อสูรทั้งสามชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเงื่อนไขของซิว จากนั้นพวกมันก็หันมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนสิงโตเพลิงทองกล่าวพร้อมยิ้มร่า “การได้เป็นอสูรมายาของมนุษย์มิใช่สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้นั้นเป็นใคร !”
สายตาของมันเลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ หากได้เป็นอสูรมายาของหนึ่งในมนุษย์สองคนนี้ พวกมันก็พอจะยอมรับได้
ตลอดพันปีที่ผ่านมา พวกมันได้พานพบประสบการณ์ทุกรูปแบบ การได้เป็นอสูรมายาที่เป็นดั่งสหายร่วมทางของมนุษย์ถือเป็นจุดหมายที่ดีที่สุดสำหรับอสูร หากได้พบเจ้านายที่เหมาะสม มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
เพียงแต่ว่า ในฐานะอสูรมายาระดับนภาเซียนขั้นสูงสุด พวกมันก็ย่อมมีความต้องการและความคาดหวังในตัวผู้เป็นนายในระดับที่สูงเช่นกัน หากไม่เก่งกาจหรือดีพอที่จะทำให้พวกมันยอมจำนนได้อย่างแท้จริง พวกมันก็ไม่อาจยอมรับคนผู้นั้นได้
“จิ๊จิ๊จิ๊ ถือว่าพวกเจ้ายังมีความเฉลียวฉลาดอยู่ทีเดียว หากพวกเจ้ากล้าดูถูกเหยียดหยามนายของข้า ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนพวกเจ้าให้สาสม !”
เสียงของกิเลนอัคคีดังขึ้นในหูของอสูรทั้งสามและร่างของมันปรากฏขึ้นถัดจากซิว มันเป็นอสูรมายาเพียงตัวเดียวที่ไม่หวาดหวั่นหรือสะทกสะท้านต่อแรงกดดันอันทรงพลังของซิว อีกทั้งยังเป็นเพียงตัวเดียวที่มีทั้งสายเลือดและความแข็งแกร่งที่มากพอจะทัดเทียมกับซิวได้
กิเลนอัคคี—ราชาแห่งกิเลนทั้งปวง ต่อให้เป็นเทพอสูรก็ยังต้องเกรงใจและไว้หน้ามันเช่นกัน !
“ราชาแห่งกิเลน—กิเลนอัคคี !”
เมื่อกิเลนอัคคีปรากฏตัว อสูรทั้งสามก็อดอุทานออกมาไม่ได้ ไม่คิดเลยว่านอกจากเทพอสูรผู้ทรงพลังแล้ว ครานี้ยังมีราชาแห่งกิเลนในตำนานปรากฏตัวขึ้นมาอีก สำหรับกิเลนอัคคีนี้ แม้ไม่มีแรงกดดันที่น่าเกรงขามเท่ากับเทพอสูร ทว่ามันก็มีความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการ ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นดั่งราชาแห่งธรณีซึ่งแม้แต่เทพอสูรก็อาจจะเอาชนะมันมิได้หากเป็นการต่อสู้บนพื้นดิน
ไม่คาดคิดเลยว่าอสูรที่แกร่งกล้าเช่นนี้จะเป็นอสูรมายาคู่กายของบุรุษที่มากับซิว โชคดียิ่งนักที่อสูรทั้งสามไม่กล่าววาจาดูหมิ่นเขาก่อนหน้านี้ มิฉะนั้น เกรงว่าพวกมันจะต้องเจ็บตัวและเสียเลือดเสียเนื้ออย่างแน่นอน !
“เอาล่ะ เราไปพบกับผู้นำเผ่าอสูรในปัจจุบันกันก่อนเถอะ ข้าอยากรู้นักว่ามันจะเตรียมแหฟ้าตาข่ายดินอะไรไว้รอพวกเรา !”
* 天罗地网 แหฟ้าตาข่ายดิน เปรียบถึงการล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่น, วางกรอบดักศัตรู
ทุกวันนี้ กิเลนอัคคีและซิวมีความเข้าใจที่ตรงและมีความสนิทสนมกันมาก ราวกับว่าพวกมันทั้งสองแทบรอที่จะกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกันไม่ได้ สำหรับความบาดหมางอันมากมายระหว่างซิวและพี่ชาย แน่นอนว่ากิเลนอัคคีก็ย่อมแบ่งปันความเกลียดชังร่วมกันกับซิวและไม่ชอบหน้าผู้นำของเผ่าอสูรตนนั้นเช่นกัน
หากต้องเผชิญหน้ากับเทพอสูรผู้ทรงพลังและกิเลนอัคคีราชาแห่งธรณี ทั้งเผ่าอสูรจะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน ต่อให้อีกฝ่ายเตรียมแหฟ้าตาข่ายดินรอพวกมันอยู่แล้วก็ยากที่จะส่งผลกระทบใด ๆ ต่ออสูรแกร่งกล้าทั้งสองได้
อสูรดุร้ายทั้งสามก็ไม่กล้ากล่าววาจาขัดข้องใด ๆ และกระตุ้นการทำงานของค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อส่งคณะของซิวเข้าไปข้างในเผ่าอสูรอย่างรวดเร็ว
“ขุยหนิว เหตุใดเจ้าไม่บอกท่านซิวล่ะว่าผู้นำเผ่าอสูรวางแหฟ้าตาข่ายดินรอท่านซิวไว้นานแล้ว ?”
สิงโตเพลิงทองกล่าวด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ มันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดขุยหนิวและอสรพิษแปดหัวถึงไม่เตือนซิวเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“เจ้าโง่ ! นี่คือการผนึกกำลังรวมกันของเทพอสูรและกิเลนอัคคี ต่อให้ระดมพลสมาชิกทั่วทั้งเผ่าอสูรมา คาดการณ์ได้เลยว่าคงเทียบกับทั้งสองไม่ได้ด้วยซ้ำ แรงกดดันอันทรงพลังของท่านซิวเพียงอย่างเดียวก็ลดทอนความแข็งแกร่งของอสูรทุกชีวิตได้มากแล้ว ต่อหน้าพลังอำนาจอันเหนือชั้นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นแผนการสมคบคิด กับดักหรือการซุ่มโจมตีใด ๆ ก็ล้วนไร้ประโยชน์ !”
อสรพิษแปดหัวมองสิงโตเพลิงทองอย่างสบประมาทและจิตของมันก็แผ่เข้าไปในเผ่าอสูรแล้ว แน่นอนว่ามันต้องอยากทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์สนั่นสะเทือนแผ่นดินอย่างไรขึ้นข้างในนั้น
สิงโตเพลิงทองก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันทีที่ได้ยินวาจาของอสรพิษแปดหัว หากเผชิญหน้ากับพลังมหาศาลเช่นนั้น กลอุบายหรือกับดักใด ๆ ก็ล้วนเปล่าประโยชน์จริง ๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตของมันก็แผ่เข้าไปในเผ่าอสูรเช่นกัน มันเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซิว ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะน่าหวาดหวั่นเช่นเดียวกับเมื่อพันปีก่อนหรือไม่…
หลังจากแสงสว่างวาบครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่และคณะก็ปรากฏตัวขึ้นมาในเผ่าอสูรแล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้สำรวจสังเกตการณ์โดยรอบ พวกนางก็ถูกอสูรกลุ่มใหญ่เข้าล้อมรอบเสียก่อน
“หึ น้องชายข้า ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมา !”
น้ำเสียงแหลมดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่ร่างบุรุษร่างหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ
บุรุษร่างมนุษย์ผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับซิวพอสมควร เวลานี้มันสวมอาภรณ์สีเขียวด้วยรูปร่างผอมบางและรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก หากเทียบกับซิว บุรุษผู้นี้ดูมีกลิ่นอายความอ่อนโยนของสตรีมากกว่าซึ่งอาจทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
มันคือผู้นำของเผ่าอสูรตนปัจจุบันนั่นเองและยังเป็นพี่ชายบิดามารดาเดียวกับซิว—เจ๋อหลิว
พี่ชายผู้นี้มีอายุมากกว่าซิวเพียงไม่ถึงสองปีเท่านั้นและได้รับความรักความเอาใจจากบิดามารดามาตั้งแต่เด็กจนพัฒนาเป็นนิสัยวางตัวสูงส่งเหนือผู้อื่นเช่นนี้
หากกล่าวถึงความบาดหมางที่มีระหว่างมันและซิว จุดเริ่มต้นของมันก็ซับซ้อนไม่น้อย
เมื่อพันปีก่อน ซิวในวัยเด็กทำพันธสัญญาเป็นอสูรของเทพมายาฉินเฟยเหยียนและติดตามอยู่กับนางมาตั้งแต่ตอนนั้น ในขณะเดียวกัน เจ๋อหลิวก็ไม่เคยทราบเลยว่าตนมีน้องชายและไม่ทราบเรื่องนั้นจนกระทั่งเติบโตขึ้น
เนื่องจากความรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผู้นำของเผ่าอสูรตนก่อนและภรรยาจึงเป็นห่วงซิวอย่างที่สุด แม้รักเจ๋อหลิวมาก ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน บุตรที่พวกมันคิดถึงมากที่สุดก็คือซิวที่แยกไปอยู่กับฉินเฟยเหยียน
ด้วยเหตุนั้น เจ๋อหลิวจึงไม่พอใจซิวเพราะรู้สึกว่าน้องชายได้รับความสนใจจากบิดามารดามากเกินไป และเดิมทีเจ๋อหลิวก็มีลักษณะนิสัยยโสโอหังไม่เห็นหัวมนุษย์อยู่แล้วจึงรู้สึกเกลียดชังซิวมากขึ้นที่ยอมลดตัวไปเป็นอสูรมายาของมนุษย์และคิดว่าเป็นความอับอายของมังกรผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุนั้น มันจึงมองน้องชายด้วยความรู้สึกรังเกียจชิงชังมาตลอดและไม่เคยต้องการสานสัมพันธ์พี่น้อง
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของซิว ในตอนนั้นเองที่เจ๋อหลิวทราบว่าแท้จริงแล้วซิวเป็นมังกรทองสิบเล็บซึ่งเป็นสายเลือดที่สูงส่งกว่าตนและเป็นสายเลือดที่แท้จริงของเทพอสูร แน่นอนว่านั่นทำให้เจ๋อหลิวที่อิจฉาซิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมีความคิดแค้นและหมายมั่นที่จะสังหารให้สิ้นซาก
หากมิใช่เพราะการดำรงอยู่ของซิว มันก็คงจะกลายเป็นผู้ที่มีสถานะสูงที่สุดในโลกของอสูรซึ่งมีทั้งความแข็งแกร่งและพรสวรรค์เหนือกว่าอสูรทุกชีวิต แล้วเหตุใดน้องชายที่กลายเป็นอสูรมายาของมนุษย์จึงมีพรสวรรค์ที่สูงกว่าและมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าตนเสียอีก เจ๋อหลิวจึงไม่พอใจอย่างยิ่งและรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
เพราะเหตุนั้น ต่อให้ซิวไม่อยู่ในเผ่าอสูร เจ๋อหลิวก็พยายามหาทางจัดการกับซิวอยู่เสมอ แรกเริ่มเดิมที เผ่าอสูรก็ต้องการเสนอให้ซิวเป็นผู้นำของเผ่าอสูรตนต่อไป ทว่าถูกปฏิเสธโดยผู้นำเผ่าอสูรตนก่อน
ซิวมีสายเลือดของเทพอสูรและเกิดมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากมาย มันจะต้องเป็นอสูรประจำตัวของเทพมายาและติดตามนางเพื่อช่วยสะสางปัญหาความยากลำบากและอุปสรรคเสียก่อน
สิ่งนี้ทำให้เจ๋อหลิวริษยาและชิงชังซิวยิ่งกว่าเดิม ความต้องการกำจัดซิวในใจของมันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการให้ซิวหายไปจากดินแดนนี้เสีย
ในสงครามประจันหน้ากับฝ่ายมารเมื่อพันปีก่อน แท้จริงแล้วอดีตผู้นำเผ่าอสูรและภรรยาของมันไม่ควรที่จะจบชีวิตไป ทว่าเนื่องจากความเคียดแค้นและจิตสังหารที่เจ๋อหลิวมีต่อซิว ทั้งสองจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามปกป้องซิวไว้ และท้ายที่สุดทั้งสองก็เสียชีวิตไปจากการต่อสู้กับผู้นำของฝ่ายมาร
ในครานั้น หลังจากการตายของผู้นำเผ่าอสูร เจ๋อหลิวก็นำอสูรจำนวนหนึ่งเข้ายึดครองเผ่าอสูรและจัดการปราบปรามบรรดาอสูรที่ไม่สนับสนุนมันจนสุดท้ายก็ได้กลายเป็นผู้นำของเผ่าอสูรตามที่ต้องการ
เมื่อได้ยินข่าวเรื่องการตายของซิว แน่นอนว่าผู้ที่มีความสุขที่สุดก็คือเจ๋อหลิวซึ่งมองซิวเป็นศัตรูมาตลอด เมื่อปราศจากศัตรูที่เกลียดชัง ในที่สุดมันก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างโล่งใจ
อย่างไรก็ตาม เจ๋อหลิวมิใช่อสูรที่จิตใจดี ภายใต้การปกครองของมันตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอสูรที่เคยปรองดองกันดีก็กลับกลายเป็นความตึงเครียด ซ้ำร้ายก่อนหน้านี้สถานการณ์ก็เลวร้ายลงอีกมากเพราะวิธีการชั่วร้ายของมันที่คิดจะล่อลวงให้ซิวปรากฏตัวออกมา
หากมิใช่เพราะการปรากฏตัวของซิวในครานี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่นึกสงสัยเลยว่าจะต้องเกิดสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรก่อนถึงสงครามกับฝ่ายมารอย่างแน่นอน !
ในความเป็นจริง ซิวมิได้สนใจในอำนาจแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้นำของเผ่าอสูรหรือตัวตนของเทพอสูร มันก็ไม่สนใจเลยสักนิด แท้ที่จริงแล้วหัวใจของมันไม่มีความต้องการที่จะเอาชนะพี่ชายของตน เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนนั้นยากที่จะลืมเลือน การตายอย่างน่าเศร้าของบิดามารดาทำให้ไม่มีทางที่ซิวจะอภัยให้เจ๋อหลิวได้เลย ตอนนี้การที่เผ่าอสูรเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ซิวก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะสะสางปัญหาความบาดหมางทั้งหมดให้จบสิ้น !
“เหอะ เมื่อพันปีก่อน หากไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านพ่อท่านแม่ก็คงจะไม่ตาย ข้าให้สัญญากับท่านทั้งสองไว้ว่าจะไม่ฆ่าเจ้า ทว่าตอนนี้ข้าคงทำไม่ได้ !”
ซิวยิ้มเล็กน้อยขณะนึกถึงบิดามารดาที่มันรู้สึกผิดมาตลอด ทว่าตอนนี้มันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ในตอนนั้นมันถือโทษทั้งสองมาโดยตลอดว่าเหตุใดทั้งสองจะต้องส่งมันไปเป็นอสูรมายาของฉินเฟยเหยียนตั้งแต่ยังเด็กมาก ทว่าตอนนี้ในที่สุดมันก็เข้าใจบางอย่างได้แล้ว
“แล้วอย่างไร ? ท่านพ่อท่านแม่รักเจ้ามากจนไม่สนใจข้า เรื่องตอนนั้นมันเป็นชะตากรรมของพวกท่านแล้ว อีกอย่าง…หากพวกท่านไม่ตายไป เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะมีโอกาสได้ครอบครองเผ่าอสูร ?”
เจ๋อหลิวแสยะยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย มันไม่สนใจว่าใครจะได้ยินคำพูดนี้และไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปเลยสักนิด นี่คือสิ่งที่มันต้องการมาตลอดและเป็นสิ่งที่มันตั้งใจให้เกิดขึ้น
หากไม่ทำเช่นนั้น แล้วมันจะยึดอำนาจการปกครองเผ่าอสูรและพัฒนาความแข็งแกร่งมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ?
น่าเสียดายที่ซิวโชคดีและไม่ตายไปตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน อีกทั้งยังกลับมาที่เผ่าอสูรได้อย่างปลอดภัยดี ! ทว่าถึงอย่างไรมันก็ไม่สำคัญ ซิว…วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า !
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มันก็แผ่จิตสังหารแรงกล้าออกไปอย่างเปิดเผย มันจงใจทำให้อสูรทั้งดินแดนคลุ้มคลั่งเพื่อหลอกล่อซิวมาที่นี่และสังหารให้สิ้นซาก เจ๋อหลิวต้องการแสดงให้บิดามารดาที่ล่วงลับได้เห็นเสียทีว่าบุตรตนใดแข็งแกร่งที่สุด !
“ฮ่า ๆ ๆ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอาจหาญถึงขั้นมาที่นี่ด้วยตัวเองเช่นนี้ นึกว่าเจ้าจะกลัวจนหัวหดและไม่กล้าเสนอหน้าออกมาแล้วเสียอีก !”
เจ๋อหลิวแสยะยิ้มก่อนสังเกตเห็นฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและกิเลนอัคคีที่อยู่ข้างหลังซิว
“จิ๊จิ๊จิ๊ ไม่คิดเลยว่าผู้นำเผ่าอสูรในยุคสมัยนี้จะเป็นอสูรที่จิตใจชั่วช้ายิ่งนัก มันทำให้ข้าตาสว่างดีจริง ๆ !”
กิเลนอดกล่าวเหน็บแนมไม่ได้ อสูรที่สังหารได้แม้กระทั่งบิดามารดาและพยายามฆ่าน้องชายของตนได้อย่างสบายใจและไร้ความรู้สึกผิดเช่นนี้ เผ่าอสูรช่างโง่เขลาจริง ๆ ที่ยอมจำนนต่อผู้นำชั่วร้ายได้นานนับพันปี
“กิเลนอัคคีรึ ?”
เมื่อสัมผัสได้พลังของกิเลนอัคคี เจ๋อหลิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มันทราบดีว่าราชาแห่งกิเลนในตำนานแกร่งกล้าเพียงใด เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าซิวจะมีสหายที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่
“ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าเตรียมกับดักอะไรไว้รอพวกเรา ? หรือว่าเจ้าจะร่วมมือกับพวกคนชั่วจากฝ่ายมารมานานแล้ว ?”
ซิวกล่าวขึ้นเบา ๆ และคาดเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอสูรเหล่านี้ แม้ทั้งสองฝ่ายสาดวาจาตอบโต้กันพักใหญ่ เหล่าอสูรรอบตัวก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ สีหน้าของพวกมันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด การแสดงออกเหล่านี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกมันถูกควบคุมโดยบางสิ่งบางอย่าง
“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดจริง ๆ ! ในเมื่อเจ้าคาดเดาได้แล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอีก !”
เจ๋อหลิวหัวเราะอย่างพึงพอใจก่อนปรบมือส่งสัญญาณ จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่และคณะ .