อีกฟากหนึ่งของชนเผ่ามายา หานโม่ฉือกำลังต่อสู้อยู่กับบุรุษร่างสูงใหญ่อย่างดุเดือด
บุรุษลึกลับผู้นี้ทรงพลังอย่างยิ่ง และแม้ใช้เพียงการเคลื่อนไหวที่ธรรมดา เขาก็สามารถประจันหน้ากับหานโม่ฉือได้อย่างสูสีโดยที่ไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย
หานโม่ฉือก็เรียกกิเลนอัคคี มังกรเหมันต์และอสูรอื่น ๆ ออกมาเพื่อให้พวกมันร่วมโจมตีบุรุษบ้าคลั่งผู้นี้เช่นกัน
แม้หานโม่ฉือมั่นใจว่าสามารถสังหารบุรุษผู้นี้ได้ แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เขากลับทำเช่นนั้นไม่ลง เขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาดกับบุรุษผู้นี้ซึ่งทำให้เขาไม่อาจตัดสินใจทำร้ายให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้
“พวกเจ้าถ่วงเวลาไว้ ข้าจะไปช่วยตัวประกัน”
เขากล่าวสั่งการเหล่าอสูรมายาก่อนร่างของเขาหายวับไปตรงหน้าพวกมัน
กิเลนอัคคีและอสูรอื่น ๆ ก็ล้วนแต่ชาญฉลาดทั้งสิ้น หากเป็นเพียงการถ่วงเวลาและสกัดกั้นบุรุษผู้นี้ไว้ มันก็มิใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกมัน จากนั้นอสูรจำนวนหนึ่งก็ล้อมรอบบุรุษผู้นั้นไว้และทำให้ติดพันจนแทบเคลื่อนไหวไปไม่ได้
แน่นอนว่าบุรุษผู้นั้นโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ทว่าในเมื่อไม่มีทางกำจัดเหล่าอสูรมายารอบตัว เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้หานโม่ฉือเข้าไปข้างในเขตต้องห้ามของชนเผ่ามายา
ภายในพื้นที่ต้องห้ามของชนเผ่ามายา ฝูหยาจือนั่งอยู่ในนั้นอย่างใจเย็นและไร้ความตื่นตระหนกใด
พลังของเขาถูกฉินมู่ยวี่ปิดผนึกไว้และไม่มีทางที่เขาจะหนีไปจากที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีใครบางคนคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างหน้านั้น การหลบหนีของเขาก็ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เสียอีก
เพียงไม่นานก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ฉินมู่ยวี่ก็ส่งคนมาพาตัวฉินเหยียนออกไปและเขาคาดเดาได้ทันทีว่าน่าจะเป็นเพราะฉินเฟิงมาถึงที่นี่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีความสามารถหรือช่วยอะไรได้ เขาจึงทำได้เพียงภาวนาให้ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ปลอดภัยดี
ในขณะที่เขาหลับตาและทำสมาธิอยู่นั้น จู่ ๆ ฝูหยาจือก็รู้สึกถึงกลิ่นอายทรงพลังเข้ามาในเขตต้องห้าม และเมื่อหันหลังกลับไป เขาก็พบกับหานโม่ฉือที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ท่านจอมยุทธ์อวี้เฟิง ?”
เมื่อเห็นหน้าหานโม่ฉือ ฝูหยาจือก็ชะงักไปครู่หนึ่งและภาพของบุรุษคนหนึ่งจากเมื่อพันปีก่อนก็ผุดขึ้นในหัว
เมื่อพันปีก่อน เขาเองก็เคยได้พบปะพูดคุยกับอวี้เฟิง การที่ตอนนี้เขาจะเห็นหานโม่ฉือเป็นอวี้เฟิงจากในอดีตจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ข้ามาช่วยท่านออกไป”
หานโม่ฉือพยักศีรษะโดยไม่ปฏิเสธหรือกล่าวอธิบายสิ่งใด เขาคืออวี้เฟิงไม่ผิดแน่ เพียงแต่มิใช่อวี้เฟิงคนเดิมจากในอดีต วันนี้เขาชื่นชอบสถานะหานโม่ฉือมากกว่าและมีความสุขกับสถานะนี้ของตน
“ท่านเทพมายามาด้วยรึไม่ ?”
ฝูหยาจือยืนขึ้นและเอ่ยถามทันทีที่นึกบางอย่างขึ้นได้
“ตอนนี้นางและฉินเฟิงกำลังถ่วงเวลาอยู่ ตราบใดที่ข้าช่วยท่านสำเร็จ ทั้งสองก็จะไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะอีกครั้ง เขาไม่รอช้าและหยิบกำไลเชิงมิติที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตออกมาทันที
“ข้าต้องพาท่านออกไปก่อน”
หลังจากกล่าวกับฝูหยาจือเพียงสั้น ๆ หานโม่ฉือก็นำตัวฝูหยาจือเข้าไปในมิติพิเศษภายในกำไลนั้นทันที หลังจากช่วยชีวิตตัวฝูหยาจือได้สำเร็จ เขาก็หันหลังกลับและตรงไปทางข่ายอาคมอีกครั้ง
“กิเลน ไปกันเถอะ”
หลังจากชำเลืองมองบุรุษลึกลับที่มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน หานโม่ฉือก็เพียงกล่าวขึ้นเบา ๆ และพุ่งตรงออกไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว
กิเลนอัคคีและอสูรอื่น ๆ ก็โจมตีเพื่อสลัดออกจากบุรุษผู้นั้นก่อนตามฝีเท้าของหานโม่ฉือไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
บุรุษร่างสูงคำรามดังสนั่นทว่าไม่ได้ตามพวกมันไป ในทางกลับกัน เขาเพียงหันหลังกลับเข้าไปในเขตต้องห้ามก่อนนั่งลงและหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงบางอย่าง
“ตามหาโม่เอ๋อร์และเข้าไปสมทบกันเถอะ !”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นอีกครั้งและร่างของเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงทันที
เวลานี้ ฉินอวี้โม่เองก็กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเช่นกัน
นางและฉินมู่ยวี่เผชิญหน้ากันกลางอากาศในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเรียกเหล่าอสูรมายาของตนออกมา
“ฉินมู่ยวี่ ไม่ได้พบหน้ากันนานนับพันปี ดูเหมือนเจ้าจะไม่แข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่นัก !”
ซิวกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ในอดีตครานั้น หากมิใช่เพราะฉินมู่ยวี่ หลายสิ่งหลายอย่างก็คงจะไม่เกิดขึ้นและฝ่ายมารก็คงจะถูกกวาดล้างไปจนสิ้นซาก
“ซิว เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ความแข็งแกร่งของเจ้ากลับคืนสู่ระดับสูงสุดแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าในอดีตเสียอีก !”
ฉินมู่ยวี่มองตรงไปที่ซิวและกล่าวด้วยสีหน้าใจเย็น ความแข็งแกร่งของซิวในตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมิใช่คู่มือของนาง
“เรื่องนี้ก็คงต้องขอบคุณเจ้า หากมิใช่เพราะการทำพันธสัญญากับนายหญิงอวี้โม่ ข้าก็คงจะไม่สามารถพัฒนาตนเองได้อีก”
ซิวคลี่ยิ้มบางก่อนกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องชดใช้กับทุกอย่างที่ทำไปเมื่อพันปีก่อน วันนี้เรามาสะสางความบาดหมางทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการสะสางตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนกันเถอะ !”
หลังจากกล่าวจบ ซิวก็กลับคืนร่างเดิมของมันและมังกรทองสิบเล็บขนาดใหญ่ก็ปรากฏกลางอากาศขณะสายตาจับจ้องไปที่เหล่าอสูรมายาข้างกายฉินมู่ยวี่
บรรดาอสูรมายาของฉินมู่ยวี่ก็ถือว่ามีสายเลือดในระดับที่สูงมากเช่นกัน ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเทพอสูรผู้ทรงพลัง แน่นอนว่าพลังของพวกมันก็ย่อมลดน้อยลงเป็นธรรมดา
อสูรมายาอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ก็ออกไปประจันหน้ากับพวกมันอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามิใช่คู่มือของข้าหรอก !”
ทันใดนั้น ฉินมู่ยวี่ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนร่างของนางค่อย ๆ หายไปกลางอากาศ แม้แต่กลิ่นอายของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่านางไม่เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน
“หืมมม ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ด้วยความฉงนสงสัยและไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย ร่างของนางหายวับไปและปรากฏตัวในคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างรวดเร็ว ในเมื่อฉินมู่ยวี่หายตัวได้ นางก็ทำได้เช่นกัน
เพียงแต่ฉินมู่ยวี่ใช้ข่ายอาคมบางอย่าง ในขณะที่ฉินอวี้โม่ใช้คฤหาสน์มิติ
“เอ๋ ?”
เมื่อฉินอวี้โม่หายวับไปอย่างกะทันหัน ฉินมู่ยวี่ก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความตกตะลึงและส่งเสียงออกไปด้วยความสับสนอย่างไม่รู้ตัว
ตูมมม !
เป็นเพราะความตกตะลึงนี้เองที่ทำให้ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงตำแหน่งของฉินมู่ยวี่ นางปล่อยการโจมตีตรงเข้าใส่ฉินมู่ยวี่ด้วยกระบวนท่าเดียวเพื่อฉวยโอกาสในขณะที่นางไม่ทันตั้งตัว
อย่างไรก็ตาม ฉินมู่ยวี่มิใช่คนธรรมดาที่ไร้ฝีมือ ความแข็งแกร่งของนางอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงเช่นกัน และเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังจากกระบวนท่าโจมตีของฉินอวี้โม่ ม่านป้องกันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านางและขวางกั้นมันไว้ทันที
“ไม่เลวเลย ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสู้กับข้าได้ !”
ฉินมู่ยวี่กล่าวขึ้นเบา ๆ และไม่คิดที่จะดูถูกดูแคลนฉินอวี้โม่อีกต่อไป นางได้เห็นแล้วว่าสตรีผู้นี้คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางอย่างแท้จริง
ฉินเฟยเหยียนและคนอื่น ๆ ก็กำลังชมการต่อสู้จากด้านล่างและทุกคนก็ล้วนตกตะลึงเมื่อได้เห็นคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายที่หายวับไปเมื่อครู่
เว้นเพียงแต่ฉินเฟยเหยียน ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางระบุตำแหน่งของฉินอวี้โม่และฉินมู่ยวี่ได้เลย พวกเขาเพียงรู้สึกได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าของสองฝ่ายที่ปะทะกันกลางอากาศอย่างต่อเนื่องและมองดูด้วยความตื่นตะลึง
“ท่านเทพมายา หากอาจารย์ของข้าแพ้…ท่านจะไว้ชีวิตนางได้รึไม่ ?”
ฉินเหยียนหันไปหาฉินเฟยเหยียนและอดกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ได้คิดที่จะฆ่านางหรอก”
ฉินเฟยเหยียนหัวเราะเบา ๆ นางไม่มีความคิดที่จะสังหารฉินมู่ยวี่ตั้งแต่แรก แท้จริงนางเพียงต้องการให้ฉินมู่ยวี่ตระหนักถึงความผิดที่เคยกระทำก็เท่านั้น
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี !”
ฉินเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ตราบใดที่ฉินเฟยเหยียนไว้ชีวิตฉินมู่ยวี่ นางและฉินเฟิงจะได้ครองรักกันอย่างมีความสุขโดยไม่มีความกังวลหรือความรู้สึกผิดใด ๆ
นางหันไปสบตาฉินเฟิงและพบรอยยิ้มของเขาก่อนเอื้อมมือไปจับมือของเขาไว้ นางไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าวันหนึ่งตนและบุรุษที่รักจะได้ลงเอยด้วยกัน
“ฉินเหยียน…นับจากนี้ไป เราจะไม่แยกจากกันอีก !”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
“ตกลง !”
ฉินเหยียนก็พยักหน้าหงึกหงักและตอบรับอย่างจริงจัง
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้จริง ๆ”
ฉินเฟยเหยียนได้ยินบทสนทนาของทั้งสองและกล่าวอย่างติดตลก
ถึงอย่างไรฉินเฟิงก็เป็นคนที่ฉินเฟยเหยียนเก็บมาเลี้ยงดูและถือได้ว่าเป็นบุตรของนาง แม้ฉินเฟยเหยียนจะไม่ได้ดูแลมากนัก ทว่านางก็ดีกับเขามาก และการที่นางจะปฏิบัติต่อเขาดั่งบุตรชายก็ไม่ถือเป็นการกระทำที่มากเกินไป
“ข้าก็พึงพอใจเช่นกัน”
เสียงของฝูหยาจือดังขึ้นในหูของทุกคนส่งผลให้ฉินเฟิงและฉินเหยียนชะงักไปเล็กน้อยทันที
จากนั้นร่างของหานโม่ฉือและผู้อาวุโสฝูหยาจือก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน
“ท่านพ่อบุญธรรม !”
เมื่อเห็นฝูหยาจือ ใบหน้าของฉินเฟิงก็ฉายแววความตื่นเต้นดีใจทันที เขารีบเดินตรงไปหาบิดาบุญธรรมและคุกเข่าลงตรงหน้าทันที
หากมิใช่เพราะเขา ฝูหยาจือก็คงไม่ต้องเผชิญความทุกข์ทรมานมากมาย เขาไม่ได้ทำหน้าที่บุตรชายและไม่เคยได้ดูแลผู้อาวุโสฝูหยาจือตามที่ควร
“เด็กดี ลุกขึ้นเถอะ !”
ฝูหยาจือประคองฉินเฟิงลุกขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้พบหน้าเจ้ามานานหลายปี ในเมื่อเจ้าเติบโตขึ้นแล้วเจ้าก็ควรรู้ว่าควรทำอย่างไร ฉินเหยียนเป็นเด็กดีทีเดียว เจ้าต้องดีกับนางให้มาก หากกล้าทำให้นางเสียใจ ข้าจะจัดการเจ้าเอง !”
ฝูหยาจือหันไปมองฉินเหยียนข้างกายบุตรบุญธรรมของตนและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขารู้สึกชื่นชอบบุตรสะใภ้ผู้นี้เป็นอย่างมาก
“ท่านลุงฝูหยาจือ…”
ฉินเหยียนมีท่าทีเขินอายทว่าไม่กล่าวสิ่งใด การได้อยู่ด้วยกันกับฉินเฟิงถือเป็นผลลัพธ์ที่นางไม่เคยคาดถึงและในเวลานี้นางก็ไม่มีความคาดหวังให้กับสิ่งอื่นใดอีก
“ฝูหยาจือ ไม่ได้พบกันนานนับพันปี ดูเหมือนว่าเจ้าจะทุ่มเทพยายามมามากทีเดียว”
ฉินเฟยเหยียนมองฝูหยาจือด้วยความรู้สึกดีใจ แรกเริ่มเดิมที ฝูหยาจือคือลูกน้องที่นางไว้วางใจมากที่สุด ทว่าด้วยเหตุผลพิเศษบางประการ เขาจึงมักซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดมาเสมอ ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะเขาอดทนต่อความอัปยศอดสูและเลี้ยงดูฉินเฟิงอยู่ในชนเผ่ามายา นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะเหตุนั้น ฉินเฟยเหยียนจึงมีความซาบซึ้งใจต่อฝูหยาจืออย่างมาก เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็เป็นความสัมพันธ์ที่เข้าใจกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด
“นายหญิงฉินเฟยเหยียน !”
ฝูหยาจือมองอดีตเทพมายาด้วยแววตาตื่นเต้นอย่างชัดเจน เขากำลังจะคุกเข่าลงทว่าฉินเฟยเหยียนประคองเขาไว้เสียก่อน
“สหายเก่าแก่เอ๋ย เวลาผ่านมานับพันปีแล้ว ตอนนี้เราก็ถือเป็นสหายธรรมดาต่อกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องเคารพต่อข้าเหมือนในอดีตอีกต่อไป”
ฉินเฟยเหยียนยิ้มและกล่าวออกไปในขณะที่ยังประคองร่างของผู้อาวุโสฝูหยาจือไม่ปล่อย
ทั้งสองสบตากันและยิ้มออกมาด้วยความเข้าใจที่ตรงกันเฉกเช่นสหายอย่างแท้จริง
“เฟยเหยียน”
หานโม่ฉือเดินตรงเข้ามาและกล่าวทักทายฉินเฟยเหยียน เขาเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าฉินเฟยเหยียนผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ อวี้เฟิง ในที่สุดเจ้าก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ”
ฉินเฟยเหยียนสบตาหานโม่ฉือและกล่าวด้วยความยินดี เมื่อพันปีก่อน เขาไม่ลังเลที่จะใช้วิชาอัญเชิญจิตที่แสนอันตรายเพื่อช่วยคนรัก และตอนนี้สิ่งที่เขายอมแลกมาทั้งหมดก็เกิดผลอย่างแท้จริงแล้ว
“ขอบคุณมาก”
หานโม่ฉือเพียงยิ้มบาง ๆ ในอดีตครานั้น ฉินเฟยเหยียนก็มีส่วนช่วยเขาไม่น้อยเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความยินดี”
ฉินเฟยเหยียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนชี้ไปกลางอากาศและกล่าวต่อ “อวี้โม่กำลังต่อสู้อยู่กับฉินมู่ยวี่ เรามารอดูสถานการณ์ของนางกันเถอะ”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและเลื่อนสายตาไปตามทิศทางของฉินอวี้โม่ ถึงแม้ว่าร่างของนางจะหายไปในเวลานี้ เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่านางอยู่ที่ใดและสายตาของเขาก็จดจ่อไปที่นางได้อย่างแม่นยำ