หานโม่ฉือเล่าสถานการณ์ของฝ่ายมารให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ทราบอย่างคร่าว ๆ ทว่านอกเหนือจากการได้ข่าวเกี่ยวกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ข่าวเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากที่ทุกคนทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว
พลังอำนาจโดยรวมของขุมกำลังมารร้ายในตอนนี้ก็นับว่าแกร่งกล้ามากจริง ๆ นอกเหนือจากผู้นำฝ่ายมารฮวาเฉินก็ยังมีผู้อาวุโสมากฝีมือหลายสิบคนและผู้คุมกฎอีกหลายร้อยคนโดยที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนเป็นจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดและผู้คุมกฎหลายร้อยคนนั้นก็มีพลังขั้นต่ำอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด
ด้วยความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขา กอปรกับพลังที่เพิ่มขึ้นจากการครอบครองบุปผาแห่งความมืดที่ทรงพลัง หากสงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ต่อฝ่ายดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอน
หากมิใช่เพราะบุปผาแห่งความมืดยังไม่โตเต็มวัย เกรงว่าฝ่ายมารก็คงริเริ่มทำสงครามไปแล้ว
หานโม่ฉือตั้งใจจะแฝงตัวอยู่ในฝ่ายมารเพื่อสืบข่าวต่อไป รวมถึงลองหาโอกาสดูว่าเขาจะสามารถควบคุมหรือหยุดการเจริญเติบโตของบุปผาแห่งความมืดได้หรือไม่
หลังจากตัดการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสาร ฉินอี้เฟยก็แยกตัวออกไปแจ้งข่าวให้ขุมกำลังพันธมิตรทั้งหมดในดินแดนเพื่อให้พวกเขาเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุดและพัฒนาความแข็งแกร่งของตนไปสู่จุดที่สมบูรณ์แบบที่สุด
“เมื่อยืนยันได้ว่าแม่ของเจ้ามิได้อยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายมาร ข้าก็พอจะโล่งใจได้ และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ เกรงว่านางคงจะไม่อยู่ในดินแดนเทพมายาของเราจริง ๆ”
ฉินเทียนถอนหายใจยาวและกล่าวกับฉินอวี้โม่ นอกจากบริเวณอาณาเขตของฝ่ายมาร พวกเขาก็ได้ออกตามหาและสืบเบาะแสของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปทั่วทั้งดินแดนเทพมายาแล้ว และตอนนี้ดูจะแน่ชัดแล้วว่านางมิได้อาศัยอยู่ในดินแดนเทพมายาแห่งนี้
“เจ้าค่ะ เมื่อสะสางปัญหาทุกอย่างในดินแดนเทพมายาจนเสร็จสิ้น เราจะไปที่ดินแดนระดับสูงเพื่อตามหาท่านแม่ด้วยกัน”
ด้วยการที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่ ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่านางจะตามหามารดาได้ในไม่ช้าก็เร็ว ตอนนี้ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“ฝ่ายมารต้องการจะส่งแม่ตัวปลอมของเจ้ามาที่นี่ หากเรามิให้ความร่วมมือสักหน่อย เกรงว่าคงจะเสียน้ำใจฮวาเฉินเป็นแน่”
เมื่อนึกถึงแผนการของผู้นำฝ่ายมาร ฉินเทียนก็แสยะยิ้มเยือกเย็น การวางแผนส่งภรรยาตัวปลอมมาที่นี่เพื่อหาทางทำลายนครล่าฝันนั้น ถือว่าขุมกำลังมารร้ายวางแผนคิดกลยุทธ์ได้ดีจริง ๆ หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแฝงตัวเข้าไปที่นั่นและได้ทราบแผนการดังกล่าวโดยบังเอิญ เกรงว่าเขาและทุกคนก็อาจถูกตบตาได้ง่าย ๆ
“ข้าเพียงนึกไม่ออกเลยว่าคนผู้นั้นจะปรากฏตัวในรูปแบบใด”
ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยเช่นกัน ในเมื่ออีกฝ่ายส่งใครบางคนมาที่นี่ พวกนางก็จะให้ความร่วมมือกับแผนการดังกล่าวเป็นอย่างดีเพื่อหาความสนุกกันสักหน่อย และสำหรับผู้ที่ปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋น นางเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นจะมิใช่บุคคลที่มีสถานะต่ำในฝ่ายมารอย่างแน่นอน
หลังจากหารือเรื่องอื่น ๆ กันระยะหนึ่ง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปจัดการงานของตนเอง ฉินอวี้โม่ก็มิได้เหนี่ยวรั้งพวกเขาแต่อย่างใดก่อนออกไปกับเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เพื่อไปหาบุตรน้อยทั้งสอง
เวลานี้ เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือกำลังเดินเล่นรอบนครล่าฝันโดยมีเสี่ยวโร่วให้การดูแลไม่ห่าง
เฟยเฟยที่ตาบอดมาโดยตลอดและอยู่ที่เกาะไร้กังวลมาตลอดสิบเอ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาสู่โลกภายนอกและมาเยือนเมืองใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่านางย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดาและหันมองดูสิ่งน่าตื่นเต้นทั้งซ้ายขวาด้วยแววตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็น
เด็กน้อยทั้งสองก็รู้สึกถูกชะตากับท่านน้าที่อายุน้อยจนไม่ต่างจากพี่สาวเป็นอย่างมากและหนึ่งในนั้นจับมือนางตลอดเวลาพร้อมซื้อข้าวของเอาใจไม่หยุดหย่อน
คนส่วนใหญ่ในนครล่าฝันรู้จักเด็กน้อยชายหญิงคู่นี้ดี และเมื่อเห็นพวกเขาออกมาท่องเมืองพร้อมกับเฟยเฟยซึ่งเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาก็แสดงรอยยิ้มเป็นมิตรกับนางเช่นกันซึ่งทำให้เด็กสาวที่ประหม่าในตอนแรกค่อย ๆ ผ่อนคลายมากขึ้น
“น้าเฟยเฟย ท่านหิวหรือไม่ ? ไปหาอะไรกินกันเถอะ~”
เสี่ยวอ้ายโม่ชี้นิ้วเล็ก ๆ ตรงไปที่ภัตตาคารซึ่งอยู่ไม่ไกลและกล่าวก่อนจูงมือเฟยเฟยเดินตรงไปที่นั่น
แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วและเสี่ยวอ้ายฉือก็เดินตามทั้งสองไปอย่างใกล้ชิด
คณะคนทั้งสี่ได้จองห้องแยกชั้นบนและสั่งอาหารที่น่ารับประทานเป็นจำนวนมากมา
“เฟยเฟย บอกมาได้เลยว่าเจ้าอยากกินอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่เกาะไร้กังวลมาตลอดและไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารของโลกภายนอก ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าและทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ…”
แม้เวลาผ่านมาหลายปี เสี่ยวโร่วก็ยังดูเหมือนเด็กสาวใสซื่อเรียบง่ายคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นางจับมือเฟยเฟยอย่างแผ่วเบาและรู้สึกถูกชะตากับคนตรงหน้าไม่น้อยเช่นกัน
“พี่เสี่ยวโร่ว ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เฟยเฟยยิ้มร่าเผยลักยิ้มเล็ก ๆ ทั้งสองข้างซึ่งดูน่ารักชวนหลงใหล
ไม่นานนัก อาหารทั้งหมดก็ถูกนำมาจัดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ในขณะเดียวกัน หลังจากฉินอวี้โม่จัดการเรื่องอื่นเสร็จสิ้น นางก็ตามมาที่ภัตตาคารนี้เช่นกัน
“พี่อวี้โม่ ท่านจัดการธุระเรียบร้อยแล้วรึเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ เฟยเฟยก็ผ่อนคลายลงมากและกล่าวทักทายก่อนเริ่มรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ลิ้มรสอาหารจากโลกภายนอก แม้สงสัยใคร่รู้ในตอนแรก นางก็พบว่ามันเอร็ดอร่อยอย่างที่คาดไม่ถึง
“ท่านแม่~”
เด็กน้อยชายหญิงกระโดดลงจากเก้าอี้ของตนและวิ่งโผเข้ากอดมารดา
เวลานี้ทุกคนอยู่ในห้องแยกติดหน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นภาพความคึกคักบนถนนหนทางได้อย่างชัดเจนขณะรับประทานอาหารมื้ออร่อยและพูดคุยท่ามกลางบรรยากาศที่น่าพึงพอใจ
“เอ๊ะ…เหตุใดคนผู้นั้นจึงสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นล่ะ ?”
หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญ เฟยเฟยก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อชื่นชมบรรยากาศก่อนกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตอนนี้นครล่าฝันกลายเป็นนครที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากการก่อตั้งนครล่าฝัน ทั้งการก่อสร้างนครและการจัดการในทุก ๆ ด้านก็ล้วนแต่สมบูรณ์แล้วทั้งสิ้น ตอนนี้ขอทานหลายคนที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของนครล่าฝันก็ล้วนมีที่พักที่ซุกหัวนอนแล้ว ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ตามเหมาะสม สำหรับคนชรา คนป่วยและคนพิกลพิการก็ได้รับการจัดสรรให้พักอยู่ในที่เดียวกัน ทั้งอาหารและเครื่องดื่มล้วนได้รับการจัดการดูแลโดยนครล่าฝัน และยังรวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาดสะอ้านและสมบูรณ์
กล่าวได้ว่าในช่วงเวลาปกติจะไม่มีขอทานปรากฏตัวตามถนนหนทางของนครล่าฝัน
ทว่าบนถนนเวลานี้กลับมีคนผู้หนึ่งซึ่งมีลักษณะท่าทางเหมือนขอทานกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง
คนผู้นั้นแท้จริงแล้วดูจะเป็นสตรีนางหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าของนางก็ยุ่งเหยิงและใบหน้าเปรอะเปื้อนสกปรกจนยากที่จะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ นางนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกำแพงในสภาพสั่นเทาราวกับหวาดกลัวต่อผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบตัว หลายคนก็หยุดและเอ่ยถามบางอย่างกับนางด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทว่าผู้ที่ดูเหมือนขอทานกลับไม่กล่าวสิ่งใดซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย
“คุณหนู ไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วเป็นคนจิตใจดีอย่างที่สุด เมื่อเห็นขอทานน่าสงสารปรากฏตัว แน่นอนว่านางก็ลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลและต้องการจะออกไปช่วยเหลือขอทานผู้นั้น
“ได้สิ ไปดูกันเถอะ”
แสงประกายบางอย่างฉายวาบในแววตาของฉินอวี้โม่ขณะนางพยักศีรษะและไม่หักห้ามเสี่ยวโร่ว
นางมีข้อสันนิษฐานในหัวใจแล้ว ทว่านางก็ยินดีที่จะ ‘ให้ความร่วมมือ’
ทั้งคณะออกจากภัตตาคารและเดินตรงไปยังทิศทางของขอทานผู้นั้น
ในตอนนี้ก็มีผู้คนที่ล้อมรอบบริเวณนี้เป็นจำนวนมากแล้ว
“สตรีผู้นี้เป็นใบ้หรืออย่างไร ? เหตุใดจึงไม่เอ่ยตอบอะไรเราเลย ?”
ใครคนหนึ่งพยายามสอบถามที่มาที่ไปของขอทานผู้นี้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้และน้ำเสียงของเขาเริ่มบ่งบอกว่าหมดความอดทนเต็มที
การที่จู่ ๆ ก็มีขอทานปรากฏตัวบนถนนในนครล่าฝันเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนที่พบเห็นย่อมสงสัยใคร่รู้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทุกคนทราบดีว่านครล่าฝันมีระบบการจัดการดูแลขอทานที่ไม่เหมือนที่ใดและไม่มีขอทานคนใดปรากฏบนท้องถนนมานานแล้ว ซึ่งการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของขอทานผู้นี้ย่อมเป็นที่สังเกตได้ง่าย
“นั่นก็เป็นไปได้ ทว่าดูจากท่าทางของนางแล้ว นางก็คงจะได้ยินพวกเรา เราได้บอกไปแล้วว่าควรทำอย่างไร หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับนางเท่านั้น”
ใครอีกคนกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดเช่นกัน
เมื่อครู่นี้เขาได้บอกกับขอทานผู้นี้ไปแล้วว่าตราบใดที่เข้าไปที่สำนักงานทะเบียนของนครล่าฝัน นางจะได้รับการช่วยเหลือและได้รับการจัดการดูแลอย่างเหมาะสม เพียงแต่ขอทานตรงหน้าก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนราวกับกำลังรอใครสักคน
“เกิดเรื่องอะไรกันรึ ? แล้วเหตุใดสตรีผู้นี้จึงดูน่าสงสารนัก ?”
เมื่อเสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่มาถึง เสี่ยวโร่วก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวขึ้นก่อน
จู่ ๆ ขอทานบนถนนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองและเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวโร่วด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจ
“เจ้า…เจ้าเสี่ยวโร่วใช่รึไม่ ?”
นางลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่ยังสั่นเทาและมองเสี่ยวโร่วพร้อมน้ำตาแห่งความสุขที่ไหลออกมา
“ท่านเป็นใคร ? ท่านรู้จักชื่อของข้าได้อย่างไร ?”
เสี่ยวโร่วขมวดคิ้วมุ่นทันที แววตาของสตรีผู้นี้แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจทันทีที่พบหน้าตน ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร…”
ทว่าเมื่อสายตาของนางบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ด้านหลังของเสี่ยวโร่ว น้ำตาของสตรีผู้นั้นก็ไหลอาบแก้มอย่างมิอาจควบคุม
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์…”
นางค่อย ๆ ก้าวตรงไปหาฉินอวี้โม่และพึมพำเบา ๆ
“ท่านเป็นใคร ?”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ได้รับการพิสูจน์แล้วทว่าสีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย นางแสร้งทำเป็นงุนงงและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าตามหาเจ้ามานานเหลือเกิน”
สตรีรูปลักษณ์คล้ายขอทานเดินไปหยุดลงตรงหน้าฉินอวี้โม่ขณะเอื้อมมือออกไปโดยต้องการที่จะสวมกอดอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ราวกับนางสังเกตเห็นบางสิ่งและดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ร่างของนางสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนทรุดนั่งลงและน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างหนัก
“ท่านป้า ท่านเป็นใครกัน ? แล้วเหตุใดท่านถึงร้องไห้ล่ะ ?”
เสี่ยวอ้ายโม่จับมือมารดาไว้แน่น สตรีตรงหน้ากำลังร่ำไห้อย่างเศร้าโศก ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดนางจึงไม่รู้สึกเห็นใจหรือสงสารแม้แต่น้อย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าเอง…แม่ของเจ้า… ตอนที่แม่ทิ้งเจ้าไป เจ้ายังแบเบาะเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะจำแม่ไม่ได้”
สตรีผู้นั้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตนเองและปัดสิ่งสกปรกที่เปื้อนใบหน้าเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจน
ใบหน้าที่ปรากฏในตอนนี้ก็มิใช่ใครอื่น…หากแต่เป็นใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั่นเอง
“สวรรค์ ! ฮูหยินใหญ่ !”
เมื่อเห็นใบหน้าของสตรีตรงหน้าอย่างชัดเจน เสี่ยวโร่วก็อุทานออกไปทันที
เมื่อครั้งยังอยู่ในดินแดนหวนหลิง หลี่ก่วนปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและใช้ใบหน้าของนางเช่นกัน การที่เสี่ยวโร่วจะจดจำนางได้จึงมิใช่เรื่องแปลก
“ท่านแม่ ?”
ฉินอวี้โม่ ‘ตกตะลึง’ ขึ้นมาก่อนสีหน้าแสดงถึงความตื่นเต้นและกล่าวออกไป “ใช่ท่านแม่จริง ๆ ด้วย ! ในที่สุดเราก็พบท่าน !”
หลังจากกล่าวจบ นางก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของคนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นดีใจทันทีโดยไม่สนใจสิ่งสกปรกตามเสื้อผ้าที่อาจเปื้อนตน
“แม่เจ้า ที่แท้ก็เป็นมารดาของแม่นางฉินอวี้โม่นี่เอง !”
เมื่อฝูงชนที่รวมตัวกันโดยรอบได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็อุทานออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่พยายามตามหามารดามาเนิ่นนาน ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ มารดาที่ตามหาจะปรากฏตัวที่นครล่าฝันด้วยตัวเอง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ในที่สุดข้าก็พบเจ้าเสียที”
‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ กอดฉินอวี้โม่ในอ้อมแขนไว้แน่นขณะน้ำตายังคงไหลรินอย่างมิอาจควบคุมและถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้น
“ฮูหยิน ในเมื่อมาถึงนครล่าฝันแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ไปที่จวนจ้าวนครเพื่อตามหาพวกเราแต่กลับอยู่ตรงนี้ล่ะเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วตื่นเต้นอย่างมากและอดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงกังวลไม่ได้
“ข้าก็อยากไป เพียงแต่สภาพของข้าในตอนนี้ ต่อให้กล่าวสิ่งใดก็คงไม่มีใครเชื่อ ข้ารออยู่ตรงนี้มานานหลายวันเพื่อลองเสี่ยงโชคดู ตอนนี้ดูเหมือนว่าการเฝ้ารอคอยของข้าจะไม่สูญเปล่า”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกล่าวอธิบายด้วยเสียงสะอื้นราวกับได้ผ่านเรื่องราวพลิกผันมากมายของชีวิตซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
“ท่านแม่ เรากลับไปที่จวนจ้าวนครกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ผละออกจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและยิ้มให้กับทุกคนอย่างเขินอายก่อนกล่าวขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าสบายดีรึไม่ ?”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยักศีรษะและเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยถาม
“พวกเขาสบายดีเจ้าค่ะ อีกไม่นานท่านแม่จะได้พบกับพวกเขา หากท่านพ่อทราบมาท่านแม่อยู่ที่นี่ เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและจับมือของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋น’ ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นไม่เปลี่ยนแปลง