สามวันต่อมา สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์ก็คงที่โดยสมบูรณ์ เวลานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต่างก็เตรียมตัวเดินทางออกจากชนเผ่าเอลฟ์
“สั่วซีหย่า เจ้าจะไม่อยู่ที่ชนเผ่าเอลฟ์จริง ๆ หรือ ?”
หลัวจื้อเลี่ยเอ่ยถามสั่วซีหย่าอีกคราและแน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจนักที่จะต้องแยกจากบุตรสาวที่เพิ่งได้พบกัน อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่าสั่วซีหย่ามีความคิดเป็นของตนเองและยากที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่นางตัดสินใจแล้ว
“ท่านพ่อ ขออภัยด้วยที่ลูกผู้นี้อกตัญญูและอยู่กับท่านไม่ได้”
สั่วซีหย่าทิ้งตัวคุกเข่าลงตรงหน้าหลัวจื้อเลี่ย แม้นางจะรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด ทว่านางก็ไม่ลังเลกับการตัดสินใจของตน
ฉินอวี้โม่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางไว้ สั่วซีหย่าจึงให้คำสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะติดตามฉินอวี้โม่ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ดีกับนางอย่างมากและอบรมสอนสั่งหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าอย่างไรสตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็ไม่มีทางแยกจากนายหญิงและคนอื่น ๆ
นอกจากนี้ นางก็มีมิตรสหายที่ดีมากมายหลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน หานอวี้หรืออสูรอื่น ๆ แน่นอนว่าสั่วซีหย่าที่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังไม่ต้องการแยกจากสหายเหล่านั้น นางจึงมิอาจอยู่เป็นลูกกตัญญูข้างกายบิดาได้
“ลุกขึ้นเถอะ ตั้งแต่ต้น…พ่อต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าและแม่ของเจ้าต้องเศร้าเสียใจ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ตราบใดที่เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้ามีความสุข พ่อก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น…พ่อเข้าใจดีว่าอวี้โม่เป็นทั้งผู้มีพระคุณ เป็นสหายและเป็นดั่งพี่สาวของเจ้า การที่เจ้าตัดสินใจติดตามไปกับนางถือเป็นการตัดสินใจที่ดี”
หลัวจื้อเลี่ยประคองสั่วซีหย่าลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้หัวใจของเขาจะไม่เต็มใจนัก ทว่าเขาก็สนับสนุนการตัดสินใจของบุตรสาวอย่างเต็มที่ การได้มีสหายร่วมทางที่มากฝีมืออย่างฉินอวี้โม่ถือว่าเป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดของสั่วซีหย่า ในอนาคตข้างหน้า การติดตามและฝึกฝนข้างกายฉินอวี้โม่จะเป็นผลดีกับนางอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ขอให้ท่านรักษาตัวด้วยเจ้าค่ะ ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ หากท่านพบสตรีผู้ใดที่เหมาะสมและสบายใจ ท่านก็ตบแต่งมีภรรยาคนใหม่ได้เลย ข้าเชื่อว่าหากท่านแม่มองลงมาจากสวรรค์เบื้องบน นางจะต้องยินดีแน่ ๆ”
สั่วซีหย่ารีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น นางไม่ต้องการให้บิดาของตนต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปจึงได้กล่าวแนะนำให้เขาหาภรรยาคนใหม่เพื่อมาอยู่ข้างกาย
“ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก หากไม่นับช่วงที่ถูกควบคุมโดยตู้ซีรั่วก็ถือว่าข้าอยู่ลำพังมานานหลายปี ต่อให้ต้องโดดเดี่ยวต่อไป ข้าก็ไม่กังวล แต่ก็แน่นอนว่าหากข้าพบผู้ใดที่ต้องตาจริง ๆ ข้าก็ไม่โง่เขลาพอที่จะปฏิเสธ”
หลัวจื้อเลี่ยยิ้มและกล่าวต่อ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ข้าเชื่อว่าเหล่าอสูรมายาของเสี่ยวอวี้โม่ล้วนแต่มากพรสวรรค์ นางน่าจะมีสหายดี ๆ มากมาย พ่อไม่รังเกียจหากว่าเจ้าจะตกหลุมรักกับผู้ใด พ่อยินดีตราบใดที่มันทำให้เจ้ามีความสุข”
เมื่อได้ยินวาจาของหลัวจื้อเลี่ย พวงแก้มของสั่วซีหย่าก็แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ลูกยังเด็กอยู่เลยเจ้าค่ะ ลูกยังไม่ได้รีบร้อนอะไร”
เมื่อเห็นว่าหลัวจื้อเลี่ยกำลังจะกล่าวต่อ นางก็รีบกล่าวแทรกอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ รอข้าอยู่ข้างนอก ข้าคงต้องไปแล้ว ท่านพ่อต้องดูแลตัวเองนะเจ้าคะ ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านพ่อบ่อย ๆ”
เวลานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รออยู่นอกเรือนขณะกำลังกล่าวอำลาราชินีเอลฟ์
“เมื่ออยู่ข้างนอก พวกเจ้าจงเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้และเชื่อฟังอวี้โม่ อย่าสร้างปัญหาเด็ดขาด เข้าใจรึไม่ ?”
ราชินีเอลฟ์กล่าวกำชับกับหลัวหมิงซีและคนอื่น ๆ เพื่อมิให้พวกเขาสร้างปัญหาใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลัวอวิ๋นซี
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เราจะไม่สร้างปัญหา”
หลัวอวิ๋นซีแลบลิ้นอย่างซุกซนเล็กน้อย ทว่าหลิวหมิงซีเพียงพยักศีรษะอย่างว่าง่าย
“ชายสาม ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่สามของน้อง ๆ จงดูแลพวกเขาให้ดี น้องสี่และน้องเล็กของเจ้ามักจะทำให้แม่กังวลอยู่เสมอ”
ราชินีเอลฟ์กล่าวกำชับกับหลัวหมิงเฟยอย่างชัดเจน นอกจากการเป็นพี่ที่มีอายุมากที่สุดในสามคน เขาก็ยังเป็นคนที่ใจเย็นและชาญฉลาดมากที่สุด นางเชื่อว่าเขาจะดูแลหลัวอวิ๋นซีและหลัวหมิงซีมิให้เกิดความวุ่นวายได้อย่างแน่นอน
“ท่านแม่วางใจได้เลยขอรับ โลกภายนอกมิใช่ชนเผ่าเอลฟ์ของเรา พวกเขาไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามแน่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีข้าอยู่ด้วย มันจะไม่มีปัญหาใด ๆ อย่างแน่นอน”
หลัวหมิงเฟยพยักศีรษะรับคำของมารดา เขาไม่เคยออกจากชนเผ่าเอลฟ์มาก่อนและมีความคาดหวังในใจเกี่ยวกับโลกภายนอกมากพอสมควร
“อวี้โม่ ฝากเจ้าช่วยดูแลพวกเขาด้วย”
ราชินีเอลฟ์กล่าวพร้อมดึงฉินอวี้โม่แยกออกมาเพื่อต้องการกระซิบกระซาบบางอย่างกับนาง
“อวี้โม่ ในช่วงนี้ข้าจะจัดการดูแลชนเผ่าเอลฟ์ให้สถานการณ์คงที่ก่อนและหลังจากนั้นสมาชิกทุกคนจะเข้าสู่ช่วงเตรียมความพร้อมสำหรับสงคราม เชื่อว่าอีกไม่นานสงครามระหว่างเราและฝ่ายมารคงจะปะทุขึ้น ผู้นำฝ่ายมารยังทรงพลังเหมือนเมื่อพันปีก่อนไม่มีผิด ทว่าข้าไม่ต้องการให้เหตุการณ์ครานี้ซ้ำรอยเดิมอีก ครานี้เราจะต้องโค่นทำลายพวกขุมกำลังมารร้ายให้ได้อย่างสิ้นซาก !”
“อายิน ข้าก็เหมือนกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เมื่อเราเอาชนะฝ่ายมารได้สำเร็จ เราจะไปที่ดินแดนระดับสูงเพื่อตามหาเหยียนเอ๋อร์ด้วยกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวขณะจับมือหลัวจื๋อยินไว้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองสนิทสนมกันอย่างแท้จริง
เมื่อพันปีก่อน ทั้งสองและฉินเฟยเหยียนเป็นสหายคนสนิทของกันและกัน แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานก็มิอาจทำลายความสัมพันธ์อันดีของพวกนางได้ ในทางตรงกันข้าม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาทำให้พวกนางรักและจริงใจต่อกันมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ที่จริงแล้วลูก ๆ ของข้าควรจะเรียกเจ้าว่าท่านน้า ทว่าน่าเสียดาย…หากเจ้าไม่อยากให้คนอื่นทราบต้นกำเนิดของเราเมื่อพันปีก่อน ข้าก็จะไม่บอกพวกเขา แม้พวกเขาจะเป็นเอลฟ์ที่โดดเด่นและมากความสามารถ ทว่าพฤติกรรมบางอย่างและความอดทนของพวกเขาก็อาจด้อยกว่าผู้คนในโลกภายนอก ข้าคงต้องวานให้เจ้าช่วยดูแลพวกเขาในอนาคตข้างหน้า”
หลัวจื๋อยินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางรู้สึกได้ว่าตนเองยังไม่มีท่าทีว่าจะทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้และเป็นไปได้ยากที่จะบรรลุขอบเขตราชาเซียน หากต้องการไปที่ดินแดนระดับสูงจริง ๆ นางก็ต้องทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนให้ได้ ความหวังในหัวใจของนางจึงริบหรี่พอสมควร เวลานี้นางหวังเพียงว่าจะสะสางปัญหากับฝ่ายมารได้อย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและมิให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมเมื่อพันปีก่อนอีก
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น หมิงเฟย หมิงซีและอวิ๋นซีล้วนชาญฉลาดและมีไหวพริบดี พวกเขาจะดูแลตัวเองได้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตกปากรับคำโดยไม่ลังเล
“พี่สาม พี่สี่ น้องเล็ก ข้าอิจฉาจริง ๆ ที่ทุกคนจะได้ติดตามอวี้โม่ออกไปฝึกฝนในโลกภายนอก”
หลัวหมิงฮ่าวแสดงความยินดีกับหลัวหมิงเฟยและอีกสองคนขณะกล่าวด้วยความอิจฉาอย่างชัดเจน
เขาต้องการออกไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์กับฉินอวี้โม่เช่นกัน ทว่าราชินีเอลฟ์กล่าวถูกทุกประการ หากเขาไปจากที่นี่ ในชนเผ่าก็คงไม่มีผู้ใดช่วยแบ่งเบาภาระของนาง แทนที่จะออกไปท่องโลก เขาก็หวังว่าจะได้ช่วยจัดการหลายสิ่งหลายอย่างให้กับมารดา
“น้องห้า ต่อไปเจ้าคงต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม ตอนที่พวกเราไม่อยู่ที่นี่ เจ้าต้องดูแลชนเผ่าเอลฟ์ให้เต็มที่และดูแลท่านแม่ด้วย ไม่ต้องห่วง พวกเราจะกลับมาก่อนถึงสงครามกับฝ่ายมาร เมื่อถึงตอนนั้นเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าอีกครา”
หลังจากเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ของชนเผ่าเอลฟ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพี่น้องก็ดีขึ้นมาก และตอนนี้พวกเขาก็ปฏิบัติต่อกันดั่งพี่น้องในสายเลือดที่แท้จริง
“ตกลง เรามาสู้ไปด้วยกันเถอะ !”
หลัวหมิงฮ่าวพยักศีรษะก่อนตรงเข้าไปสวมกอดหลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ แม้ยินดีกับพี่น้องที่ได้ออกไปท่องโลก ทว่าเขาก็ไม่เต็มใจนักที่จะต้องแยกจากกัน
“หมิงฮ่าว ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ ขอบคุณท่านมากที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราซาบซึ้งใจจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้ามาและกล่าวกับหลัวหมิงฮ่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อนางมาที่ชนเผ่าเอลฟ์ในตอนแรก องค์ชายห้าผู้นี้คือผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนางและผูกมิตรสร้างไมตรีที่ดีต่อกัน ทั้งสองฝ่ายจึงสนิทสนมกันมากที่สุด
ตั้งแต่ต้น หลัวหมิงฮ่าวไม่สนใจตัวตนแท้จริงของพวกนาง และแม้อยู่ภายใต้แรงกดดัน เขาก็ยอมเข้าไปช่วยฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หน้าประตูเมืองด้วยความเต็มใจก่อนผูกมิตรต่อกัน ในตอนนี้ที่กำลังจะจากลากันนั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายก็ย่อมไม่สบายใจนัก
“อวี้โม่ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ หากมิใช่เพราะท่าน วิกฤตในชนเผ่าเราก็คงไม่มีทางคลี่คลายได้เร็วเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้มีสหายอย่างท่าน”
หลัวหมิงฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงใจ เขาตระหนักดีว่าการเป็นสหายกับฉินอวี้โม่คือหนึ่งในการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต
“เอาล่ะ เราออกเดินทางกันเถอะ นี่ก็ล่าช้ามามากแล้ว !”
หานโม่ฉือก้าวออกมาอยู่ข้างฉินอวี้โม่และจับมือนางไว้อย่างอบอุ่น หลังจากผ่านพ้นสถานการณ์ของดวงจิตสายฟ้า เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฉินอวี้โม่แตกต่างไปจากเดิม โม่เอ๋อร์ของเขาในวันนี้ไม่มีความเหินห่างเช่นเดิมอีกต่อไปและไม่ปฏิเสธหรือปิดกั้นทุกคนเหมือนตอนที่เขาพบกับนางในตอนแรก
“อื้ม ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกระชับมือที่จับกันไว้
ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยิน หลัวจื้อเลี่ยและคนอื่น ๆ ก็ออกมาส่งคณะเดินทางฉินอวี้โม่ ณ ทางออกของชนเผ่าก่อนโบกมือร่ำลากันแม้ไม่เต็มใจนัก
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ที่ชนเผ่าเอลฟ์เป็นเวลาร่วมทั้งหมดสองเดือน และในเวลานี้สถานการณ์ข้างนอกก็ถือว่าตึงเครียดมากขึ้น
หลังจากฉินอวี้โม่ผนึกกำลังดินแดนทางเหนือได้สำเร็จ อิทธิพลของฉินเทียนที่อยู่ในดินแดนทางใต้ก็แผ่ขยายออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ผนึกกำลังดินแดนทางใต้ที่วุ่นวายได้ นอกเหนือจากดินแดนทางเหนือและทางใต้ นครเวหา นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ นครล่าฝันและวิหารทมิฬก็บรรลุความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกันและกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรที่แกร่งกล้า
ยิ่งไปกว่านั้น สมาคมช่างหลอมที่มักไม่แสดงทัศนคติหรือจุดยืนที่โจ่งแจ้งก็ตกลงอยู่ฝ่ายเดียวกับนครล่าฝัน
แน่นอนว่าอารามโชติช่วง นิกายหงส์มังกรและนครหมื่นอสูรเป็นพันธมิตรต่อกันอย่างไม่มีพิธีเป็นทางการอยู่แล้วและพวกเขาไม่เคยปิดบังจุดยืนของตน พวกเขาบุกโจมตีขุมกำลังขนาดกลางบางแห่งในดินแดนอย่างบ้าคลั่งส่งผลให้ขุมกำลังขนาดเล็กถึงขนาดกลางหลายแห่งต่างก็กระสับกระส่ายเป็นกังวลอยู่พักใหญ่
นอกเหนือจากสมาคมช่างหลอม สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็เลือกฝ่ายแล้วเช่นกันโดยเลือกเป็นพันธมิตรกับนิกายหงส์มังกรและกลายเป็นลิ่วล้อของฝ่ายมาร
เวลานี้สมาคมโอสถและสมาคมทหารรับจ้างยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจับตาดูสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไป
ถึงอย่างไรหลายขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่ก็ตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของฝ่ายมารเป็นอย่างดีและไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพวกเขา เพราะเหตุนั้น บางขุมกำลังจึงหวังที่จะวางตัวเป็นกลางและต้องการที่จะทิ้งระยะห่างจากทั้งสองฝ่ายโดยไม่ทำให้ฝ่ายใดต้องขุ่นเคืองใจ
เกาะวายุนิ่งซึ่งมีจุดยืนที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน เวลานี้ผู้นำขุมกำลังยังคงหมกมุ่นอยู่กับการหลอมอุปกรณ์และไม่เข้าร่วมในสถานการณ์วุ่นวายของดินแดน
และระหว่างช่วงที่ผ่านมา คนจากฝ่ายมารก็ปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายขุมกำลังที่เกลียดชังฝ่ายมารก็ถูกฝ่ายมารปราบปรามได้เป็นจำนวนมากและแม้แต่ขุมกำลังบางแห่งก็ถูกทำลายไปโดยตรง
สิ่งนี้ทำให้บรรดาขุมกำลังที่มีจุดยืนตรงข้ามกับฝ่ายมารต่างก็กระสับกระส่ายขึ้นมาและเป็นกังวลว่าพวกเขาอาจเป็นรายต่อไปที่ถูกทำลาย
ขุมกำลังบางแห่งได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปหาขุมกำลังใหญ่อย่างนครล่าฝันด้วยหวังว่าจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของพวกเขาเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากพันธมิตรใหญ่ที่แข็งแกร่งมั่นคง
แน่นอนว่ามู่อวิ๋นไม่ยอมตกลงโดยง่าย หากต้องการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของพวกเขา ขุมกำลังเหล่านั้นจะต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันก่อนว่าคนเหล่านั้นต้องการต่อสู้ประจันหน้ากับขุมกำลังมารร้ายเคียงข้างพันธมิตรของพวกเขาอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนั้น ดินแดนทางเหนือของฉินอวี้โม่ก็ได้รับจดหมายเชื้อเชิญจากขุมกำลังที่แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็คาดไม่ถึง
.