นอกเหนือจากหลัวจื๋อยินและหลัวจื้อเลี่ย ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่ได้เปิดเผยตัวตนในอดีตกับคนอื่น ๆ พวกนางทั้งหมดไม่สนใจเรื่องในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วที่พวกนางได้พบกันอีกครั้ง
“อวี้โม่ แล้วตอนนี้เหยียนเอ๋อร์อยู่ที่ใด ?”
หลังจากฉินอวี้โม่ยืนกรานหนักแน่น หลัวจื๋อยินก็ไม่เรียกชื่อเดิมในภพอดีตของนางอีกต่อไปและเรียกชื่อที่นางใช้ในชีวิตปัจจุบันซึ่งก็คือ ‘ฉินอวี้โม่’
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ครั้งสุดท้ายที่ข้าพบนางคือตอนที่โม่ฉือใช้วิชาอัญเชิญจิต อาการบาดเจ็บของนางจากการต่อสู้ครานั้นสาหัสมาก บางทีนางอาจจะพบโอกาสบางอย่างที่ช่วยให้นางเข้าไปในดินแดนระดับสูงได้”
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่มั่นใจเลยเช่นกัน เพียงสิ่งเดียวที่นางทราบอย่างชัดเจนคือฉินเฟยเหยียนยังมีชีวิตอยู่
“ไม่ต้องคาดเดากันหรอก อดีตนายหญิงของข้าไปที่ดินแดนระดับสูงจริง ๆ”
เสียงของซิวดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจนก่อนร่างของมันจะปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่
“ซิว เป็นเจ้านั่นเอง !”
เมื่อเห็นซิว หลัวจื๋อยินก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยทันทีก่อนคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เมื่อพันปีก่อน นางรู้สึกชื่นชอบและถูกชะตากับซิวมากเช่นกัน สำหรับอสูรแห่งโชคชะตาที่เป็นถึงมังกรทองสิบเล็บผู้ทรงพลัง ไม่มีทางที่นางจะลืมเลือนได้อย่างแน่นอน
“ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ซิวยิ้มและกล่าวทักทายเช่นกัน “เมื่อพันปีก่อน นายหญิงของข้าในตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสและใกล้สิ้นชีวิตเต็มที ทว่าจู่ ๆ ก็มีบุคคลลึกลับปรากฏตัว คนลึกลับผู้นั้นช่วยชีวิตนายหญิงของข้าไว้และมอบความรู้ใหม่จนทำให้นางแตกฉานขึ้นมา ดังที่ทุกคนทราบดี ในตอนนั้นนายหญิงของข้ามีพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด หลังจากได้โอกาสครานั้น นางก็ทะลวงพลังและบรรลุขอบเขตราชาเซียนโดยตรง…
หลังจากนั้น นางก็ยกเลิกพันธสัญญากับข้าและบอกให้ข้ารอจนกว่าชะตาจะนำพาให้พบนายคนใหม่และได้ถ่ายทอดกายเทพมายาไปให้กับชิงเหอ จากนั้นนางก็คงจะติดตามบุรุษลึกลับผู้นั้นไปที่ดินแดนระดับสูง หากนางไม่ต้องการพบเรา ต่อให้เราไปถึงที่นั่น เราก็ไม่มีทางหานางพบอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมานานนับพันปีแล้ว พลังความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้คงจะน่าสะพรึงกลัวกว่าในอดีตมากนัก !”
ซิวเล่าสรุปเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างคร่าว ๆ หลังจากได้ความทรงจำครั้งอดีตกลับคืนมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังคงชัดเจนในใจราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เมื่อความทรงจำเกี่ยวกับสงครามครั้งประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อนกลับคืนมา ในที่สุดสาเหตุที่ฉินเฟยเหยียนรอดชีวิตออกมาได้และสาเหตุที่นางทอดทิ้งซิวไว้เบื้องหลังก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อมัน
แท้ที่จริง ตัวมันเองก็ฉงนงุนงงกับการกระทำของฉินเฟยเหยียนในตอนนั้นและเคยรู้สึกว่านายหญิงทอดทิ้งมันอย่างไร้สาเหตุ ทว่าตอนนี้มันก็เข้าใจทุกอย่างโดยสมบูรณ์แล้ว
ดินแดนแห่งนี้มีข้อจำกัดด้านระดับพลังและขอบเขตนภาเซียนคือขีดจำกัดสูงสุดของมันแล้ว เพราะเหตุนั้นจึงยากที่ผู้ทรงพลังเหนือกว่าขอบเขตนั้นจะอยู่ที่นี่ได้ และหากต้องการไปที่ดินแดนระดับสูง มีความเป็นไปได้ว่าจอมยุทธ์ผู้นั้นจะต้องบรรลุขอบเขตราชาเซียนเช่นกัน
ในตอนนั้น ซิวยังไม่แข็งแกร่งมากพอและอีกเหตุผลคือฉินเฟยเหยียนก็ตระหนักดีว่าซิวจะไม่สามารถพัฒนาตนเองได้อีกหากยังติดตามอยู่ข้างกายนาง นั่นคือสาเหตุที่นางตัดสินใจกระทำสิ่งที่ดูโหดร้ายในตอนนั้น ทว่าแท้จริงแล้วนั่นก็เพื่อประโยชน์ของตัวซิวเอง
และตอนนี้เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของนางไม่ผิดเลย การที่ซิวได้พบและติดตามฉินอวี้โม่ มันก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันมีโอกาสที่จะพัฒนาและทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตและมีโอกาสแม้กระทั่งพัฒนาต่อไปจนบรรลุระดับราชาเซียน
ฉินอวี้โม่และหลัวจื๋อยินพยักศีรษะอย่างเข้าใจ พวกนางรู้จักสหายฉินเฟยเหยียนเป็นอย่างดีและเข้าใจในการตัดสินใจของนาง
“เอาล่ะ อย่ากังวลเรื่องเฟยเหยียนก่อนเลย ตอนนี้ดินแดนเทพมายายังอยู่ในช่วงวิกฤตและฝ่ายมารก็กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ชนเผ่าเอลฟ์ของข้าถือเป็นเผ่าแรกที่ถูกบุกรุก ก่อนอื่นเราต้องคลี่คลายวิกฤตที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกำจัดพลังความมืดที่กำลังกัดกร่อนต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่”
หลัวจื๋อยินยิ้มและกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หากโชคชะตาฟ้าลิขิตให้พวกนางได้พบกันอีกครั้ง นางก็เชื่อว่าจะได้พบกับสหายฉินเฟยเหยียนอีกแน่นอนและเรื่องนี้ก็มิอาจควบคุมได้ ทว่าเวลานี้วิกฤตความวุ่นวายหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ยังไม่คลี่คลายและพวกนางจำต้องสะสางปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะไตร่ตรองหรือดำเนินการเรื่องอื่นต่อไป
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับในทันทีและมุ่งหน้าตรงไปที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันกับราชินีเอลฟ์และคนอื่น ๆ
ทว่าเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวม่านได้ทุ่มเทพลังเกือบทั้งหมดเพื่อยับยั้งพลังความมืดในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์และทำให้มันหยุดกัดกร่อนเป็นการชั่วคราว ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่ถือว่าย่ำแย่นัก
“เสี่ยวโพธิ์ เจ้าช่วยกำจัดพลังความมืดออกจากต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้รึไม่ ?”
สายตาของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จับจ้องไปที่เด็กหนุ่มเสี่ยวโพธิ์เป็นตาเดียว
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ! แม้ข้าจะมิใช่บุปผาแห่งแสง ทว่าพลังความมืดเล็ก ๆ น้อยๆ นี้ก็ไม่อาจต่อกรกับข้าได้หรอก”
เสี่ยวโพธิ์ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจและเดินตรงไปที่ต้นเอลฟ์
“โชคดีจริง ๆ ที่ว่าที่ภรรยาของข้าใช้พลังระงับการกัดกร่อนของพลังความมืดไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นเทพเจ้าหรือผู้ยิ่งใหญ่ใดก็คงช่วยต้นเอลฟ์ไว้ไม่ได้”
หลังจากสำรวจสถานการณ์ของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ เด็กหนุ่มก็กล่าวอย่างติดตลกออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวม่านก็หน้าแดงระเรื่อทันทีและรีบกล่าวออกไป “เสี่ยวโพธิ์ หากยังพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ อย่าโทษข้าก็แล้วกันหากข้าจะเมินเฉยเจ้า”
มันรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยที่ถูกเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงประมาณสิบปีกล่าววาจาเชิงแทะโลมและเกี้ยวพานเช่นนี้
“โอ้ ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่กล้าหรอก ว่าที่ภรรยาของข้า…โปรดอภัยให้ข้าด้วย !”
เสี่ยวโพธิ์ยิ้มและกล่าวยอมรับความผิดของตนทว่าน้ำเสียงยังคงบ่งบอกถึงความล้อเลียนอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ได้ยินบทสนทนาระหว่างเสี่ยวม่านและเสี่ยวโพธิ์ พวกมันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อสูรพฤกษาทั้งสองเข้าคู่กันได้ดีอย่างแท้จริง
เสี่ยวม่านหน้าแดงด้วยความเก้อเขินและอับอาย ทว่านางไม่กล่าวสิ่งใดกับเสี่ยวโพธิ์อีกและเพิกเฉยมันไปอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าซุกซนของเสี่ยวโพธิ์กลายเป็นจริงจังชั่วครู่หนึ่งขณะอยู่ข้างต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้น พลังงานสีเขียวก็ปรากฏในมือของมันก็หลั่งไหลเข้าสู่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
พลังจากบุปผาแห่งความมืดที่แปดเปื้อนอยู่ในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงพลังของต้นโพธิ์และรีบหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“เหอะ คิดจะหนีงั้นรึ !”
ต้นโพธิ์ในร่างเด็กหนุ่มก็แค่นเสียงเย็นชาและปล่อยพลังของมันแผ่ตรงเข้าไปในต้นเอลฟ์อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงไม่นาน พลังความมืดในต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกดูดกลืนไปอย่างสมบูรณ์
หากเป็นพลังงานจากบุปผาแห่งความมืดโดยตรงละก็ การทำลายมันก็อาจไม่ง่ายนัก เพียงแต่สิ่งที่กัดกร่อนต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เป็นเพียงพลังงานจากกลีบหนึ่งของมันเท่านั้น ซึ่งมิได้อยู่ในสายตาของเสี่ยวโพธิ์แม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ ต้นเอลฟ์ที่ทุกข์ทรมานและเหี่ยวเฉาร่วงโรยนั้น หลังจากพลังความมืดในลำต้นของมันถูกกลืนกินไปโดยสมบูรณ์ พลังชีวิตก็หลั่งไหลไปทั่วและแผ่กลิ่นอายออกไปรอบตัวในทันที
พลังเอลฟ์ในร่างของสั่วซีหย่า หลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ ก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา พลังของทุกคนก็กลับคืนสู่สภาวะสูงสุดและถึงขั้นทรงพลังกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวิกฤตของชนเผ่าเอลฟ์ก็สิ้นสุดลง !”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขและตื่นเต้นอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะบุตรสาวที่เขาทอดทิ้งอยู่ในโลกภายนอกบังเอิญไปเจอกับมิตรสหายที่ดีอย่างฉินอวี้โม่ ครานี้ชนเผ่าเอลฟ์ก็อาจถูกทำลายจนสิ้นซากโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“อวี้โม่ โม่ฉือ สั่วซีหย่า ครานี้ข้าต้องขอขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ !”
ใบหน้าของราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยินประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นกัน การที่สามารถสะสางวิกฤตครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวเอลฟ์ทุกชีวิตได้ นางรู้สึกซาบซึ้งใจต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะสหายเก่าผู้มาเกิดใหม่ตัดสินใจมาที่ชนเผ่าเอลฟ์ เกรงว่าชนเผ่าเอลฟ์ก็คงจะล่มสลายและหายไปจากโลกใบนี้เสียแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความยินดี การช่วยชาวเอลฟ์ก็ถือเป็นการช่วยพวกเราด้วย ถึงอย่างไรเราก็มีศัตรูเหมือนกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หากมิใช่เพราะชนเผ่าเอลฟ์ ข้าก็คงไม่มีทางได้กอบกู้ความทรงจำกลับคืนมาและไม่มีทางได้พบกับสหายเก่าแก่ ครานี้ข้าได้รับผลประโยชน์มากนัก การตัดสินใจมาที่ชนเผ่าเอลฟ์ครานี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ”
แน่นอนว่าหลัวหมิงฮ่าวและคนอื่น ๆ ที่ไม่ทราบเรื่องในอดีตต่างก็ฉงนสงสัยไปตาม ๆ กัน มีเพียงหลัวจื๋อยินและหลัวจื้อเลี่ยเท่านั้นที่พยักศีรษะอย่างเข้าใจในความหมายของฉินอวี้โม่
“อันที่จริง นอกจากพวกเรา ครานี้ก็ต้องขอบคุณหมิงฮ่าว หมิงซี หมิงเฟย อวิ๋นซีและคนอื่น ๆ เช่นกัน หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพวกเขา เพียงเราสามคนคงทำอะไรไม่ได้มาก”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวขณะสายตามองไปที่หลัวหมิงฮ่าวผู้ซึ่งกลายเป็นมิตรที่ดี ครานี้หากมิใช่เพราะเขาและอีกหลายคน พวกนางก็คงมิอาจสะสางปัญหาความวุ่นวายของชนเผ่าเอลฟ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“ไม่ ไม่เลย ไม่ต้องขอบคุณพวกเราหรอก อีกอย่าง…อวี้โม่ อย่าลืมเรื่องที่ท่านให้สัญญากับข้าและพี่สองก่อนหน้านี้ล่ะ”
หลัวหมิงเฟิยกล่าวเปิดประเด็นพร้อมรอยยิ้ม “ท่านแม่ขอรับ ข้าตัดสินใจแล้ว เมื่ออวี้โม่และโม่ฉือไปจากที่นี่ ข้าอยากติดตามพวกนางไปที่แผ่นดินใหญ่เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ท่านแม่คงจะไม่ขัดข้องใช่รึไม่ ?”
“ท่านแม่ ข้าก็อยากติดตามอวี้โม่และโม่ฉือไปเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลัวอวิ๋นซีไม่ต้องการถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและตัดสินใจเช่นเดียวกัน นางเชื่อว่าโลกภายนอกจะต้องมีเรื่องสนุก ๆ ที่ไม่เคยพบอีกมากมายและต้องการออกไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง
“ท่านแม่ ข้าก็อยากไปเช่นกันขอรับ แม้ข้าจะเคยทำตัวไร้ค่าและทำสิ่งที่ผิดพลาดมามากมาย ทว่าหลังจากประสบการณ์ครั้งสำคัญนี้ ข้าก็ไม่ต้องการเป็นคนเดิมอีกต่อไป โปรดอนุญาตให้ข้าได้ติดตามอวี้โม่ โม่ฉือและทุก ๆ คนเพื่อออกไปสั่งสมประสบการณ์ด้วยเถอะขอรับ !”
หลัวหมิงซีกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นและต้องการติดตามฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปเช่นกัน
หลังจากเผชิญกับหายนะครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในชนเผ่าเอลฟ์ หลัวหมิงซีก็กลับตัวกลับใจโดยสมบูรณ์แล้ว สตรีทุกคนที่เขาเคยใช้กำลังฉุดมาโดยตรงล้วนถูกส่งตัวกลับไปแล้ว เว้นเพียงแต่ไม่กี่นางที่เต็มใจอยู่ในคฤหาสน์องค์ชายสี่ต่อไป นอกจากนี้ เขาก็ได้มอบค่าชดเชยและแสดงความขอโทษขอโพยกับพวกนางเช่นกัน
“ไปเถอะ พวกเจ้าไปกับอวี้โม่และโม่ฉือเพื่อหาประสบการณ์ได้เลย มันเป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สงครามระหว่างเราและฝ่ายมารก็คงจะอยู่ไม่ไกล หากได้ท่องโลกภายนอกสักพัก พวกเจ้าจะได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้นและได้เตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะมาถึง”
ราชินีเอลฟ์พยักศีรษะและไม่ขัดขวางพวกเขา นางเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรชายบุตรสาวจะออกไปฝึกวิชาและสั่งสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาตน
“ท่านแม่ ข้าก็อยากไปเช่นกันขอรับ”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวด้วยสีหน้ามีความหวังเช่นกัน
“เจ้าและชายรองต้องอยู่ที่นี่ หากเจ้าทั้งสองไปด้วยก็คงไม่มีใครอยู่ดูแลความเรียบร้อยในชนเผ่าเอลฟ์ พวกเจ้าอยากให้แม่เหนื่อยตายงั้นรึ !”
ครานี้ราชินีเอลฟ์ปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่ลังเล ในความจริง ฉินอวี้โม่ก็เคยบอกนางเกี่ยวกับความต้องการของหลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้แล้วซึ่งนางก็ตอบตกลงไปแล้วทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ราชินีเอลฟ์ก็ต้องการให้องค์ชายห้าผู้ที่ชาญฉลาดและมีจิตใจมั่นคงผู้นี้อยู่ช่วยงานในชนเผ่าเอลฟ์ของนาง
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ห้า พี่สอง พวกท่านต้องเชื่อฟังท่านแม่นะ เมื่อเรากลับมา เราจะเล่าเรื่องสนุก ๆ และน่าสนใจที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกให้พวกท่านได้ฟัง”
หลัวอวิ๋นซีอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ทว่านางก็เฉลียวฉลาดและไม่กล้าหันไปสบตากับพวกเขา
หลังจากการตัดสินใจเหล่านี้ บรรยากาศอันน่าเศร้าของการจากลาก็เข้าปกคลุมทุกคน…
.