ณ ด้านนอกของม่านป้องกัน ฮวาเหยียนอวี่และสมาชิกของฝ่ายมารจำนวนมากกำลังปิดล้อมทั่วทั้งเกาะ พวกเขามาปักหลักอยู่ที่นี่นานหลายวันแล้วทว่ายังไม่สามารถทำลายม่านป้องกันของเกาะไร้กังวลได้เลย
สีหน้าของฮวาเหยียนอวี่ในตอนนี้ดูเหยเกยิ่งนัก แผนการควบคุมจิตใจของผู้คนรอบทะเลไร้จุดจบของนางล้มเหลวไม่เป็นท่าและตอนนี้ยังบุกเข้าไปในเกาะไร้กังวลไม่สำเร็จ เมื่อฮวาเฉิน—ผู้นำฝ่ายมารมาถึง นางและคนอื่น ๆ จะต้องได้รับบทลงโทษที่หนักหนาเป็นแน่
ภายในม่านป้องกันที่ขวางกั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือค้นพบจุดที่อ่อนแอที่สุดของม่านป้องกันและเตรียมซ่อมแซมมันด้วยวิธีการที่ทราบมาจากอู๋ฉง ทว่าในเวลานี้ฮวาเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ท่านพ่อ…”
เมื่อเห็นร่างที่ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ ฮวาเหยียนอวี่ก็คุกเข่าลงทันทีและสีหน้าดูเป็นกังวลอย่างชัดเจน
“คารวะท่านผู้นำ”
สมาชิกฝ่ายมารคนอื่น ๆ ก็ทิ้งตัวคุกเข่าลงพร้อมกล่าวแสดงความเคารพต่อผู้นำเช่นกัน
“ท่านพ่อ ลูกผู้นี้ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ท่านพ่อโปรดลงโทษลูกเถอะเจ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนอวี่กล่าวขึ้นก่อนด้วยความรู้สึกกลัวที่มีต่อบิดา นางทราบดีว่าฮวาเฉินมีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร ในสายตาของบิดาของนาง ผลประโยชน์คือสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด หากมิใช่เพราะนางเป็นทายาทของชนเผ่าอู่ซินและมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เกรงว่าฮวาเหยียนอวี่ก็คงจะไม่ได้มีสถานะที่สูงเช่นนี้ภายในฝ่ายมาร
“เด็กดีเอ๋ย ลุกขึ้นเร็วเข้า เรื่องนี้ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
อย่างไรก็ตาม ฮวาเฉินไม่มีท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจดังที่นางคาดไว้ เขาเพียงกล่าวอย่างสบาย ๆ ก่อนโบกมือส่งสัญญาณให้คนจากฝ่ายมารลุกขึ้น
“การที่พ่ายแพ้ต่อสองคนนั้นมิใช่เรื่องที่ผิดหรอก ในเมื่อแผนการเดิมล้มเหลวแล้วก็ปล่อยมันไปเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องช่วยกันฉกชิงบุปผาแห่งแสงมาให้ได้”
แม้เป็นศัตรูต่อกัน ฮวาเฉินก็ไม่ปิดบังความรู้สึกชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเลยสักนิด ทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดที่เขาเคยประจันหน้ามา แม้ว่าพวกนางยังไม่ได้ฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาในระดับสูงสุด นอกเหนือจากฮวาเฉินก็ไม่มีใครในฝ่ายมารที่จะมีความหวังในการเอาชนะคนทั้งสองได้
“ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ พวกเจ้ามากันเร็วทีเดียว”
สายตาของฮวาเฉินบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ในอีกฟากหนึ่งของม่านป้องกันขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
แม้ว่าฮวาเหยียนอวี่และคนอื่น ๆ จะไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในม่านป้องกันได้ ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของฮวาเฉินได้เลย เขาคาดเดาได้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเมื่อเบาะแสของบุปผาแห่งแสงรั่วไหลออกมา จอมยุทธ์คู่นี้จะต้องปรากฏตัวขึ้นและพวกเขาจะได้ต่อสู้กันอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด
“เจ้าก็มาเร็วไม่ต่างกัน”
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนักขณะเริ่มขยับไม้ขยับมือเพื่อซ่อมแซมม่านป้องกันตรงหน้า
“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าได้มีโอกาสซ่อมแซมม่านป้องกันนี้รึ ?!”
ฮวาเฉินทราบดีว่าเมื่อม่านป้องกันของเกาะไร้กังวลได้รับการซ่อมแซมจนสมบูรณ์ แม้แต่ตัวเขาเองก็จะไม่มีทางฝ่าทะลวงเข้าไปได้อีก เขาทราบถึงการดำรงอยู่ของเกาะไร้กังวลมานานแล้วและม่านป้องกันรอบเกาะก็ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับมันไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นภายในเกาะยังไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องการและเขาไม่เคยมาเยือนที่นี่สักครา ทว่าในตอนนี้ ในเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงจากที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาทางเข้าไปในเกาะไร้กังวลให้จงได้
เขาแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ และพลังมายาจากทั่วทั้งร่างก็แผ่ออกไปอย่างรวดเร็วก่อนกลุ่มบรรยากาศสีดำทะมึนแผ่ปกคลุมม่านป้องกันรอบเกาะอย่างรวดเร็ว มันไม่เพียงแต่ครอบคลุมทั่วบริเวณเท่านั้นทว่ามันก็เริ่มกัดกร่อนและทำลายอย่างต่อเนื่อง ต้องกล่าวเลยว่าบุปผาแห่งความมืดน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังหวาดหวั่นในพลังกัดกร่อนที่น่าสะพรึงกลัวของมัน
“ฮวาเฉิน พวกเจ้าฝ่ายมารไม่ลืมอะไรบางอย่างไปรึ?”
ในขณะที่คนจากฝ่ายมารกำลังให้ความสนใจกับม่านป้องกันนี้อยู่นั้น จู่ ๆ เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นส่งผลให้พวกเขาหันไปมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็พบว่าในอีกฟากหนึ่งของเกาะ กลุ่มคนหลายร้อยชีวิตบนเรือรบขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อู๋หมิง ไม่ได้พบกันนานทีเดียว พวกเจ้าเกาะวายุนิ่งคงไม่คิดที่จะวางตัวเป็นกลางอีกแล้วสินะ !”
ผู้นำของเกาะวายุนิ่งคืออู๋หมิงและฮวาเฉินก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ในฐานะช่างหลอมที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนเทพมายา แม้ไม่ได้เข้าร่วมกับสงครามเมื่อพันปีก่อนโดยตรง ทว่าเขาก็จัดหาอุปกรณ์อาวุธและมีส่วนช่วยกับจอมยุทธ์ในฝ่ายดินแดนเทพมายาเป็นอย่างมาก เดิมทีฮวาเฉินก็ต้องการทำลายเกาะวายุนิ่งให้สิ้นซาก เคราะห์ร้ายที่เกาะวายุนิ่งทั้งลึกลับและยากเกินหยั่งถึงจนเกินไป แม้ด้วยความแข็งแกร่งที่มี ฮวาเฉินก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะทำสำเร็จตามที่ต้องการหรือไม่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่เคยลงมืออย่างจริงจังสักครั้ง
“ฮวาเฉิน สิ่งที่ข้ารู้สึกผิดที่สุดก็คือการที่ข้าไม่ได้เข้าร่วมกับสงครามเมื่อพันปีก่อน เจ้าจึงมีโอกาสกลับมาทำลายดินแดนเทพมายาได้ ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป เกาะวายุนิ่งของเราตัดสินใจที่จะร่วมมือกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เพื่อทำลายฝ่ายมารให้ได้อย่างสิ้นซาก !”
ในขณะที่ทั้งสองคนสาดวาจาตอบโต้กันอยู่นั้น สมาชิกทุกคนของเกาะวายุนิ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าของฝ่ายมารแล้ว สีหน้าของอู๋หมิงแสดงให้เห็นถึงความจริงจังและไร้ซึ่งความหวาดหวั่นใด ๆ
“โอ้ ? ข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าเกาะวายุนิ่งจะมีฝีมือสักแค่ไหน !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงในลำคอและโบกมือส่งสัญญาณให้ฝ่ายมารตรงเข้าโจมตีทุกคนจากฝ่ายเกาะวายุนิ่ง !
“แสดงให้คนชั่วเหล่านี้ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเราเกาะวายุนิ่ง !”
อู๋หมิงก็ไม่ลังเลและออกคำสั่งกับคนของตนเช่นกัน
“สหายน้อยอวี้โม่ เรื่องข้างนอกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าเอง”
เขาหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่อยู่ข้างในม่านป้องกันของเกาะเพื่อมิให้ทั้งสองกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างนอกและพยายามซ่อมแซมม่านป้องกันต่อไปอย่างเต็มที่
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องฝากงานหนักไว้กับท่านด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับอู๋หมิงและขยับมือไปมาอย่างรวดเร็วมากขึ้นเพื่อซ่อมแซมม่านป้องกันและขจัดพลังความมืดที่กัดกร่อนมันออกไปเช่นกัน
“ฮวาเฉิน ข้าอยากจะรู้นักว่าในเวลาพันปีที่ผ่านมานี้…พลังของเจ้าจะฟื้นฟูขึ้นมามากแค่ไหน !”
อู๋หมิงกล่าวขึ้นอีกครั้งขณะพุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อโจมตีฮวาเฉิน
แม้ว่าพลังการต่อสู้ของอู๋หมิงจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับทักษะการหลอมของเขา ทว่ามันก็มากพอที่จะติดหนึ่งในสิบของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเทพมายาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาก็บรรลุขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดนับตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน แม้ด้วยข้อกำจัดของดินแดนนี้ที่ทำให้เขาไม่สามารถทะลวงพลังต่อไปได้ ทว่าเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดทั่ว ๆ ไป
ฮวาเฉินไม่กล้าประมาทคู่ต่อสู้เลยสักนิด เขาแยกพลังมายาส่วนหนึ่งออกไปเพื่อกัดกร่อนม่านป้องกันในขณะที่เก็บส่วนหนึ่งไว้ต่อสู้กับอู๋หมิง
จากนั้นสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายก็ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันไปครู่ใหญ่
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ พลังความมืดที่กัดกร่อนม่านป้องกันก็ค่อย ๆ สลายหายไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฮวาเฉินก็สัมผัสได้ว่าม่านป้องกันที่อ่อนแอก่อนหน้านี้กลับแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทำให้สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวไปทันที
“ผู้อาวุโสทุกคน ออกมา !”
เขาเหวี่ยงฝ่ามือตรงไปที่อู๋หมิงเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไปและหันไปออกคำสั่งกับพื้นที่ว่างเปล่า จากนั้นคนนับสิบก็ปรากฏตัวขึ้นในสมรภูมิรบอย่างที่ไม่คาดคิด
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของฝ่ายมารและมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดทั้งสิ้น พวกเขาสวมอาภรณ์สีดำและมีผ้าคลุมสีดำสนิทบดบังใบหน้าจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ พลังความมืดที่ปกคลุมร่างของพวกเขาเหล่านี้ก็หนาแน่นยิ่งกว่าฮวาเหยียนอวี่เสียอีก
ทันทีที่ผู้มาใหม่นับสิบคนปรากฏตัว สถานการณ์ชะงักงันไร้ผู้ชนะก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที ฝ่ายเกาะวายุนิ่งเป็นเพียงกองกำลังของช่างหลอมเท่านั้นและมีเพียงอู๋หมิงเพียงคนเดียวที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด ทว่าด้วยพลังของอุปกรณ์อาวุธระดับสูงมากมาย พวกเขาจึงสามารถต่อสู้กับคนของฮวาเหยียนอวี่ได้อย่างสูสี อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดที่มาใหม่กว่าสิบคน พวกเขาก็ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
“เหอะ พวกฝ่ายมารมีไพ่ตายซ่อนไว้มากจริง ๆ !”
เสียงแค่นเสียงดังขึ้นและใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายของอู๋หมิงอย่างกะทันหัน เขาก็คือฉินเฟิงที่ถูกคนของฝ่ายมารไล่ล่าก่อนหน้านี้นั่นเอง
หลังจากที่เขาและฉินเหยียนแยกจากกัน เขาก็สามารถหลบหนีออกไปจากวงล้อมของฝ่ายมารได้สำเร็จ ทว่าเขาก็ตามหาฉินเหยียนไม่พบ หลังจากคาดเดาสถานการณ์ว่านางคงจะมาที่เกาะไร้กังวลแห่งนี้ เขาจึงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่โดยเร็ว ไม่คิดเลยว่าเมื่อมาถึง เขาจะได้เห็นการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างฝ่ายมารและเกาะวายุนิ่ง เขาจึงอดแสดงตัวขึ้นมาไม่ได้
“พี่เฟิง…”
ฉินเหยียนซึ่งพักฟื้นอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เอ่ยเรียกออกไปทันทีที่เห็นฉินเฟิง นางพุ่งตรงออกจากคฤหาสน์เฟิงหัว ทว่าด้วยม่านป้องกันที่ขวางกั้น นางจึงทำได้เพียงหยุดรอและมองดูจากระยะไกล ๆ
“เหยียนเอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้าจะปลอดภัยดี”
ฉินเฟิงได้ยินเสียงเรียกจากคนรักและโล่งใจที่พบว่านางปลอดภัยดี
“โม่เอ๋อร์…”
ฉินเหยียนหันไปสบตาฉินอวี้โม่อย่างวิงวอนและเห็นได้ชัดว่านางต้องการออกไปช่วยฉินเฟิง
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดออกไปช่วยด้วย”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าคฤหาสน์เฟิงหัวของตนสามารถผ่านเข้าออกเกาะไร้กังวลได้อย่างอิสระ นางจึงสั่งให้อสูรมายาของตนออกไปสมทบด้วย
“รับทราบ นายหญิง”
เมื่อได้ยินว่าจะได้ต่อสู้เสียที เหล่าอสูรของฉินอวี้โม่ต่างก็ตื่นเต้นดีใจ เวลาในคฤหาสน์เฟิงหัวแตกต่างไปจากโลกภายนอก กล่าวได้ว่าพวกมันไม่ได้ต่อสู้มานานนับสิบปีแล้วและในที่สุดวันนี้พวกมันก็จะได้ยืดเส้นยืดสายเสียที
หลังจากที่ฉินเหยียนกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว นางและเหล่าอสูรก็พุ่งออกไปข้างนอกม่านป้องกันและเข้าสู่การต่อสู้อันดุเดือดนี้
“เจ้าแก่หนังเหนียว !”
ไป๋ฉี่ หานอวี้และหยกขาวพันปีปรากฏตัวตรงหน้าฮวาเฉินและกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พี่เฟิง…”
ฉินเหยียนพุ่งตรงเข้าไปหาฉินเฟิงและอดโผเข้ากอดด้วยความโหยหาไม่ได้
“โม่เอ๋อร์เป็นคนช่วยข้าไว้”
ดวงตาของนางในตอนนี้รื้นไปด้วยน้ำตา การที่นางมีโอกาสได้อยู่กับฉินเฟิงอีกครั้งเป็นเพราะฉินอวี้โม่ เรียกได้ว่าฉินอวี้โม่ช่วยชีวิตนางไว้อีกครั้งแล้ว
“ไปสั่งสอนคนของฝ่ายมารด้วยกันเถอะ !”
ฉินเฟิงโอบร่างบางของฉินเหยียนและแววตาแสดงถึงจิตสังหารแรงกล้า เจ้าพวกขุมกำลังมารร้าย เจ้าพวกคนชั่วช้าบัดซบ !
ฉินเหยียนพยักหน้าหงึกหงักก่อนนางและฉินเฟิงจะจับคู่ประจันหน้ากับผู้อาวุโสแต่ละคนของฝ่ายมารและพุ่งตรงเข้าไปโจมตี
“เหอะ มังกรทองห้าเล็บ หยกขาวพันปี วิญญาณหอคอย พวกเจ้าทั้งสามมาอยู่กับฝ่ายมารของข้าจะดีกว่า ข้าผู้นี้สามารถมอบผลประโยชน์ให้พวกเจ้าได้มากกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงทว่าในใจนึกริษยาในความโชคดีของฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อย เขาเอ่ยปากเชื้อเชิญอสูรทั้งสามตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“เฮอะ ! หน้าตาเจ้าขี้ริ้วขี้เหร่เกินไป ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับเจ้า !”
หานอวี้กล่าวตอบทันทีด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก ทางที่ดี…เจ้าควรเก็บตัวอยู่ที่บ้านและอย่าออกมาเพ่นพ่านทำให้ผู้คนหวาดกลัวจะดีกว่า”
ไป๋ฉี่กล่าวเสริมด้วยสีหน้าเหยียดหยามเช่นกัน
“บุคคลหน้าตาอัปลักษณ์มักที่จะสร้างแต่ปัญหา !”
หยกขาวพันปีกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์เช่นกัน
“พวกเจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
สีหน้าของฮวาเฉินในตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด ในฐานะที่เป็นผู้นำของฝ่ายมาร เขาไม่คาดคิดเลยว่าอสูรต่ำต้อยตัวเหม็นทั้งสามนี้จะริอาจกล่าววาจายั่วยุเขาถึงเพียงนี้
เขาสะบัดมือเบา ๆ และบุปผาแห่งความมืดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือ พลังความมืดที่อัดแน่นในบุปผาประหลาดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลทันที
ในตอนนี้ บุปผาแห่งความมืดเติบโตถึงเก้าในสิบส่วนแล้วและจะโตเต็มวัยสมบูรณ์ภายในเวลาไม่เกินครึ่งปี
อย่างไรก็ตาม บุปผาแห่งความมืดที่สามารถปลดปล่อยพลังได้เพียงครึ่งหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้มากแล้ว
“เหอะ แสดงให้เจ้าอัปลักษณ์นี่ได้เห็นเถอะว่าพวกเราเก่งกาจเพียงใด !”
อสูรทั้งสามหันมองหน้ากันก่อนตรงเข้าไปโจมตีฮวาเฉินอย่างไม่ยั้งมือ
“ลุย !”
ฮวาเฉินโบกมือเบา ๆ และบุปผาแห่งความมืดในมือก็พุ่งออกไปประจันหน้ากับอสูรทั้งสาม พลังความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอากาศอย่างหนาแน่นและปกคลุมร่างของอสูรน้อยทั้งสามตัว
“พี่อวี้โม่ ให้ข้าออกไปช่วยเถอะ !”
เสียงของเสี่ยวโพธิ์ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีบุปผาแห่งแสงก็มีเพียงพลังของมันเท่านั้นที่จะประจันหน้ากับบุปผาแห่งความมืดได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก”
ฉินอวี้โม่ไม่รีบร้อนที่จะให้เสี่ยวโพธิ์แสดงฝีมือ นางต้องการให้อสูรทั้งสามทดสอบพลังของบุปผาแห่งความมืดเสียก่อน
.