“ฉินเฟยเหยียน แม้วันนี้เจ้าจะไม่ฆ่าข้า ข้าก็ไม่มีทางซาบซึ้งใจต่อเจ้าหรอก !”
ฉินมู่ยวี่กวาดสายตามองฉินเฟยเหยียน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นนางก็ไม่รอช้าและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
เมื่อมองดูทิศทางที่นางจากไป คาดการณ์ได้ไม่ยากว่านางมุ่งหน้าออกไปจากชนเผ่ามายาแล้ว
“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าจะไม่รู้สึกผิดในภายหลังรึ ?”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปหาฉินเฟยเหยียนและเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มบาง
เวลาผ่านมานับพันปีแล้วและฉินเฟยเหยียนก็ไม่เหมือนก่อนอีกต่อไป ตัวนางในวันนี้ราวกับได้ประสบพบเจอมาแล้วทุกอย่างและไม่สนใจความแค้นในอดีตอีกต่อไป เวลานี้นางดูนิ่งเฉยและยากจะคาดเดายิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนมากนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกผิดหรอก ฉินมู่ยวี่เป็นคนที่มากด้วยพรสวรรค์และมีสมองคิด ที่ผ่านมานางเพียงไม่มีทางเลือกเท่านั้น ข้าเชื่อว่านางจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอน”
ฉินเฟยเหยียนยิ้มด้วยความมั่นใจในตัวฉินมู่ยวี่
“ข้าก็หวังเช่นนั้น !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบเพียงสั้น ๆ นี่คือเรื่องระหว่างฉินเฟยเหยียนและฉินมู่ยวี่ซึ่งไม่เกี่ยวกับตน
“คารวะท่านเทพมายา !”
เมื่อได้เห็นความพ่ายแพ้ของฉินมู่ยวี่ บรรดาชาวชนเผ่ามายาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พวกเขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วและกล่าวแสดงความเคารพต่อเทพมายาคนใหม่
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ เท่านั้น นางไม่สนใจเกี่ยวกับพิธีรีตองเหล่านี้
“โม่เอ๋อร์ ข้าคงต้องไปก่อนล่ะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ดินแดนระดับสูง”
ฉินเฟยเหยียนสบตาฉินอวี้โม่และกล่าวทิ้งท้ายขณะที่ร่างของนางค่อย ๆ กลายเป็นภาพพร่ามัว พลังวิญญาณของร่างอวตารนางใกล้หมดเต็มทีและไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในดินแดนเทพมายาได้อีกต่อไป
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าที่นั่น”
ฉินอวี้โม่กล่าวให้คำมั่นและสวมกอดฉินเฟยเหยียนอย่างแนบแน่น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะรอเจ้า…และเราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันอีก !”
ฉินเฟยเหยียนหัวเราะเบา ๆ ก่อนมองไปที่หานโม่ฉือและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หานโม่ฉือ ดูแลโม่เอ๋อร์ด้วย !”
หานโม่ฉือพยักศีรษะเบา ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด ต่อให้ฉินเฟยเหยียนไม่กล่าวเช่นนี้ เขาก็จะดูแลฉินอวี้โม่ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว
“อวี้โม่ โม่ฉือ เราก็ต้องไปเช่นกัน”
ฉินเฟิงจับมือฉินเหยียนและก้าวออกมาตรงหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เวลานี้ทั้งสองดูรักกันมากและไร้ความกังวลที่มีก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง นี่คือบทสรุปที่ดีที่สุดที่ทั้งสองจะคาดหวังได้แล้ว ฉินเฟิงและฉินเหยียนไม่ต้องวางตัวเป็นศัตรูกันอีกต่อไปและจะได้อยู่ร่วมครองรักกันไปตลอด
“ท่านจะไปที่ใดรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและจู่ ๆ นางก็นึกอิจฉาฉินเฟิงและฉินเหยียนขึ้นมา หากวันหนึ่งนางและหานโม่ฉือมีโอกาสทำเช่นนี้ได้ นางก็คงจะมีความสุขอย่างที่สุด
“เราจะออกไปท่องทั่วทั้งยุทธภพ…เสมือนว่าทุกที่คือบ้านของเรา !”
ฉินเฟิงยิ้มและหันไปสบตากับสตรีข้างกายด้วยแววตาอ่อนโยน ตราบใดที่มีฉินเหยียนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะไปที่ใดเขาก็ไม่กังวล
“อวี้โม่ ข้าขอโทษจริง ๆ สำหรับความขัดแย้งที่เราเคยมีต่อกันในโลกมายาครานั้น นับจากนี้ไป เราจะไม่เป็นศัตรูคิดแค้นต่อกันอีกและจะมีเพียงมิตรภาพที่ดีเท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือสากับเรื่องราวเหล่านั้น”
ฉินเหยียนจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความจริงใจ เมื่อครั้งที่พบกันในโลกมายา นางมีความบาดหมางกับฉินอวี้โม่มากมาย ทว่าตอนนี้เรื่องเหล่านั้นก็ถูกคลี่คลายไปแล้ว
“ไม่ต้องห่วง ข้ามิใช่คนใจแคบ ศิษย์พี่ก็ได้พบความรักที่แท้จริงแล้ว ต่อไปข้าคงต้องเรียกเจ้าว่าพี่สะใภ้สินะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเชิงหยอกเย้า กล่าวได้ว่าฉินเหยียนเป็นสตรีที่ดีทีเดียวและนางเหมาะสมเป็นคู่ครองกับฉินเฟิงอย่างแท้จริง
“อวี้โม่ ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลาของสงคราม ข้าจะพาเหยียนเอ๋อร์กลับมาและเข้าร่วมการต่อสู้กับฝ่ายมารอย่างแน่นอน”
ฉินเฟิงยิ้มและให้คำสัญญา สงครามการปะทะกับฝ่ายมารจะมาถึงในไม่ช้า และเมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขาและฉินเหยียนจะกลับมาเข้าร่วมและแสดงฝีมืออย่างแน่นอน
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นไว้พบกันใหม่ !”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตรงเข้าไปกอดฉินเหยียนอย่างจริงใจก่อนตบไหล่ฉินเฟิงเบา ๆและมองดูคนทั้งคู่เดินทางออกจากชนเผ่ามายาไปด้วยกัน
“ท่านเทพมายา…”
ฝูหยาจือเดินเข้ามาพลางเอ่ยเรียก ทว่าฉินอวี้โม่กลับกล่าวแทรกออกไปก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้กล่าวสิ่งใด
“ผู้อาวุโสฝูหยาจือ ท่านก็จะไปจากที่นี่ด้วยรึ ?”
นางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
เดิมทีฝูหยาจือมีแผนที่ตนเองเตรียมไว้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่และได้ยินคำถามของนาง จู่ ๆ เขาก็ประหม่าและไม่กล้ากล่าวสิ่งใดต่อ
“ผู้อาวุโสฝูหยาจือ อยู่ที่นี่ต่อเถอะ ท่านก็ทราบดีว่าข้าไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับชนเผ่ามายานี้เลย เพราะเหตุนั้น ในอนาคตข้างหน้าท่านจะต้องปกครองดูแลชนเผ่ามายา ข้าจะรับตำแหน่งผู้นำเพียงในนามเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างจริงจัง ฝูหยาจือเป็นคนที่ไว้วางใจได้และเป็นคนเดียวที่นางจะไว้วางใจให้ดูแลและปกครองชนเผ่ามายาแทนตน ด้วยภารกิจอีกมากที่รออยู่ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปและชนเผ่ามายาต้องการผู้นำที่คอยดูแลอยู่เสมอ
“เอ่อ…คือ…”
ฝูหยาจือชะงักไปชั่วขณะทว่าในที่สุดเขาก็พยักศีรษะรับปากอย่างจนปัญญา หากไม่รับปากและอยู่ที่นี่ เขาเองก็คงไม่มีทางคลายกังวลได้เช่นกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับชนเผ่ามายาแห่งนี้มากไปกว่าเขาที่อยู่ที่นี่มานานมากกว่าพันปี
“อีกอย่าง…ท่านเทพมายา หากข้าเดาไม่ผิด ท่านน่าจะยังไม่ได้ปลดผนึกที่สามของกายเทพมายาใช่รึไม่ ?”
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยถามฉินอวี้โม่ทันที
“ใช่ ข้าก็พอจะจำได้ว่าวิธีปลดผนึกที่สามของกายเทพมายาอยู่ในเขตต้องห้ามของชนเผ่ามายาแห่งนี้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะโดยที่ไม่ปฏิเสธ นางมาที่ชนเผ่ามายาก็เพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกันและถึงเวลาที่นางจะต้องปลดผนึกที่สามของกายเทพมายาแล้ว นางเชื่อว่าเมื่อปลดผนึกที่สามได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาขึ้นจนทะลวงไปสู่ขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดได้ และเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ต้องประจันหน้ากับผู้นำฝ่ายมาร นางก็จะไม่ตกเป็นรองอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นชายแก่ผู้นี้จะพาท่านเทพมายาไปที่นั่นเองขอรับ !”
ฝูหยาจือกล่าวพร้อมรอยยิ้มและจัดแจงสิ่งต่าง ๆ ครู่หนึ่งก่อนนำทางฉินอวี้โม่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่เขตต้องห้ามของชนเผ่ามายา
เมื่อเข้ามาในบริเวณพื้นที่เขตต้องห้ามและพบกับบุรุษร่างสูงที่ดูไร้สติอีกครั้ง ฝูหยาจือก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มออกมา “ท่านเทพมายาขอรับ ตราบใดที่ท่านดูดกลืนพลังของบุรุษผู้นี้ได้ ท่านก็จะปลดผนึกที่สามได้อย่างแน่นอน”
สาเหตุที่บุรุษผู้นี้ทรงพลังอย่างมากและไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ นั่นมิใช่เพราะพลังที่แกร่งกล้าเหนือชั้นของเขา หากแต่เป็นเพราะเขามิใช่มนุษย์เลย
เขาคือห้วงจิตส่วนหนึ่งที่ฉินเหยียนทิ้งไว้ที่นี่ หลังจากผ่านระยะเวลาการพัฒนานานนับพันปี มันจึงมีพลังเช่นทุกวันนี้ได้ ตราบใดที่นางดูดกลืนห้วงจิตนี้เข้าไปได้ ผนึกที่สามของกายเทพมายาจะถูกปลดออกอย่างอัตโนมัติ
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและนั่งลงขัดสมาธิบนพื้นทันที จากนั้นพลังวิญญาณของนางก็แผ่ออกไปปกคลุมร่างของห้วงจิตอันทรงพลังนั้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนแรก ร่างจิตพยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าเขาอาจหลุดพ้นไปได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็มีพลังอำนาจที่น่าทึ่งและพลังวิญญาณของนางก็แกร่งกล้ากว่าคนธรรมดาถึงหลายเท่าตัวนัก
หลังจากการเผชิญหน้ากันช่วงหนึ่ง ในที่สุดคลื่นพลังของบุรุษผู้นั้นก็อ่อนแอลง และหลังจากผ่านเวลาไปอีกพักหนึ่ง บุรุษผู้นั้นก็สลายกลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงเข้าสู่ศีรษะของฉินอวี้โม่
ทันทีที่แสงนั้นแทรกซึมเข้าไปในจิตของนาง นางก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของตนทันที
ภายในเวลาสั้น ๆ พลังความแข็งแกร่งของนางก็บรรลุขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็สัมผัสได้ว่าความเร็วของการดูดซับพลังฟ้าดินของนางก็มากกว่าเดิมถึงนับร้อยเท่าและการเชื่อมต่อกับเหล่าอสูรมายาของตนก็แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าก่อนเช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อฉินอวี้โม่ทะลวงพลังได้สำเร็จ เหล่าอสูรมายาของนางก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมากเช่นกัน
มารยา หานอวี้และอสูรระดับสูงอื่น ๆ บรรลุระดับนภาเซียนขั้นสูงสุดได้โดยตรง ทว่าหากไม่ได้รับโอกาสที่พิเศษ พวกมันก็คงจะไม่มีทางทะลวงพลังได้อีกต่อไป
สำหรับเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จู่ ๆ พวกมันก็กลายพันธุ์ขึ้นมาและได้รับการพัฒนาทางสายเลือดจนส่งผลให้พวกมันพัฒนากลายเป็นอสูรนภาเซียนได้สำเร็จ แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ฉินอวี้โม่และเหล่าอสูรประหลาดใจยิ่งนัก
“นายหญิง เราโชคดีจริง ๆ ที่ได้ติดตามท่าน !”
เหล่าอสูรล้วนถอนหายใจด้วยความตื้นตันและดีใจ การตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของพวกมันก็คือการติดตามนายหญิงผู้นี้
เมื่อหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ มองเห็นฉินอวี้โม่ที่ทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดได้สำเร็จด้วยดี พวกเขาก็ล้วนมีความสุขและยินดีไปกับนาง
“ท่านเทพมายา ตอนนี้ชาวชนเผ่ามายาทุกคนได้รวมตัวกันที่ลานจัตุรัสแล้ว เราไปกันเถอะ”
เหล่าผู้ที่เป็นประชากรของชนเผ่ามายาล้วนทราบเกี่ยวกับการมาถึงของฉินอวี้โม่และรวมตัวรอนางอยู่ที่ลานจัตุรัสของเมืองที่ใหญ่ที่สุดในชนเผ่ามายาแล้ว พวกเขาจะต้องคุกเข่าแสดงความจงรักภักดีต่อหน้าเทพมายาและรอฟังว่านางจะเตรียมการอย่างไรสำหรับทิศทางในอนาคตของพวกเขา
ฉินอวี้โม่ก็เดินตามผู้อาวุโสฝูหยาจือไปยังลานดังกล่าวอย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน นางก็อดถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้ ความแข็งแกร่งโดยรวมของชนเผ่ามายาไม่ได้อ่อนแอเลยและแกร่งกล้ายิ่งกว่าขุมกำลังอันดับต้น ๆ หลายแห่งของดินแดนเทพมายาเสียอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูงเป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่แปลกใจอย่างที่สุด
ต่อมานางก็ดำเนินการเตรียมความพร้อมบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ผู้อาวุโสฝูหยาจือจัดการดูแลความเรียบร้อยของชนเผ่ามายาแทนตนเป็นการชั่วคราว และหลังจากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานหลายวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ตัดสินใจเดินทางออกจากชนเผ่ามายา
ในเมื่อทุกอย่างได้รับการสะสางแล้ว ถึงเวลาที่ทั้งสองจะต้องกลับไปที่นครล่าฝันเพื่อพบกับบุตรน้อยทั้งสองเสียที
แต่ทว่า…ตอนนี้ขุมกำลังเกือบทั้งหมดก็ได้เลือกฝ่ายที่เข้าร่วมแล้วและการต่อสู้ครั้งใหญ่เพื่อประจันหน้ากับฝ่ายมารก็ใกล้จะมาถึงเต็มที
นิกายหงส์มังกร สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร อารามโชติช่วงและนครหมื่นอสูรล้วนเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับขุมกำลังมารร้าย นอกจากนี้ก็ยังมีขุมกำลังขนาดเล็กและขนาดกลางอีกจำนวนหนึ่งซึ่งถือเป็นลิ่วล้อของนิกายหงส์มังกร
นครล่าฝัน วิหารทมิฬ เกาะวายุนิ่ง สมาคมผู้หลอมโอสถ สมาคมช่างหลอม สมาคมทหารรับจ้าง นครเวหา นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ชนเผ่าเอลฟ์ ชนเผ่ามายา เผ่าอสูรและอีกหลายขุมกำลังก็ผนึกกำลังร่วมกันเพื่อต่อสู้กับฝ่ายมาร
ดินแดนของพรมแดนทั้งสี่รอบนอกดินแดนเทพมายาก็เข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับนครล่าฝันเช่นเดียวกัน
ในเวลานี้ เรียกได้ว่าขั้วอำนาจของดินแดนเทพมายาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ ๆ เพียงเท่านั้น
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในสงครามที่จะมาถึงก็คงจะเป็นบุปผาแห่งความมืดที่ลึกลับและเกินคาดเดาของฝ่ายมาร อย่างไรก็ตาม การที่ฝ่ายของฉินอวี้โม่มีต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น พวกนางจึงไม่ได้เกรงกลัวอะไรนัก
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ฝ่ายมารก็นิ่งเงียบไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ ขุมกำลังใหญ่อย่างนครล่าฝันก็ยุ่งอยู่กับการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเองและไม่มีเรื่องบาดหมางกับฝ่ายนิกายหงส์มังกรเท่าใดนัก
ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง บรรยากาศความสงบสุขก่อนสงครามก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนเทพมายา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในช่วงนี้ นางและหานโม่ฉือใช้เวลาอยู่กับบุตรชายและบุตรหญิงของตน รวมถึงครอบครัวและมิตรสหายอื่นๆอย่างมีความสุข นอกจากนี้ฉินอวี้โม่ก็ยังทำการหลอมอุปกรณ์เป็นครั้งคราวและออกไปยังขุมกำลังอื่น ๆ โดยรอบเพื่อสังเกตการณ์ ช่วงเวลาในทุกวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและสันติยิ่งนัก
ภายในชั่วพริบตา เวลาครึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้ ฉินอวี้โม่ก็กำลังเล่นอยู่กับบุตรน้อยทั้งสองในขณะที่เสี่ยวโร่วรีบปรี่เข้ามาจากข้างนอก
“คุณหนู ฝ่ายมารเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว !”