ภายในห้องแยก ฮวาเหยียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นขณะฟังวาจาของคนเหล่านั้น สีหน้าของนางบิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆและไม่สามารถวางท่าเฉยเมยได้เช่นก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป
แม้พอจะคาดเดาได้ก่อนหน้านี้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับนางอยู่ตลอดเวลา ทว่าฮวาเหยียนอวี่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะตอบโต้นางอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเช่นนี้ นอกจากนี้ การที่หานโม่ฉือไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของการควบคุมจิตใจก็ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า วิชาควบคุมจิตใจของชนเผ่าอู่ซินถือเป็นวิชาลับสูงสุดของชนเผ่า แม้แต่บรรดาผู้ที่แข็งแกร่งในอันดับต้น ๆ ของดินแดนเมื่อพันปีก่อนก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ นี่ก็พอจะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด !
“ข้าก็คิดว่าวิชาควบคุมจิตใจจะเป็นวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวเสียอีก ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีดีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น”
หานโม่ฉือเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และจับมือบางของนางไว้ก่อนชำเลืองมองฮวาเหยียนอวี่อย่างเย้ยหยัน
วิชาควบคุมจิตใจของชนเผ่าอู่ซินไม่ได้น่าหวาดหวั่นดังที่เขาคิดไว้ หากต้องการใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุดก็ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากส่วนอื่นเข้ามาประกอบ อย่างเช่นกลิ่นหอมประหลาดจากร่างของฮวาเหยียนอวี่ที่สามารถช่วยให้กระบวนการควบคุมจิตใจของนางได้ผลดีมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่หานโม่ฉือได้รับการร่ายมนตร์ป้องกันจากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากบุปผาแห่งความมืด ไม่ว่ากลิ่นโอสถอื่นใดก็ไม่มีทางส่งผลต่อเขาได้
“ฮวาเหยียนอวี่ เกรงว่าโรคประหลาดก่อนหน้านี้ก็คงจะเกิดขึ้นจากฝีมือของชนเผ่าอู่ซิน ข้าเคยได้ยินมาว่าชนเผ่าอู่ซินศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโอสถมามากมาย คงไม่ยากที่จะสร้างโรคประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาเองได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความมั่นใจพอสมควรและนางก็ไม่มีความคิดหวาดหวั่นต่อชนเผ่าอู่ซินแม้แต่น้อย หากเผ่าอู่ซินมีวิธีการเพียงแค่นี้ละก็ จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้น่าหวาดหวั่นอย่างที่คิดไว้
“แล้วอย่างไรล่ะ ? ฮ่า ๆ ๆ”
จู่ ๆ ฮวาเหยียนอวี่ก็หัวเราะและกล่าวต่อ “ฉินอวี้โม่ ประชากรสองในสามส่วนทั่วบริเวณรอบทะเลไร้จุดจบอยู่ภายใต้การควบคุมจิตใจของข้าแล้วและพวกเขาจะฟังเพียงคำสั่งของข้าคนเดียวเท่านั้น ต่อให้เจ้ารู้ทุกอย่างที่ข้าทำ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ?”
น้ำเสียงของนางแสดงถึงการยั่วยุอย่างชัดเจนและไม่กังวลเกี่ยวกับภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองเลยสักนิด เมืองส่วนใหญ่รอบทะเลไร้จุดจบตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการควบคุมของชนเผ่าอู่ซินแล้ว ตราบใดที่ได้รับคำสั่ง พวกเขาก็จะยอมจำนนต่อฝ่ายมารและช่วยจัดการกับฉินอวี้โม่และสหายไปด้วยกัน ต่อให้จุดมุ่งหมายเดิมของนางจะไม่สำเร็จดั่งที่คิดไว้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายจนเกินไป ต่อให้ตอนนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนางได้ มันก็ไม่ได้เป็นผลร้ายใด ๆ ต่อนาง
“งั้นหรือ ? เจ้าแน่ใจรึว่าคนเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าจริง ๆ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยทว่าน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความมั่นใจซึ่งทำให้ฮวาเหยียนอวี่เริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
“ทุกคน เข้ามาได้”
เมื่อมองไปทางประตู คนกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนนับสิบคนก็เดินเข้ามาจากข้างนอก และพวกเขาเหล่านี้ก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นกลุ่มคนที่ยืนยันเสียงแข็งและกล่าวหาใส่ร้ายฉินอวี้โม่อย่างไม่ยอมแพ้ก่อนหน้านี้นั่นเอง
“พวกเจ้า…”
ฮวาเหยียนอวี่กวาดสายตามองคนเหล่านั้นและชะงักนิ่งไปเล็กน้อย ความรู้สึกกังวลอย่างประหลาดเริ่มก่อตัวในหัวใจของนางอย่างรวดเร็ว
“ลองดูสิว่าพวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้ารึไม่”
ก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้ต่างก็ถูกฮวาเหยียนอวี่ควบคุมด้วยวิชาควบคุมจิตใจ แววตาของพวกเขาจึงพร่ามัวไม่ชัดเจนนักและแทบไม่มีสตินึกคิดเป็นของตนเอง
“เจ้าสตรีชั่วช้า ! ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ ที่พวกเราเคยคิดเชิดชูเจ้าเป็นดั่งเทพธิดาผู้มีพระคุณและหลงคิดว่าเจ้าเป็นวีรสตรีที่ช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากภัยอันตราย ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเป็นแผนการของเจ้ามาตั้งแต่ต้น !”
แววตาของพวกเขาในตอนนี้มองฮวาเหยียนอวี่ด้วยความโกรธแค้นและไม่หลงเหลือร่องรอยของความเคารพเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน! วิชาควบคุมจิตใจของชนเผ่าอู่ซินมิใช่สิ่งที่ลบล้างได้เลย แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่มีทางถอนมันออกได้ เจ้าทำได้อย่างไรกัน?!”
ฮวาเหยียนอวี่พยายามออกคำสั่งกับคนเหล่านั้นแล้ว ทว่าก็ต้องพบว่ามันไม่เป็นผลใดๆ พวกเขาเมินเฉยต่อคำสั่งของนางอย่างสิ้นเชิงและยังคงมองตรงมาด้วยแววตาโกรธแค้นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก
วิชาการควบคุมจิตใจของชนเผ่าอู่ซินถือเป็นทักษะที่ไม่เคยมีทางแก้และแม้แต่ผู้นำชนเผ่าก็ไม่สามารถถอนมันออกได้ แล้วเหตุใดวิชาควบคุมจิตใจที่ข้าใช้กับคนเหล่านี้จึงถูกลบล้างไปได้อย่างง่ายดายนัก ?
“อยากรู้งั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาทว่าไม่คิดที่จะบอกแผนการของตนให้อีกฝ่ายได้ทราบ แท้จริงแล้วการควบคุมจิตใจที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ยังไม่ถูกลบล้างไปโดยสมบูรณ์ ฉินอวี้โม่เพียงใช้ทางอื่นเพื่อให้มารยาและเสี่ยวม่านควบคุมพวกเขาด้วยข่ายอาคมลวงตาเท่านั้น
วิชาควบคุมจิตใจเป็นศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับวิชาภาพลวงตาซึ่งทั้งสองใช้พลังวิญญาณเพื่อควบคุมผู้อื่น เพียงแต่ทักษะควบคุมจิตใจจะทำให้เป้าหมายสูญเสียสตินึกคิดไปโดยสมบูรณ์ในขณะที่ข่ายอาคมเพียงทำให้คนผู้นั้นราวตกอยู่ท่ามกลางมนต์สะกดบางอย่างเท่านั้น
“เหอะ ฉินอวี้โม่ เจ้าแค่ได้พบหานโม่ฉือก่อนข้าเท่านั้น ! หากข้าได้รู้จักเขาก่อน คนที่เขารักและหลงใหลจะต้องเป็นข้าแน่ ๆ !”
ฮวาเหยียนอวี่แค่นเสียงเย็นชาและสีหน้ากลับเป็นความสงบนิ่งใจเย็นอีกครั้ง คาดการณ์ได้ว่านางคงจะมีไพ่ตายอื่นซ่อนไว้
“ต่อให้เจ้าพบข้าก่อนโม่เอ๋อร์ เจ้าก็ไม่คู่ควรแม้แต่จะสวมรองเท้าให้กับข้าด้วยซ้ำ !”
หานโม่ฉือกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าซึ่งเป็นการทำลายความหวังในหัวใจของฮวาเหยียนอวี่ทันที
“ทำไมกัน..?”
ฮวาเหยียนอวี่ฉงนงุนงงอย่างที่สุด นางมั่นใจว่าตนไม่ด้อยไปกว่าฉินอวี้โม่เลยสักนิด ไม่ว่าในด้านรูปลักษณ์ ความแข็งแกร่งหรือพรสวรรค์ก็ตาม
“ไม่คู่ควรก็คือไม่คู่ควร”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบา ๆ และหันไปยิ้มให้กับบุรุษคนรักอย่างมีความสุข
ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน นางและเขาก็คู่ควรเป็นของกันและกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางแทรกกลางเข้ามาในโลกของทั้งสองได้เลย ไม่ว่าจะได้พบกันก่อนหรือหลังก็เปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้วการได้พบกับคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ก็คือความโชคดีที่สุดในชีวิต
“เหอะ อย่ามั่นใจเกินไปนักเลยและอย่าคิดว่าเจ้าชนะแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว…ฝ่ายมารของเราจะโค่นอำนาจดินแดนเทพมายาและเจ้าจะเป็นได้เพียงคนที่ต้องพ่ายแพ้ต่อข้าเท่านั้น !”
ฮวาเหยียนอวี่แค่นเสียงในลำคอ จากนั้นร่างของนางก็พุ่งออกไปและเตรียมออกจากหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ทว่าในขณะเดียวกัน แส้ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของนางและต้องการที่จะใช้แส้นี้เกี่ยวตัวบุรุษชุดดำที่ทำหน้าที่ปกป้องตนซึ่งนอนอยู่บนพื้นกลับไปกับตนด้วย
“ถ้าเจ้าคิดจะหนี เราจะไม่ขวางเจ้า แต่สำหรับเขา…เราไม่ปล่อยให้เจ้าพาตัวเขากลับไปแน่”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสบตากันและไม่คิดที่จะขัดขวางฮวาเหยียนอวี่ หานโม่ฉือเพียงปล่อยก้อนพลังมายาออกไปเพื่อตัดแส้ยาวของนาง ส่งผลให้นางไม่สามารถพาตัวบุรุษคนนั้นกลับไปด้วยได้
“คุณหนู ไปเถอะขอรับ ปล่อยข้าไว้ที่นี่”
บุรุษผู้นั้นไม่สนใจชะตากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง เขากัดฟันแน่นขณะกริชเล่มคมปรากฏในมือและคิดที่จะปลิดชีวิตตนเองเพื่อให้ความตายสะสางปัญหาทุกอย่าง
“หากข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย ต่อให้ท่านยมบาลมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ไม่มีสิทธิ์พาตัวเจ้าไปได้ !”
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของบุรุษชุดดำมาตั้งแต่ต้น และด้วยการสะบัดมือเพียงเบา ๆ กริชในมือของเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที ร่างของเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก นับประสาอะไรกับเรี่ยวแรงในการฆ่าตัวตายดังที่ต้องการ
“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ !”
ฮวาเหยียนอวี่กล่าวทิ้งท้ายก่อนร่างของนางหายวับไปต่อหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แต่ทว่า…นางไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่ามีร่างหนึ่งตามหลังตนไปอย่างใกล้ชิด
“ทุกคน แยกย้ายไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่โบกมือให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเขาแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องของตนเอง หลายคนที่เข้าใจฉินอวี้โม่ผิดไปก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าที่รู้สึกผิดอย่างชัดเจน
“นายหญิง นางมาจากชนเผ่าอู่ซินจริง ๆ”
มารยา เสี่ยวม่านและอสูรอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นในห้องหลังจากคนอื่น ๆ แยกย้ายกันออกไป และหลังจากนั้นอสูรเหล่านี้ก็จับตัวชายชุดดำหายไปครู่หนึ่งก่อนได้ข้อสรุป
“ใช่แล้ว สตรีผู้นั้นมาจากชนเผ่าอู่ซินและยังเป็นบุตรสาวของผู้นำฝ่ายมาร !”
แน่นอนว่าตอนนี้พวกมันกำลังกล่าวถึงฮวาเหยียนอวี่ นางมาจากชนเผ่าอู่ซินจริง ๆ ซึ่งถือว่าตรงตามความคาดหมายของฉินอวี้โม่
“นายหญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดชนเผ่าอู่ซินถึงได้ร่วมมือกับฝ่ายมาร ?”
จู่ ๆ มารยาก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ดูประหลาดเล็กน้อย
“ทำไมรึ ?”
เสี่ยวเฮยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นั่นก็เป็นเพราะผู้นำชนเผ่าอู่ซินมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้นำฝ่ายมาร !”
มารยาไม่รอช้าและไม่ปล่อยให้ทุกคนคาดเดาโดยเฉลยคำตอบให้ทุกชีวิตได้ทราบในทันที
เมื่อพันปีก่อน สาเหตุที่ชนเผ่าอู่ซินร่วมมือกันฝ่ายมารเป็นเพราะผู้นำของทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวด้วยกัน เดิมทีคนของชนเผ่าอู่ซินก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผู้นำ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ฮวาเหยียนอวี่นั่นเป็นบุตรสาวของผู้นำชนเผ่าอู่ซินงั้นรึ ?”
หานอวี้กล่าวด้วยความสงสัย มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้
“ใช่ ฮวาเหยียนอวี่นั่นเป็นบุตรสาวของฮวาเฉิน—ผู้นำฝ่ายมารและผู้นำของชนเผ่าอู่ซิน ทว่ามารดาของนางก็เสียชีวิตไปตั้งแต่นางยังเด็ก ๆ และในตอนนี้สมาชิกของชนเผ่าอู่ซินก็หลงเหลือเพียงไม่มากนัก”
มารยากลอกตาบนเล็กน้อย เพียงนึกถึงฮวาเฉิน นางก็รู้สึกเกลียดชังอย่างที่สุด
“ถ้าเช่นนั้น ฮวาเหยียนอวี่ผู้นั้นก็เป็นสตรีที่น่าสงสารมิใช่รึ…ต้องกำพร้ามารดาไปตั้งแต่เด็ก ๆ ?”
เสี่ยวจินกล่าวด้วยวาจาที่ทำให้อสูรตัวอื่น ๆ อื่นเหยียดหยามโดยไม่รู้ตัว
“โธ่ ต่อให้จะกำพร้ามารดามาตั้งแต่เด็ก มันก็มิใช่ข้ออ้างในการออกมาก่อกรรมทำชั่วให้ผู้อื่นเดือดร้อน”
สั่วซีหย่ามีใบหน้าบูดบึ้งทันที นางเกลียดชังคนเช่นนี้มากที่สุด ต่อให้จะมีชีวิตที่น่าสงสารแค่ไหน ทว่ามันก็มิใช่ข้ออ้างที่จะออกมาทำร้ายผู้อื่น แม้มารดาของนางจะถูกสังหารและตายไปอย่างน่าสลด สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็ไม่เคยคิดที่จะโทษฟ้าโทษดินและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่บริสุทธิ์
“นายหญิง ฮวาเหยียนอวี่ไม่ได้กลับไปที่รังของฝ่ายมาร”
ทันใดนั้น เสียงทรงพลังของซิวก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่
“คนจากฝ่ายมารนับพันคนแฝงตัวอยู่ในเมืองต่าง ๆ รอบทะเลไร้จุดจบ ฮวาเหยียนอวี่สั่งให้คนเหล่านั้นไปรวมตัวกันที่ชายหาดแล้ว ไม่ทราบได้ว่านางคิดจะทำสิ่งใด”
ครานี้เรียกได้ว่าฝ่ายมารเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี หากไม่สามารถควบคุมประชากรรอบทะเลไร้จุดจบได้สำเร็จ พวกนางก็จะใช้กำลังเข้าควบคุมโดยตรง อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมาที่นี่อย่างรวดเร็วและเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของฮวาเหยียนอวี่อย่างง่ายดายซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายมารคาดไม่ถึงมาก่อน
ตอนนี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในเมืองลั่วอวี่ซึ่งทำให้แผนการเดิมของฝ่ายมารต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะเหตุนั้นฮวาเหยียนอวี่จึงได้ตัดสินใจเรียกรวมพลคนเหล่านั้นไปรวมตัวกันที่ชายหาดและไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านางวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป
“เจ้าติดตามนางต่อไป”
ฉินอวี้โม่สั่งให้ซิวสะกดรอยตามฮวาเหยียนอวี่ต่อไปเพื่อหาทางค้นพบการเคลื่อนไหวต่อไปของฝ่ายมาร ก่อนหน้านี้พวกนางจงใจปล่อยให้นางหนีไปเพียงเพื่อต้องการรอดูว่าแผนการของขุมกำลังมารร้ายจะเป็นอย่างไรต่อไป ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นว่าหลังจากนี้พวกนางจะได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
บุรุษเสื้อคลุมสีดำผู้นั้นก็ถูกทรมานจนปางตายและหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ฉินอวี้โม่ได้นำตัวเขาเข้าไปไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อให้เหล่าอสูรสืบสวนหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเขาต่อไป
“พี่อวี้โม่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสง”
เสียงของเสี่ยวโพธิ์ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่
“นายหญิง คนพวกนั้นพบเบาะแสของบุปผาแห่งแสงและกำลังเตรียมตัวที่จะไปฉกฉวยมันมา”
เสียงของซิวดังขึ้นเช่นกัน และนั่นทำให้สีหน้าของทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที…
.