เฟิง หลังจากเวลาผ่านไปนับพันปี ทั้งสองย่อมสูญเสียความทรงจำทั้งหมดที่เคยมี ต่อให้เป็นในชีวิตหน้า ทั้งสองก็อาจจะไม่ได้พบกันอีก ทว่าข้าก็หวังไว้จริง ๆ ว่าทั้งสองจะได้ลงเอยในทางที่ดี”
พญายมทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนมองไปในทิศทางของฉินอวี้โม่พลางกล่าวอย่างใช้ความคิด
“นี่คือชะตากรรมต่อไปของบุรุษผู้นี้ เขาต้องทุกข์ทรมานมามากจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีบุรุษที่ลุ่มหลงในความรักมากถึงเพียงนี้อยู่ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ”
หลังจากกล่าวจบ ร่างของเขาก็หายวับไป
ฉินอวี้โม่มองเห็นคัมภีร์เล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่พญายมหายตัวไป และมันคือ ‘บัญชีเกิดตายของมนุษย์’
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็อดใจไม่ไหวที่จะก้าวตรงเข้าไปเปิดมันโดยเร็วก่อนพบชื่อของ ‘อวี้เฟิง’ และเริ่มอ่านมันอย่างละเอียด
หลังจากใช้วิชาอัญเชิญจิต อวี้เฟิงก็เกิดใหม่ในครอบครัวยากจนข้นแค้นในยุคโบราณ ทันทีที่เขาเกิดมา มารดาของเขาก็เสียชีวิตจากสภาวะการคลอดยาก ในขณะที่บิดาของเขาที่กำลังทำงานอยู่ในสวนก็เคราะห์ร้ายถูกก้อนหินหล่นทับจนตัวตาย กล่าวได้ว่าชะตากรรมของเขาน่าเวทนาอย่างที่สุด
เดิมทีพรสวรรค์ของเขาในด้านวิชาการก็ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมากและหมั่นเพียรอย่างขยันขันแข็งจนสอบได้อันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาคนหนึ่งก็ยกข้ออ้างบางอย่างมาเพื่อประหารชีวิตของเขาก่อนที่ชื่อของเขาจะถูกแทนที่ด้วยชื่อของบุตรชายของผู้พิพากษาคนนั้น ในชีวิตนี้ เขามีอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น
ในชีวิตที่สาม ชะตากรรมของเขาก็น่าเศร้ายิ่งกว่าเดิม เขายังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำทว่าต้องเสียชีวิตจากครรภ์ที่ผิดปกติของมารดาจึงไม่มีโอกาสได้ออกมาดูโลก
ในชีวิตที่สี่ เขาก็บังเอิญเจอกับผู้ที่ล้มเหลวในชีวิตซึ่งเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาและสังหารเขาไปพร้อมกับบิดาและมารดาของเขา
ชีวิตที่ห้า หก เจ็ด…
หลังจากเปิดบัญชีอ่านต่อไปเรื่อย ๆ อวี้เฟิงในชีวิตต่อ ๆ มาเผชิญก็ชะตากรรมที่แตกต่างกันออกไปทุกรูปแบบ ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือเขาไม่เคยพบจุดจบในชีวิตที่ดีเลย
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงก็คือหลังจากผ่านชีวิตมากมายนับสิบนับร้อยชีวิต อวี้เฟิงก็ไม่เคยมีภรรยาหรือคนรัก แม้ว่ามีหลายคราที่เขามีชีวิตได้ถึงสี่สิบหรือห้าสิบปี เขาก็ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไร้คู่ครองทั้งสิ้น
เมื่อคาดเดาความเป็นไปได้ในหัวใจ ความรู้สึกของฉินอวี้โม่ก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ตาทึ่มคนนี้…ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลยจริง ๆ…
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่นี่พักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ลอยกลับไปและพบกับชิงเหอซึ่งอยู่ข้างสระหวาชิง
ชิงเหออยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ทำสิ่งอื่นใดนอกจากเขียนอักษรบนพื้นดินว่า ‘อวี้เฟิง’!
แม้เขียนลากลงไปนับพันครั้ง นางก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อยและใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าตราบใดที่ได้เขียนและเห็นชื่อนี้ นางก็มีความสุขมากแล้ว
“อวี้เฟิง แม้ในชีวิตหน้า เราจะไม่รู้จักกันและไม่ได้รักกัน ข้าก็จะหาทางไปหาเจ้าให้ได้และจะรอจนกว่าเราจะได้พบกัน”
หัวใจของชิงเหอหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง นางเชื่อว่าในชีวิตต่อไป นางจะได้ครองรักอยู่กับอวี้เฟิงไปตลอดกาล
“คนโง่ทั้งสองนี่ !”
ฉินอวี้โม่อดถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ ทว่าน้ำตาใสก็ไหลอาบแก้มลงมาอย่างมิอาจควบคุม
นางเฝ้ารอ ‘เขา’ มานานนับพันปี และเขาก็ยึดติดกับนางมาตลอดช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกัน ทั้งสองถูกลิขิตไว้ให้ครองรักและสมหวังกันอย่างแท้จริง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ในห้วงมายาของดวงจิตสายฟ้าอีกต่อไปและต้องการไปจากที่นี่เพื่อบอกกับหานโม่ฉือว่านางรักเขามากเพียงใด
ทั้งสองเฝ้ารอกันและกันมานานนับพันปีก่อนที่จะได้พบกันในที่สุด ในอนาคตข้างหน้า นางและเขาจะไม่มีวันพรากจากกันไปไหนอีก
ภายในหลุมยักษ์ใหญ่ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งติดอยู่ในดวงจิตสายฟ้าก็ลืมตาโพลงและรอยน้ำตาอาบแก้มยังคงอยู่ ทว่าใบหน้ากลับประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
ดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่นางสงสัยมาตลอด นางจะได้ทราบมันแล้วในครานี้ ฉินอวี้โม่รอออกไปพบกับหานโม่ฉือซึ่งรออยู่ข้างนอกแทบไม่ไหวอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ซิวที่อยู่ข้างกายของนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา
แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังเผชิญกับห้วงมายาเช่นนั้น แล้วซิวที่ต้องรับมันโดยตรงจะผ่านพ้นไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร…
.