ณ ตรงหน้าลานกว้างหน้าบ้านพักของสองสามีภรรยา แขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาและมุ่งหน้าตรงเข้ามาที่นี่
ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือเหล่าจาง—ผู้ว่าการของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ด้านหลังของเขาคือกลุ่มคนห้าคนที่สวมอาภรณ์หรูหราและตามมาอย่างใกล้ชิด หัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นคือบุรุษหนุ่มที่ดูจะมีอายุประมาณยี่สิบปีซึ่งมีรูปลักษณ์หน้าตาปกติทั่วไป รูปร่างของเขามีลักษณะอ้วนท้วนเล็กน้อยและดวงตาตี่เล็กจนแทบมองไม่เห็น ในเวลานี้ใบหน้าของเขาแสดงถึงความสุขอย่างเห็นได้ชัด คนอื่น ๆ อีกสี่คนรอบตัวเขาก็สวมอาภรณ์ที่ดูด้อยกว่าตัวเขาเล็กน้อยซึ่งคาดเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขา
“เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด นางงดงามมากจริง ๆ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ในลานหน้าบ้าน บุรุษหนุ่มก็อดเอ่ยชมออกมาไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีงดงามชวนตะลึงถึงเพียงนี้ แม้แต่สตรีที่กล่าวกันว่ามีความงามเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินก็คงเทียบฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ได้
“แม่นางคนงาม กลับไปกับข้าและเป็นสนมของข้าเถอะ นายน้อยผู้นี้จะตามใจเจ้าและจัดหาทุกอย่างให้ตามที่ต้องการ”
บุรุษหนุ่มผู้นี้มีนามว่า ‘ฉื่อไท่หลาง’ เขาเป็นนายน้อยของตระกูลฉื่อจากอำเภอซ่างหยวนซึ่งอยู่ในมณฑลชิงโจวแห่งนี้ เมืองฉินก็อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอซ่างหยวนและตระกูลฉื่อก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ฉินอินกล่าวว่าคนกลุ่มนี้คือคนที่ฉินอวี้โม่และพวกเขาไม่สามารถยั่วยุหรือสร้างความบาดหมางได้
“ขอโทษด้วยอวี้โม่ ข้าบอกกับนายน้อยฉื่อไปแล้วว่าเจ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ทว่านายน้อยกลับไม่สนใจและข้าก็ทำอะไรมากไม่ได้”
ผู้ว่าการเหล่าจางกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดทว่าเขาก็อับจนปัญญาเช่นกัน เขาไม่ทราบเลยว่าฉื่อไท่หลางทราบถึงตัวตนของฉินอวี้โม่ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เขาก็พยายามบอกไปหลายครั้งหลายคราว่านางแต่งงานมีสามีแล้วและเป็นมารดาของบุตรถึงสองคน อย่างไรก็ตาม นายน้อยตระกูลฉื่อไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลุงจาง ข้าไม่ถือโทษโกรธท่านหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับผู้ว่าการจางอย่างไม่ถือโทษโกรธเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางทราบดีว่าถึงอย่างไรนายน้อยของตระกูลใหญ่อย่างฉื่อไท่หลางผู้นี้ก็ไม่มีทางมองเห็นผู้ว่าการของเมืองเล็ก ๆ อยู่ในสายตาอย่างแน่นอน
“เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการจะพาตัวข้ากลับไปในฐานะนางสนมงั้นรึ ?”
นางหันไปมองฉื่อไท่หลางและยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยจนยากที่ผู้ใดจะคาดเดาความคิดที่ซ่อนไว้เบื้องหลังนางได้
“ถูกต้อง มาเป็นนางสนมของข้าเถอะ”
ดวงตาของฉื่อไท่หลางแทบพร่ามัวขึ้นมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามชวนหลงใหลของฉินอวี้โม่และเขาถึงกับตะลึงงันอย่างมิอาจควบคุม นี่เป็นสตรีที่งดงามที่สุดที่เขาเคยพานพบตลอดชีวิตที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ารอยยิ้มกระชากใจเป็นอย่างไร…
“น่าเสียดาย ข้าไม่เคยคิดจะเป็นนางสนมของผู้ใด”
ฉินอวี้โม่แสร้งแสดงสีหน้าและท่าทางผายมืออย่างจนปัญญา
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ ข้าจะขอให้ท่านพ่อแต่งตั้งเจ้าเป็นภรรยาของข้า”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉื่อไท่หลางรีบดึงสติกลับคืนมาและกล่าวตอบโดยไม่ลังเล หากได้สตรีผู้นี้มาอยู่ข้างกาย สตรีอื่นมากมายเพียงใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ไม่ว่าในฐานะนางสนมหรือภรรยา ตราบใดที่ฉินอวี้โม่ยินยอม เขาก็ยินดีทำทุกอย่าง
“ยังไม่พอหรอก ข้าไม่ชอบแบ่งสามีกับใครอื่น อีกอย่าง..ข้าแต่งงานแล้วและมีลูกถึงสองคน”
ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้พูดคุยกัน นายน้อยตระกูลฉื่อผู้นี้ก็ดูจะไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายเท่าใดนัก ฉินอวี้โม่จึงจงใจลองเชิงเพื่อทดสอบเขาต่อไป
“มิใช่ปัญหา ข้าไม่สนใจหรอก หากเจ้าอยากจะพามาด้วยก็ได้เลยและข้าจะเลี้ยงดูพวกเขาเหมือนลูกแท้ ๆ ส่วนสามีของเจ้า ข้าก็จะมอบทรัพย์สินเงินทองกองโตให้กับเขา และเจ้าไม่ต้องกังวลว่าต้องแบ่งสามีกับใคร ข้าให้คำมั่นว่าจะตบแต่งกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นและจะไม่แตะต้องสตรีคนอื่นแม้แต่ปลายเส้นผม”
ฉื่อไท่หลางส่ายศีรษะอย่างแรงเพื่อยืนยันว่าตนไม่สนใจปัญหาเหล่านี้ เวลานี้เขาหลงใหลฉินอวี้โม่จนหัวปักหัวปำและไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สำคัญในสายตาอีกต่อไป
“นายน้อย !”
หนึ่งในสี่ของผู้ติดตามอดกล่าวออกมาไม่ได้ ในตอนนี้นายน้อยของเขาโง่เขลาเกินไปแล้ว เขาจะให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้กับสตรีที่มีครอบครัวเป็นตัวเป็นตนแล้วได้อย่างไรกัน ?
“แม่นางคนงาม เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะ ?”
ฉื่อไท่หลางหันขวับไปมองผู้ติดตามคนนั้นตาเขม็งอย่างไม่พอใจก่อนหันกลับไปมองฉินอวี้โม่ตรงหน้าและเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมิใช่คนเลวร้ายเท่าไหร่นัก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางใช้ความคิด เดิมทีนางคิดที่จะสั่งสอนบทเรียนให้ฉื่อไท่หลางได้รู้สำนึก ทว่าตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน นางเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้เลวร้ายดังที่คิดไว้ในตอนแรก
“แน่นอน นายน้อยของเราก็มีศีลธรรมอยู่ในหัวใจ หากไม่ยินยอม นายน้อยของเราก็จะไม่มีทางบังคับฝืนใจใครแน่ !”
บุรุษหนุ่มซึ่งเป็นผู้ติดตามอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ แม้นายน้อยของพวกเขาจะโง่เขลาเบาปัญญา เขาก็ไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นการบีบบังคับขืนใจสตรี หากว่าไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาก็จะไม่บังคับอย่างแน่นอนและนั่นเป็นความจริงที่พวกเขาสามารถยืนยันได้
“หุบปาก !”
ฉื่อไท่หลางหันไปเอ็ดลูกน้องของตนและกล่าวต่อ “แม่นางคนงาม ตราบใดที่เจ้าเต็มใจกลับไปกับข้า ข้าจะยอมทำทุกอย่างขอเพียงเจ้าบอกมา”
เวลานี้คุณธรรมหรือศีลธรรมใด ๆ ของเขาก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีงามเช่นนี้ ตราบใดที่ได้นางมาครองเป็นของตน สิ่งอื่นใดก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา
“เอาล่ะ ข้าจะลองคิดดู…แต่ว่า สามีของข้าต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าข้าถึงจะปกป้องข้าได้ เกรงว่าเจ้าคงจะทำไม่ได้…”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวออกไป อันที่จริง ความแข็งแกร่งของฉื่อไท่หลางถือว่าดีพอสมควร ด้วยวัยเพียงประมาณยี่สิบปี พลังของเขาก็บรรลุขอบเขตนภาเซียนแล้ว หากสลับสับเปลี่ยนไปอยู่ที่ดินแดนเทพมายา บุรุษผู้นี้ก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดน
“บ๊ะ เหตุใดข้าจะทำไม่ได้ล่ะ !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ในที่สุดสีหน้าของฉื่อไท่หลางก็แสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อย
“แม่นางคนงาม ข้าคิดว่าเจ้าเป็นบุปผางามที่มิอาจเด็ดดอกออกมาได้และข้าไม่ต้องการที่จะทำร้ายเจ้า ในอำเภอซ่างหยวนแห่งนี้ ข้าถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่เพียบพร้อมมากที่สุด และข้าก็มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลฉื่อของเรา เจ้าจะบอกว่าข้ามีรูปลักษณ์ที่ธรรมดาก็ได้ แต่เจ้าจะสงสัยในความแข็งแกร่งของข้าไม่ได้เด็ดขาด !”
สีหน้าของเขาในตอนนี้แสดงถึงความภาคภูมิใจและทะนงตนอย่างชัดเจนจนดูราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ ดวงตาของเขาในตอนนี้ก็เบิกกว้างและใบหน้าที่มีน้ำมีนวลนั้นก็แดงขึ้นเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโมโห ทว่ามันกลับดูน่ารักไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าไม่สนใจคำพูดลมปากหรอก เหตุใดเราไม่มาลองทดสอบกันดูเลยล่ะ ? หากเจ้าชนะ ข้าจะกลับไปกับเจ้า แต่หากเจ้าแพ้…เจ้าต้องยอมรับข้าในฐานะ ‘ลูกพี่’ และต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างของข้าในอนาคต เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉื่อไท่หลางผู้นี้ยังคงมีดีอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉื่อก็คงจะมีเครือข่ายที่กว้างขวางและน่าจะสืบหาเบาะแสข้อมูลได้มาก เห็นทีการได้มีน้องเล็กที่มีศีลธรรมเช่นนี้ก็คงจะมิใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร
“ตกลง !”
ฉื่อไท่หลางพยักหน้าหงึกหงักและตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“เพื่อมิให้คนอื่นกล่าวกันไปว่าข้ารังแกเจ้า ข้าจะไม่ใช้พลังมายาและจะต่อสู้กันด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นลูกพี่”
เมื่อเห็นร่างบางของสตรีตรงหน้า เขาก็กล่าวเสริมขึ้นมาและไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะตนได้
“ตกลงตามนั้น !”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าฉื่อไท่หลางผู้นี้ดูน่ารักมากทีเดียว
“เสี่ยวอวี้โม่…”
ป้าฉินต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมา ทว่าฉินอันก็หยุดนางไว้ทันที เขาส่ายศีรษะให้กับภรรยาเพื่อมิให้เข้าไปขวางการดวลที่จะเกิดขึ้น ในเวลานี้พลังของฉินอวี้โม่ฟื้นฟูกลับคืนมามากแล้วและการต่อสู้กับฉื่อไท่หลางโดยที่ไม่ใช้พลังมายาเช่นนี้ก็คงจะมิใช่ปัญหาสำหรับนาง
“พวกเจ้าหลบไปก่อน !”
ฉื่อไท่หลางหันไปกล่าวกับคณะผู้ติดตามของตนก่อนที่คนเหล่านั้นจะรีบหลบออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ผู้ว่าการจางเองก็เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายป้าฉินและฉินอันด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาคิดว่าการที่ฉินอวี้โม่กล่าวปฏิเสธออกไปตรง ๆ ก็คงจะสะสางปัญหานี้ได้ แล้วเหตุใดนางจึงต้องต่อสู้กับฉื่อไท่หลางเช่นนี้ ?
ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนั้น นางจะเอาชนะฉื่อไท่หลางได้อย่างไรกัน ?
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันเลยเถอะ !”
ฉินอวี้โม่ก้าวตรงเข้าไปยืนตรงหน้าของฉื่อไท่หลางก่อนที่จะคลี่ยิ้มและพุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
“รวดเร็วยิ่งนัก !”
ฉื่อไท่หลางประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะรวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังมายาภายในร่างของฉินอวี้โม่อ่อนแอยิ่งนัก แล้วเหตุใดนางจึงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ?
ตูมมม !
ฉินอวี้โม่ประเคนหมัดตรงเข้าไปที่หน้าอกของฉื่อไท่หลาง ทว่าอีกฝ่ายตั้งรับไว้ได้ทัน
ต้องกล่าวเลยว่าฉื่อไท่หลางก็มีฝีมือพอสมควร แม้รูปร่างของเขาจะอ้วนท้วนไปสักหน่อย ทว่าการเคลื่อนไหวของเขาก็คล่องแคล่วอยู่ไม่น้อย แม้ไม่ใช้พลังมายาในร่าง เขาก็ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาฝึกฝนร่างกายของตนเองอยู่เป็นประจำ
สีหน้าของฉื่อไท่หลางยังคงประหลาดใจจนมองเห็นได้ เขาป้องกันหมัดของนางไว้ได้ทันทว่าร่างกายของเขาก็รู้สึกชาไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีร่างผอมบางตรงหน้าจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้
“ระวัง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยเตือนคู่ต่อสู้ขณะปล่อยการโจมตีอีกครั้ง ครานี้นางไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยและต้องการจบการดวลนี้โดยเร็วที่สุด
ฉื่อไท่หลางไม่กล้าประมาทอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้พลังมายาในร่างกาย เขาก็นำทักษะวิชาการต่อสู้ทั้งหมดที่เคยได้เรียนรู้ออกมาประยุกต์ใช้
ด้วยความพยายามในช่วงหนึ่ง ทั้งสองก็ปะทะกันไปมากกว่าสิบกระบวนท่า
“ไม่คิดเลยว่าฝีมือของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”
ฉื่อไท่หลางหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายและเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้ การโจมตีของฉินอวี้โม่เหนือกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเคลื่อนไหวหรือกระบวนท่าที่ใช้ ทุกอย่างล้วนไม่ด้อยไปกว่าตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าเขากำลังตกเป็นรองมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าเป็นเพียงพวกอันธพาลที่ดีแต่ปาก แต่ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนมุมมองของข้าได้มากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและปรากฏตัวตรงหน้าฉื่อไท่หลางอย่างกะทันหัน
จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปคว้าแขนของเขาและเหวี่ยงร่างของเขาฟาดลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง
“โอ๊ย !”
ด้วยเสียงร้องของความเจ็บปวดดังขึ้นมา ใบหน้าของนายน้อยตระกูลฉื่อก็กระแทกลงบนพื้นจนเลือดแทบออก
“ว่าอย่างไร ? หยุดแค่นี้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ยืนมองผลงานของตนเองพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทะนงตน
“ไม่ยอมหรอก !”
ฉื่อไท่หลางกระโดดลุกขึ้นและตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ทันที
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่อ่านการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำและรับมือได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้ความพยายามของฉื่อไท่หลางเปล่าประโยชน์สิ้นดี
ในทางตรงกันข้าม ฉินอวี้โม่ก็ชิงจังหวะโจมตีสวนกลับตรงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถึงสองครั้งในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ขอบตาของฉื่อไท่หลางในเวลานี้จึงดำคล้ำเหมือนกับหมีแพนด้า
“อ๊ากกกกกกกก !”
ฉื่อไท่หลางแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เขาเป็นถึงหนึ่งในยอดฝีมือหัวกะทิของอำเภอซ่างหยวน เขาจะเพลี่ยงพล้ำต่อสตรีอ่อนแอร่างบางเช่นนี้ได้อย่างไร ? เขายังคงส่งเสียงร้องต่อไปเมื่อถูกฉินอวี้โม่เหวี่ยงโยนลงกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนามากขึ้นเรื่อย ๆ
“พอแล้ว ไม่สู้แล้ว ลูกพี่ให้อภัยข้าเถอะ”
หลังจากล้มลงกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดฉื่อไท่หลางก็อดทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวและตะโกนขอความเมตตาทันที
ในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงความหมายของสำนวนที่ว่า ‘คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตา น้ำทะเลไม่อาจตวงวัดได้’ สตรีงดงามและดูอ่อนแอบอบบางผู้นี้กลับกลายเป็นนักสู้ที่ชื่นชอบความรุนแรงและน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด
“เจ้ายอมแพ้รึยัง ?”
ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปตรงหน้าฉื่อไท่หลางพลางเอ่ยถามและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เจ้า… เจ้าจะทำอะไรน่ะ ?”
เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ฉื่อไท่หลางก็รีบยกมือทั้งสองข้างบังร่างกายของตนและกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ไร้สาระน่า ข้าแค่จะช่วยดึงเจ้าขึ้นมา คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้างั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กลอกตาไปมาด้วยสีหน้าที่หม่นหมองทันที หรือว่าบุรุษผู้นี้จะมีสติปัญญาที่ไม่สมประกอบ…
“ลูกพี่ ท่านมีฝีมือที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้าขอชื่นชมท่านจากใจจริง !”
ฉื่อไท่หลางลุกขึ้นยืนด้วยแรงดึงของฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวอย่างจริงใจ เขาไม่เคยชื่นชมผู้ใดมาก่อนและฉินอวี้โม่เป็นคนแรกที่ได้รับมัน
“ข้าก็ชื่นชมตัวเองเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยวาจาที่ทำให้ฉื่อไท่หลางแทบสะดุดล้มหัวคะมำอีกครั้ง
“นายน้อย เป็นอะไรรึไม่ขอรับ ?”
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้หยุดลงแล้ว ผู้ติดตามคนอื่น ๆ ก็รีบปรี่เข้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลทันที