“เอ่อ… ภรรยา…ของท่านอย่างนั้นหรือ ?”
สตรีน้อยผู้นั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนเรียกสติกลับคืนมา นางเงยหน้ามองหานโม่ฉือพร้อมกับกล่าวออกมา ทว่าวาจาของนางก็ตะกุกตะกักอย่างชัดเจน
นางไม่คิดเลยว่าบุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้จะมีภรรยาอยู่แล้ว อายุของเขาดูจะอยู่ในช่วงวัยยี่สิบปีเท่านั้น แล้วเหตุใดเขาจึงมีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนเร็วนัก ?
หัวใจของสตรีผู้นี้แตกสลายไปอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้นางไม่สามารถควบคุมสีหน้าท่าทางของตนได้ด้วยซ้ำและชะงักนิ่งงันอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ ภรรยาของข้า ข้าและภรรยาถูกลอบทำร้ายก่อนที่เราทั้งสองจะหมดสติไป ไม่ทราบว่าตอนที่เจ้าช่วยข้า เจ้าเห็นภรรยาของข้ารึไม่ ?”
หานโม่ฉือพยักศีรษะยืนยัน เมื่อเห็นท่าทางประหลาดของสตรีตรงหน้า เขาจึงกล่าวถึงภรรยาออกไปโดยตรง สตรีผู้นี้น่าจะมีอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงวัยที่หวั่นไหวต่อสิ่งล่อตาล่อใจเป็นที่สุด เขาจึงไม่ต้องการปล่อยให้นางจินตนาการถึงสิ่งใดที่เกินจริง
“ข้าไม่เห็นใครอื่นเลย ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่นอนอยู่ตรงนั้น”
สตรีน้อยค่อย ๆ เรียกสติกลับมาและควบคุมอารมณ์ของตนไว้ นางถอนหายใจเงียบ ๆ อยู่ในใจทว่ากล่าวตอบออกไปตามความจริง น่าเสียดายยิ่งนักที่พี่ชายรูปหล่อมีภรรยาแล้ว นางจึงไม่มีโอกาสใด ๆ เลย
อย่างไรก็ตาม นางเชื่อว่าการได้เป็นสหายกับพี่ชายที่ดูดีเช่นนี้คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
“พี่ชาย ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไรรึ ? ข้าชื่อเหมียวเจินเจิน”
เมื่อทราบว่าหานโม่ฉือมีเจ้าของครองใจแล้ว เหมียวเจินเจินก็เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกเขาทันที จากเดิมที่เรียกเขาว่าคุณชาย นางก็เปลี่ยนเป็น ‘พี่ชาย’ อย่างรวดเร็ว
“หานโม่ฉือ”
หานโม่ฉือเปิดเผยชื่อของตนออกไปตามตรงและกล่าวต่อ “ขอบคุณมากที่ช่วยข้า ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนแล้วล่ะ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็หันหลังและกำลังจะเดินจากไป
“พี่หานอยู่ต่อก่อนเถอะ”
เหมียวเจินเจินวิ่งปรี่ไปขวางหน้าหานโม่ฉือและแสดงสีหน้ากังวลขึ้นมา “พี่หาน หากท่านถูกใครคนอื่นลอบทำร้ายจริง นั่นก็หมายความว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้การที่ท่านสูญเสียพลังทั้งหมดไป หากคน ๆ นั้นเข้ามาทำร้ายท่านอีก ท่านจะทำอย่างไรเล่า ? ข้ารู้ว่าท่านคงจะเป็นห่วงภรรยามาก เหตุใดท่านไม่วาดภาพของนางมาให้ข้าล่ะ ข้าจะส่งคนไปสืบข่าวตามหานางให้ท่านเอง”
แม้จะรู้สึกจนปัญญา ทว่านางก็ไม่อาจทำอะไรได้ หานโม่ฉือผู้นี้รูปงามจนนางไม่สามารถควบคุมสีหน้าท่าทางของตนเองได้เลย แม้ทราบดีว่าตนไม่มีโอกาส แต่นางก็ไม่ต้องการให้หานโม่ฉือต้องเจ็บตัวอีก ถึงอย่างไรแล้วเหมียวเจินเจินก็เป็นคนจิตใจดีไม่น้อย
หานโม่ฉือยังคงนิ่งเฉยและไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวแต่อย่างใด
“พี่หาน ไม่ต้องห่วง ข้าทราบแล้วว่าท่านมีภรรยาและจะไม่ทำอะไรที่เกินงามแน่ อีกอย่าง…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับบุรุษที่หล่อเหลาเช่นท่าน เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องหลงใหลไปกับรูปลักษณ์ของท่าน ไม่มีอะไรที่มากไปกว่านั้น”
ต้องกล่าวเลยว่าสตรีตัวน้อยเหมียวเจินเจินชาญฉลาดพอสมควร นางคาดเดาความคิดของหานโม่ฉือได้อย่างแม่นยำและรีบกล่าวอธิบายออกมา
อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของนางยังคงรู้สึกประทับใจหานโม่ฉือไม่เปลี่ยนแปลง บุรุษหนุ่มรูปงามไร้ผู้ใดเทียบได้เช่นนี้พบได้ยากเป็นที่สุด
“ข้าว่าท่านไม่ต้องกังวลเรื่องภรรยาของท่านหรอก เมื่อท่านหายดีเมื่อไหร่ ท่านก็จะออกตามหานางได้โดยเร็วที่สุด”
นางกล่าวเสริมขึ้นมา ทว่าในใจก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าสตรีแบบใดกันที่จะครองใจหานโม่ฉือได้อย่างอยู่หมัดเช่นนี้
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณเจ้ามาก”
หานโม่ฉือลังเลเล็กน้อยทว่าพยักหน้าตอบตกลงในที่สุด
เขาไม่ทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับดินแดนนี้และตอนนี้ก็ยังสูญเสียพลังทั้งหมดไป ต่อให้ไปจากที่นี่ เขาก็ยังไม่ทราบเลยว่าจะต้องมุ่งหน้าไปทางไหน เพราะเหตุนั้นเขาก็คิดเช่นกันว่าควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นก่อน…
สำหรับน้ำใจของเหมียวเจินเจินในครานี้ เขาจะจดจำมันไว้อย่างดี หากมีโอกาสในภาคภายหน้า การที่จะตอบแทนในตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไป
จากนั้นเหมียวเจินเจินก็ส่งคนไปหยิบกระดาษและดินสอเข้ามา หานโม่ฉือก็คิดจินตนาการอยู่ครู่หนึ่งก่อนเริ่มลงมือวาดภาพของฉินอวี้โม่ลงบนกระดาษนั้น
ภาพวาดของเขาดูเสมือนจริงและราวกับมีชีวิตขึ้นมา เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ขณะถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมดของสตรีคนรักลงบนกระดาษในมือ
“ว้าววว ! ช่างงดงามยิ่งนัก !”
เหมียวเจินเจินถึงกับอดอุทานออกไปไม่ได้ เพียงมองดูภาพวาดตรงหน้า นางก็ทราบได้แล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่งดงามเพียงใด ไม่แปลกใจเลยที่หานโม่ฉือจะรักนางอย่างที่สุดและถามหาทันทีที่ไม่พบหน้า รวมถึงการที่เขากล่าววาจาเด็ดขาดไร้เยื่อใยต่อหน้าตน
“พี่หาน ไม่ต้องห่วง ข้าจะสั่งให้คนคัดลอกภาพนี้ไว้และให้คนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับภรรยาของท่าน”
นางรับภาพวาดที่งดงามและเสมือนจริงดุจดั่งภาพถ่ายมา ก่อนสั่งให้คนนำมันไปให้บิดาของตนเพื่อเริ่มเตรียมการสืบหาเบาะแสของฉินอวี้โม่
“ที่นี่คือที่ใดรึ ?”
หานโม่ฉือนั่งลงและเอ่ยถาม เวลานี้เขาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า
“ที่นี่คือเมืองเทียนยิน”
เห็นได้ชัดว่าเหมียวเจินเจินเป็นคนช่างจ้อพอสมควร นางเล่าถึงสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพนี้อย่างยาวเหยียดซึ่งช่วยให้หานโม่ฉือมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมาก
เรือนที่เขาพักอยู่ในตอนนี้อยู่ในเมืองที่มีชื่อว่า ‘เมืองเทียนยิน’ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลจั่วโจวทางตะวันตกของดินแดนและตระกูลเหมียวคือหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดของเมืองนี้ ในวันนั้นเหมียวเจินเจินออกไปเที่ยวเล่นซื้อของและเห็นหานโม่ฉือนอนหมดสติอยู่ริมถนนจึงตัดสินใจเข้าไปช่วย เขานั้นหมดสติไปนานถึงสามวันสามคืนก่อนที่จะฟื้นขึ้นมา
“ท่านพ่อบอกว่าท่านได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก พลังในร่างกายของท่านจึงหายไปชั่วคราว ทว่าหลังจากผ่านเวลาไปสักระยะ พลังของท่านก็จะฟื้นคืนกลับมาเอง”
เหมียวเจินเจินก็พูดต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนว่านางจะเป็นคนอารมณ์ดีและร่าเริงพอสมควร
“อีกอย่าง…พี่หานไม่ต้องกังวลไปเลย ในเมื่อพี่สะใภ้ทรงพลังนัก จะไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นกับนางแน่ ๆ”
นางกล่าวปลอมประโลมหานโม่ฉือด้วยสีหน้ามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าภรรยาของข้าทรงพลัง ?”
หานโม่ฉือมองเด็กสาวตรงหน้าและอดยกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ไม่ได้
เหมียวเจินเจินน่าจะมีอายุเพียงประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้นและลักษณะท่าทางที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของนางทำให้เขานึกถึงเยว่ชิงเฉิง เด็กสาวผู้นี้ดูจะคล้ายกับเยว่ชิงเฉิงไม่น้อยเลยทีเดียว
“แน่นอนว่าข้ามองออก”
เหมียวเจินเจินยิ้มร่าและกล่าวอย่างจริงใจ ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เพียงมองภาพวาดของฉินอวี้โม่ นางก็รู้สึกได้ว่าสตรีผู้นั้นน่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างมากและเป็นผู้ที่งดงามสะดุดตาจนคนทั่วทั้งดินแดนต้องตกตะลึง…
“ว้าววว พี่หาน ตอนท่านยิ้มนี่ใจข้าจะละลายเลยล่ะ !”
เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้ายกยิ้มมุมปาก เหมียวเจินเจินก็อดกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ได้ หานโม่ฉือผู้นี้หล่อเหลาอย่างที่สุดและแม้แต่บุรุษที่กล่าวกันว่าหล่อเหลาที่สุดในเมืองนี้ก็ยังเทียบกับหานโม่ฉือไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
…
นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ คนอื่นก็กระจัดกระจายไปในที่ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวกลับโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองปรากฏตัวในเมืองเดียวกัน เพียงแต่ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่ต่างกันจึงยังไม่ได้พบกันในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฉินเทียนกลับตกไปอยู่ในอาณาเขตของนิกายหมื่นบุปผา…
ทางด้านของฉินอวี้โม่ ฉินอันที่ไปพบกับผู้ว่าการของเมืองเพื่อสืบเบาะแสต่าง ๆ ก็กลับมาพร้อมแผนที่ของดินแดนมหาเทพ
“เสี่ยวอวี้โม่ เราเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ในเมืองขนาดเล็กและไม่รู้อะไรมากนัก แม้แต่ท่านผู้ว่าการเองก็มีแผนที่เพียงใบนี้ใบเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเก็บรักษามานาน ข้าจะมอบมันให้เจ้า หวังว่ามันจะสามารถช่วยเจ้าได้”
เขายื่นแผนที่ให้กับฉินอวี้โม่และหลังจากบอกนางเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินมา เขาก็ไม่ขัดจังหวะกวนใจให้เสียเวลาและเดินแยกออกไปทันที
ฉินอวี้โม่เปิดแผนที่และไล่ดูรายละเอียดที่มีพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางไม่ทราบเลยว่าตอนนี้หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใด ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก เกรงว่าการตามหาทุกคนให้พบกันพร้อมหน้าจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร…
ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านมาอีกหลายวัน
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ พลังของฉินอวี้โม่ก็เริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และนางรู้สึกได้ว่าพลังที่สูญเสียไปค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างกายของตน คาดว่าอีกไม่นานความแข็งแกร่งของนางก็จะกลับคืนสู่ระดับเดิมอย่างที่เคยเป็น
ฉินอันก็ยังคงช่วยสืบหาเบาะแสให้กับนาง สำหรับป้าฉิน ในตอนนี้เมื่อทราบแน่ชัดว่าฉินอวี้โม่จะไปจากที่นี่ในอีกไม่นาน นางก็ขยันเตรียมอาหารอร่อย ๆ ทุกมื้ออย่างกระตือรือร้น
ฉินอวี้โม่ได้จดจำความดีทั้งหมดของผู้มีพระคุณทั้งสองไว้ในใจและคิดว่าเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง นางจะพาทั้งสองไปยังสถานที่ที่มั่นคงและปลอดภัยต่อชีวิตและดูแลทั้งสองคนให้สุขสบาย
อย่างไรก็ตาม ความสงบก็คงอยู่ได้ไม่นาน ในวันนี้ฉินอวี้โม่และป้าฉินกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ในลานหน้าบ้านอย่างสบาย ๆ ทันใดนั้นเองฉินอันก็วิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ตึงเครียดและคิ้วที่ขมวดเป็นปม
“ท่านพี่ มีอะไรรึ ?”
ป้าฉินลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาฉินอันก่อนกล่าวด้วยสีหน้ากังวลใจ
ฉินอันมองไปที่ฉินอวี้โม่และถอนหายใจยาว “เสี่ยวอวี้โม่ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว เจ้าต้องรีบไปตั้งแต่ตอนนี้”
“ลุงฉิน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและเอ่ยถามด้วยความสับสน พลังความแข็งแกร่งของนางยังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มที่ แล้วเหตุใดจู่ ๆ ฉินอันจึงกล่าวราวกับขับไสไล่ส่งนางเช่นนี้ ?
“ใช่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ ? เหตุใดท่านถึงต้องรีบร้อนไล่เสี่ยวอวี้โม่ไปจากที่นี่กัน ?”
ป้าฉินเองก็แสดงสีหน้าฉงนงุนงงเช่นกันและมองสามีเพื่อรอคำอธิบาย
“มีแขกกลุ่มหนึ่งมาหาท่านผู้ว่าการซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าไปพบกับท่านผู้ว่าการเพื่อสืบข่าวความคืบหน้าทว่าได้ยินคุณชายผู้นั้นกล่าวว่าสนใจในตัวเสี่ยวอวี้โม่และคิดจะพาตัวนางกลับไปเป็นสนม ดูเหมือนว่าตระกูลของบุรุษหนุ่มคนนั้นจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและแม้แต่ท่านผู้ว่าการก็เกรงอกเกรงใจเขาเช่นกัน หากเสี่ยวอวี้โม่ไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้”
ฉินอันถอนหายใจยาวและกล่าวอธิบาย
เมื่อสามวันก่อน มีคนกลุ่มหนึ่งมาที่เมืองนี้และดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นเพียงผ่านมาโดยบังเอิญ ในตอนแรกยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าใครบอกพวกเขาเกี่ยวกับสตรีรูปงามที่อาศัยอยู่ที่นี่และทำให้คนเหล่านั้นเกิดความคิดบางอย่างที่ไม่สมควร หลังจากนั้นคุณชายของตระกูลใหญ่ผู้นั้นก็แอบมาลอบมองดูฉินอวี้โม่อยู่เช่นกันและพึงพอใจกับรูปลักษณ์ของนางเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาก็กำลังหารือกับผู้ว่าการของเมืองเพื่อที่จะรับตัวนางกลับไปเป็นนางสนมของตน
เมื่อได้ทราบเช่นนี้ ฉินอันก็รีบกลับมาด้วยหวังว่าจะส่งฉินอวี้โม่ไปที่อื่นได้ทันก่อนคนเหล่านั้นมาถึง
“ชักจะมากเกินไปแล้ว ท่านพี่ไม่ได้บอกผู้ว่าการรึว่าเสี่ยวอวี้โม่แต่งงานมีลูกแล้ว เหตุใดเขาจึงตกปากรับคำคนพวกนั้นอีก !”
ป้าฉินเกรี้ยวโกรธไม่น้อย นางได้อธิบายตัวตนของฉินอวี้โม่กับคนอื่น ๆ ไปแล้วโดยกล่าวว่าเป็นญาติห่าง ๆ จากต่างถิ่นที่เกิดปัญหาบางอย่างที่บ้านของตนและมาพักที่นี่เป็นระยะเวลาหนึ่ง รวมถึงได้บอกคนเหล่านั้นว่าฉินอวี้โม่แต่งงานมีครอบครัวแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น
ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งปัญหาจะตามมาจนได้
“ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้วล่ะ รีบเก็บข้าวของและส่งเสี่ยวอวี้โม่ไปที่อื่นก่อนเถอะ คนพวกนั้นน่าจะกำลังมาที่นี่แล้ว หากมัวแต่ชักช้า ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป”
ฉินอันบอกให้ป้าฉินเตรียมเก็บข้าวของให้กับฉินอวี้โม่ขณะคำนวณเวลาไปพร้อมกัน
“ท่านลุงฉิน ท่านป้าฉินเจ้าคะ ข้าไม่ไปหรอก หากข้าหนีไป คนพวกนั้นก็จะก่อเรื่องสร้างปัญหาให้กับท่านทั้งสองแน่ ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ…เรารอคนเหล่านั้นอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธทันทีและไม่คิดที่จะหนีไปไหน หากนางเอาตัวรอดไปได้ คนเหล่านั้นก็คงจะไม่ปล่อยฉินอันและภรรยาไปง่าย ๆ แน่ ฉินอวี้โม่ไม่มีทางปล่อยให้ผู้มีพระคุณของตนต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนั้น
นอกจากนี้ ในเมืองรอบนอกเช่นนี้ก็คงจะไม่มีผู้ใดที่ทรงพลังจนเกินไปและนางต้องการเห็นว่าผู้ที่ริอาจคิดจะพาตนกลับไปเป็นสนมจะฝีมือสักเพียงใด
“เสี่ยวอวี้โม่ คนพวกนั้นมีภูมิหลังที่ล้ำลึกมาก เราจะยั่วยุพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด เจ้าหลบหนีไปก่อนจะดีกว่า พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป อย่างมากพวกเขาก็จะทำให้ชีวิตเราลำบากขึ้นเท่านั้นและคงจะไม่ทำร้ายเรา”
ป้าฉินจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวโน้มน้าวใจเพื่อให้นางไปจากที่นี่เสียก่อน
“ท่านป้าฉินเจ้าคะ ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้วล่ะ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น”
ฉินอวี้โม่ยืนกรานและส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่
“ต่อให้เจ้าอยากจะหนี เจ้าก็หนีไปไหนไม่ได้หรอก !”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่กลุ่มคนแปลกหน้าจะปรากฏตัวหน้าลานกว้าง