เสี่ยวโพธิ์กำลังช่วยอสูรทั้งสามรับมือกับบุปผาแห่งความมืดอย่างใจจดใจจ่อ คาดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ ฮวาเฉินจะตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมันและในเวลานี้ฮวาเฉินก็ใกล้เข้ามาถึงตัวมันแล้ว
ภายในอีกฟากหนึ่งของม่านป้องกัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ทั้งสองคาดเดาถึงความคิดของฮวาเฉินเป็นการล่วงหน้าแล้วและเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น การที่เขาคิดจะจับตัวต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตความคาดหมายของพวกนาง
“คิดว่าพวกข้าเป็นเพียงอากาศธาตุรึ !”
จู่ ๆ ไป๋ฉี่ซึ่งกำลังรับมือกับบุปผาแห่งความมืดก็กล่าวขึ้นและวัตถุลักษณะคล้ายสถูปเจดีย์งดงามสะดุดตาก็ปกคลุมตัวเสี่ยวโพธิ์ไว้
ตึง !
มือของฮวาเฉินไม่ทันเอื้อมถึงต้นโพธิ์ที่หมายปองทว่าชนเข้ากับเจดีย์ดังกล่าวอย่างจัง
“บัดซบ !”
สีหน้าของผู้นำฝ่ายมารในตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ฉี่จะสามารถเรียกเจดีย์ออกมาอย่างกะทันหันและปกป้องต้นโพธิ์ไว้ได้ทันการ ตอนนี้หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อต่อไป เกรงว่ามันจะไม่เป็นผลดีกับพวกเขาอย่างแน่นอน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของฮวาเฉินจะมากกว่าทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดทั้งสองคนได้ ในตอนนี้บุปผาแห่งความมืดก็ยังไม่เติบโตเต็มที่และฮวาเฉินไม่ต้องการรับความเสี่ยงใด ๆ
“ถอนกำลัง !”
เขาตัดสินใจและออกคำสั่งทันทีก่อนร่างของเขาจะหายวับไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว และบุปผารูปลักษณ์ประหลาดขนาดใหญ่ก็หายไปพร้อมกับเขาเช่นกัน
“เหอะ ฉินอวี้โม่ ครั้งหน้าข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”
ฮวาเหยียนอวี่แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวทิ้งท้ายก่อนหายไปในอากาศพร้อมกันกลุ่มจอมยุทธ์ฝ่ายมารจำนวนมาก
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คิดที่จะเสียเวลาไล่ตามคนเหล่านั้นไป ถึงอย่างไรพวกนางก็อยู่ไม่ไกลจากฐานทัพของฝ่ายมารมากนัก นอกจากนี้ ฝ่ายมารก็เป็นขุมกำลังที่ประหลาดและยากเกินหยั่งถึง หากไล่ตามไปโดยไม่คิดให้รอบคอบ เกรงว่ามันจะทำให้พวกตนตกอยู่ในอันตรายได้
“ในเมื่อคนของฝ่ายมารถอนกำลังแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอตัวกลับก่อน”
อู๋หมิงออกคำสั่งกับคนของเกาะวายุนิ่งเช่นกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อป้องกันและขัดขวางไม่ให้ฝ่ายมารได้บุปผาแห่งแสงไปครอบครอง ในเมื่อตอนนี้ฝ่ายมารล่าถอยกลับไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป
“ขอขอบคุณสมาชิกทุกคนจากเกาะวายุนิ่งเป็นอย่างมาก”
อู๋ฉงกล่าวกับอู๋หมิงและคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าแสดงถึงความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะได้คนเหล่านี้ช่วยถ่วงเวลาไว้ เกรงว่าการซ่อมแซมม่านป้องกันของเกาะก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จไปด้วยดีเช่นนี้
“ผู้นำเกาะไร้กังวลสุภาพเกินไป ฝ่ายมารถือว่าเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา เราควรสอดส่องและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว”
อู๋หมิงโบกมือลาและหันหลังกลับเพื่อพาคณะของตนมุ่งหน้ากลับเกาะวายุนิ่งโดยเรือรบเช่นเดิม
“ศิษย์พี่ เข้ามาก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ส่งสัญญาณเรียกให้ฉินเฟิงและฉินเหยียนเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อที่ทุกคนจะได้มุ่งหน้ากลับเข้ามาในเกาะไร้กังวลอีกครั้ง
ฉินเฟิงและฉินเหยียนไม่รอช้าขณะตรงเข้าในคฤหาสน์หลังน้อยทันที ถึงอย่างไรในเวลานี้ฉินอวี้โม่ยังไม่ได้บุปผาแห่งแสงมาครองและพวกเขาก็ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ ยิ่งไปกว่านั้น อีกไม่นานการต่อสู้กับฝ่ายมารก็จะมาถึง ตอนนี้ได้เวลาที่ทุกคนควรกลับไปที่นครล่าฝันแล้ว
“ในฐานะตัวแทนของเกาะไร้กังวล ข้าต้องขอขอบคุณสหายน้อยอวี้โม่และทุกคนจริง ๆ”
หลังจากแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักกัน อู๋ฉงก็โค้งคำนับและกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างจริงใจ
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เกาะไร้กังวลก็คงไม่สามารถรักษาความสงบสุขเช่นนี้ได้แน่ ฝ่ายมารจับตาดูพวกเขามาตลอดและตอนนี้เมื่อม่านป้องกันได้รับการซ่อมแซมจนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เกาะไร้กังวลของพวกเขาก็จะไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดเป็นระยะเวลานานอีกนับร้อยปี
“ท่านลุงอู๋ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ประคองอู๋หมิงลุกขึ้น ถึงอย่างไรพวกนางก็มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ของตนเองเช่นกันและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณพวกตน
“พวกเรากลับไปพูดคุยหารือกันที่เรือนของข้าเถอะ”
เวลานี้ท้องฟ้าพลบค่ำเต็มที อู๋ฉงจึงเชิญฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กลับไปสนทนากันต่อที่เรือนของเขา
ภายในเรือนรับรอง จางหยวนและเฟยเฟยก็เตรียมอาหารค่ำสำหรับทุกคนไว้แล้ว จางหยวนทราบดีว่าสามีของนางและแขกจากต่างถิ่นออกไปทำอะไร ในขณะที่เด็กสาวเฟยเฟยเองก็พอจะทราบบางอย่างเช่นกัน ทว่านอกเหนือจากคนทั้งสอง ประชากรบนเกาะทุกคนล้วนไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกเกาะเลยสักนิด
เมื่อเห็นอู๋ฉงและคนอื่น ๆ กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาและสบายดี จางหยวนและเฟยเฟยก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
“พี่สาว พี่ชาย เข้ามาทานอาหารกันเถอะ”
เฟยเฟยก้าวออกมาโอบแขนของฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว เด็กสาวผู้นี้ดูจะชื่นชอบและถูกชะตากับนางยิ่งนัก
“นี่คือศิษย์พี่และพี่สะใภ้ของข้า”
ฉินอวี้โม่เดินไปนั่งลงตามเฟยเฟยและกล่าวแนะนำตัวผู้มาใหม่ทั้งสอง
จากนั้นทุกคนก็นั่งรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างมีความสุข
หลังมื้ออาหารค่ำ จางหยวนและเฟยเฟยก็กลับไปที่โรงครัวซึ่งมีฉินเหยียนที่ขอตามไปช่วยด้วยอีกแรง เวลานี้จึงมีเพียงฉินอวี้โม่เป็นสตรีคนเดียวในห้องโถงนี้
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าทราบดีว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อบุปผาแห่งแสงและทราบดีว่ามันมีความสำคัญอย่างไรต่อดินแดนเทพมายา เพียงแต่…การที่ต้องการจะครอบครองมันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อย”
การที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ช่วยซ่อมแซมม่านป้องกันและคุ้มกันเกาะไร้กังวล แน่นอนว่าอู๋ฉงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด หากเป็นไปได้ เขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินอวี้โม่จะได้ครอบครองบุปผาแห่งแสงดังที่ต้องการ เพียงแต่ตอนนี้บุปผาแห่งแสงแตกต่างจากที่พวกนางจินตนาการไว้มาก
“ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ ?”
ฉินเฟิงเอ่ยถามเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ใช้พลังวิญญาณของตนแผ่ออกไปสำรวจทั่วทั้งเกาะแห่งนี้แล้วทว่าไม่พบบุปผาแห่งแสงที่กล่าวถึง แน่นอนนั่นทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วบุปผาแห่งแสงอยู่ที่ใด
“อันที่จริง…พวกเจ้าทุกคนได้พบกับบุปผาแห่งแสงแล้ว”
อู๋ฉงถอนหายใจยาวและกล่าวตอบ ตั้งแต่ที่เข้ามาในเกาะแห่งนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ล้วนได้พบกับ ‘บุปผาแห่งแสง’ แล้ว
“ท่านลุงอู๋กำลังหมายถึงเฟยเฟยอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันขณะคาดเดาในหัวใจได้ทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่ประหลาดใจเลยสักนิดเนื่องจากสัมผัสได้ตั้งแต่ต้นว่าเด็กสาวตาบอดผู้นั้นมีบางอย่างที่ผิดปกติเหนือธรรมชาติ ทว่าในที่สุดพวกนางก็ได้ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด
“ถูกต้อง บุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างของเฟยเฟย”
อู๋ฉงพยักศีรษะเบา ๆ และเริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด
เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน เขาพบเฟยเฟยผู้ซึ่งยังเป็นเพียงทารกน้อยอยู่ริมหาดของเกาะไร้กังวล เวลานั้นนางมีอายุเพียงสามเดือนเท่านั้น
อู๋ฉงไม่ทราบว่าเฟยเฟยลอยมาถึงที่เกาะไร้กังวลได้อย่างไร หรือเป็นบุตรของผู้ใด ในตอนนั้นนางนอนอยู่ในอ่างไม้โดยไม่ส่งเสียงร้องไห้หรือสร้างความวุ่นวายใด ๆ ซึ่งดูน่ารักน่าชังเป็นที่สุด จากนั้นอู๋ฉงก็พาตัวเฟยเฟยกลับมาที่เกาะเพราะเขาทราบดีว่าทุกคนที่นี่ต่างก็มีจิตใจบริสุทธิ์และไม่มีความคิดร้ายใด ๆ และเขาก็เลี้ยงดูนางมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
“เมื่อห้าปีก่อน ข้าออกไปจากเกาะไร้กังวลครั้งหนึ่งและก็ได้พบกับใครบางคน ข้าไม่ทราบว่าคนผู้นั้นเป็นใครและไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็บอกกับข้าว่ามีบุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างกายของเฟยเฟย หากนำมันออกมา นางจะต้องตายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง และการที่เฟยเฟยมีดวงตามืดบอดตั้งแต่เด็กก็เพราะบุปผาแห่งแสงนั่นเอง”
ในความจริง การที่มีบุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างควรที่จะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ทว่านางกลับต้องสูญเสียแสงสว่างทุกอย่างในชีวิตไปเพราะมัน…ฟังดูเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพราะบุปผาแห่งแสงที่ทำให้เฟยเฟยมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ตัวอย่างเช่นการที่นางสามารถแยกแยะคนดีและคนชั่วได้ตั้งแต่แรกพบ และแม้จะมองไม่เห็นด้วยดวงตา นางก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและแทบจะไม่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปมากนัก…
“เพราะเหตุนี้ หากนำบุปผาแห่งแสงออกไป นั่นก็จะเท่ากับเป็นการฆ่าเฟยเฟย”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมุ่น แม้แต่นางก็ไม่เคยคาดคิดว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้
ไม่แปลกใจเลยที่นางไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงบนเกาะไร้กังวลแห่งนี้ได้ แท้ที่จริงมันก็อยู่ในร่างของเด็กสาวเฟยเฟยนี่เอง ไม่อาจทราบได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นจึงส่งผลให้กลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงแผ่ออกไปโดยไม่มีใครรู้ตัวและดึงดูดความสนใจของฝ่ายมารจนทราบว่ามันอยู่ในเกาะไร้กังวลแห่งนี้
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้ นั่นคือสาเหตุที่ข้าบอกว่าการครอบครองบุปผาแห่งแสงมิใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด”
อู๋ฉงพยักศีรษะด้วยแววตาบ่งบอกถึงความรู้สึกซับซ้อน
ฉินอวี้โม่ช่วยเกาะไร้กังวลไว้มากนักและบุปผาแห่งแสงก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผู้คนทั่วทั้งดินแดนเทพมายา กล่าวได้ว่าการสละชีวิตของเฟยเฟยก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม เขาเลี้ยงดูเฟยเฟยมาตั้งแต่แบเบาะและนางก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในเกาะแห่งนี้ หากทราบว่านางจะต้องตาย ไม่เพียงแต่อู๋ฉงเท่านั้นที่จะไม่เห็นด้วย ทว่าคนทั้งเกาะก็จะไม่เห็นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากต้องนำเอาบุปผาแห่งแสงออกมาจริง ๆ ความตายของเฟยเฟยก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงแม้จะไม่ได้พบปะผูกมิตรกันนานนัก อู๋ฉงก็ทราบดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่มีทางเลือกที่จะสละชีวิตของเฟยเฟยเพียงเพราะต้องการมาซึ่งบุปผาแห่งแสงอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้น เขาจึงกล่าวว่ามันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่พวกนางจินตนาการไว้
“มันไม่มีทางอื่นแล้วหรือ ?”
เมื่อทราบว่าบุปผาแห่งแสงมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเด็กสาวเฟยเฟย ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามได้ แม้การไม่มีบุปผาแห่งแสงอาจหมายความว่าฝ่ายของพวกนางจะไม่สามารถเอาชนะฝ่ายมารได้ อย่างไรก็ตาม นางก็มิอาจยินยอมกับการต้องสละชีวิตของเด็กสาวใสซื่อคนหนึ่งเพียงเพื่อบุปผาแห่งแสง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวผู้นั้นก็คือเฟยเฟยซึ่งเป็นที่รักของทุกคน แม้จะสูญเสียแสงสว่างและสีสันของทั้งโลกไป นางก็ยังเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีและมองโลกในแง่ดี…
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน คนผู้นั้นเพียงบอกข้าว่าเฟยเฟยมีสภาวะร่างกายที่พิเศษ หากปราศจากบุปผาแห่งแสง นางจะต้องตายอย่างแน่นอน ข้าเองก็หวังว่าจะมีหนทางอื่น”
อู๋ฉงส่ายศีรษะเบา ๆ เขาทราบข้อมูลเพียงเท่านี้และบอกทุกอย่างที่มีให้กับฉินอวี้โม่ไปแล้ว
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งกังวลไปเลย อันดับแรกเราต้องลองคิดดูก่อนว่ายังมีหนทางอื่นอีกหรือไม่”
ฉินอวี้โม่วางแผนที่จะหารือกับบรรดาอสูรมายาของตนเพื่อคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ ทว่าหากไม่มีทางอื่นจริง ๆ นางก็ทำได้เพียงล้มเลิกและตัดใจไปจากบุปผาแห่งแสงเท่านั้น
หลายวันต่อมา แขกทั้งสี่ก็อาศัยอยู่ในเกาะไร้กังวลต่อไป
ประชากรชาวเกาะไร้กังวลก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ในทุก ๆ วันมักจะมีคนเชิญชวนฉินอวี้โม่และคณะไปที่บ้านของตนและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ราวกับว่าพวกนางเป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้เช่นกัน
เฟยเฟยก็เกาะติดกับฉินอวี้โม่ยิ่งกว่าเดิมราวกับเป็นญาติสนิทกันอย่างแท้จริง
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เหล่าอสูรก็กำลังหารือกันและพยายามคิดหาทางแก้ไขปัญหานี้อยู่ตลอดเวลา
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้มาก่อน”
มารยากล่าวด้วยความรู้สึกทึ่งใจ มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของบุปผาแห่งแสงจากร่างของเฟยเฟย ตลอดระยะเวลามากกว่าสิบปีที่ผ่านมา บุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างของเฟยเฟยอย่างปลอดภัยดี และมันไม่เพียงแต่ไม่หยุดเจริญเติบโตเท่านั้น ทว่ามันก็ใกล้ที่จะโตเต็มวัยแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างที่สุด
“บุปผาแห่งแสง บุปผาแห่งความมืดและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสามเป็นพฤกษาที่ทรงพลังและมหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้ ข้าคิดว่าการที่บุปผาแห่งความมืดใกล้ที่จะโตเต็มวัยคงจะเป็นตัวกระตุ้นให้บุปผาแห่งแสงแผ่กลิ่นอายออกไปก่อนหน้านี้ หลายคนจึงสัมผัสถึงมันได้”
ความแข็งแกร่งของซิวฟื้นฟูจนกลับคืนสู่ระดับสูงสุดแล้วและความทรงจำของมันก็กลับคืนมาทั้งหมด แม้นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องประหลาดเช่นนี้ มันก็ไม่นึกสงสัยในพลังลึกลับของบุปผาแห่งแสงแต่อย่างใด
“เด็กสาวเฟยเฟยนั่น…เกรงว่านางคงจะไม่ได้มาจากดินแดนนี้”
มันกล่าวข้อสันนิษฐานของตนออกมา ผู้ที่สามารถโอนถ่ายบุปผาแห่งแสงไปไว้ในร่างของเฟยเฟยและปกป้องไม่ให้นางถูกกลืนกินโดยพลังของบุปผาแห่งแสงจะต้องมิใช่คนจากดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน เห็นทีว่าต้นกำเนิดของเด็กสาวเฟยเฟยคงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“หากหาทางอื่นไม่ได้ เราคงทำได้เพียงตัดใจจากบุปผาแห่งแสง ถึงอย่างไรต่อให้ไม่มีมัน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายมาร”
เสี่ยวโพธิ์กล่าวแสดงความคิดเห็นของตน บุปผาแห่งแสงและบุปผาแห่งความมืดมีผลยับยั้งซึ่งกันและกัน ต่อให้บุปผาแห่งแสงจะมีส่วนช่วยได้มาก ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะปราบปรามและยับยั้งพลังของบุปผาแห่งความมืดได้โดยสมบูรณ์
“พี่อวี้โม่ ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าค่ะ~”
จู่ ๆ เด็กสาวเฟยเฟยก็วิ่งโร่เข้ามาหาฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
.