ในช่วงเวลานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้ประตูเมืองก็ทราบไปถึงคนของทั้งสองตระกูลใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เหอะ ฉื่อไท่หลางกล้าหยามหน้าตระกูลจูของข้าและยังไม่ลังเลที่จะประกาศสงครามกับตระกูลจูเพียงเพราะสตรีคนเดียวอย่างนั้นรึ ? นับว่ากล้าหาญทีเดียว !”
ณ จวนตระกูลจู จูปี้—ผู้นำตระกูลจูทราบข่าวจากผู้อาวุโสของตระกูลและแค่นเสียงเย็นชาออกมา
ตระกูลฉื่อและตระกูลจูเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอและเกิดการต่อสู้ขัดแย้งระหว่างกันอยู่เป็นประจำ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากอีกฝ่ายเหมือน ๆ กัน ทว่าแม้จะผ่านมานานนับร้อยปีก็ยังไม่มีฝ่ายใดชนะหรือพ่ายแพ้อย่างแท้จริง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตระกูลฉื่อก็พัฒนาอำนาจจนขึ้นมาอยู่เหนือกว่าตระกูลจูเล็กน้อย หากมิใช่เพราะฝ่ายตระกูลจูมีผู้อาวุโสที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียน เกรงว่าการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ก็คงไม่ลงเอยด้วยการเสมอกัน
“ไปเร็ว ตามข้าไปที่ประตูเมือง อยากเห็นนักว่าสตรีคนใดกันที่ทำให้ฉื่อไท่หลางประกาศสงครามกับตระกูลจูของเราอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ !”
เขารวบรวมคนของตระกูลก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองด้วยกัน
ในขณะเดียวกันนั้น ตระกูลฉื่อก็ได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นเช่นกัน
“ท่านผู้นำ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
ฉื่อซิ่ง—ผู้นำตระกูลฉื่อที่กำลังฝึกศิลปะคัดลายมืออยู่ภายในห้องตำรา ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของพ่อบ้านตระกูลฉื่อดังขึ้นมา
“มีอะไรรึ ? ครานี้บุตรตัวดีของข้าสร้างปัญหาอะไรอีกล่ะ ?”
ฉื่อซิ่งมีสีหน้าท่าทางที่ใจเย็นและคาดเดาได้ทันทีว่าฉื่อไท่หลางน่าจะสร้างเรื่องน่าปวดหัวอะไรสักอย่าง เขาไม่มีท่าทีตึงเครียดแม้แต่น้อยและทราบดีว่าบุตรชายของตนพอจะรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง ตั้งแต่วัยเด็ก เขามักสร้างปัญหาก่อความวุ่นวายเป็นประจำ ทว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตัวเองและไม่ต้องถึงมือบิดา
“ครานี้แตกต่างจากทุกคราขอรับ นายน้อยประกาศสงครามกับตระกูลจูอย่างซึ่ง ๆ หน้าเพียงเพราะสตรีนางหนึ่ง !”
เมื่อเห็นสีหน้าใจเย็นของผู้นำตระกูล พ่อบ้านตระกูลฉื่อก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา ในเมื่อเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดผู้นำจึงยังมีอารมณ์คัดลายมือประดิษฐ์อักษรอยู่ได้
“โอ้ จริงรึ ? สตรีใดกัน ?”
ฉื่อซิ่งวางพู่กันในมือลงและเห็นได้ชัดว่าเขาสนใจสตรีที่พ่อบ้านกล่าวถึง อย่างไรก็ตามเขายังคงดูใจเย็นและไม่รีบร้อนเช่นเดิม
“กล่าวกันว่าเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์ชวนตะลึงและงดงามยิ่งกว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลจูนับร้อยเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นลูกพี่ของนายน้อยด้วยขอรับ”
พ่อบ้านตระกูลฉื่อรายงานข่าวที่ได้รับให้ฉื่อซิ่งได้ทราบ ในตอนนี้เขาเองก็ทราบข้อมูลของสถานการณ์โดยรวมอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น
“เป็นนางนั่นเอง !”
เมื่อได้ยินวาจาของพ่อบ้าน ฉื่อซิ่งก็นึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้ ฉื่อไท่หลางกลับมาและเล่าเรื่องราวการพบปะกับฉินอวี้โม่ในเมืองฉินให้เขาได้ฟังแล้ว อันที่จริง ฉื่อซิ่งก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสตรีผู้นั้นเป็นอย่างมากและตั้งตารอวันที่นางมาเยือนเป็นแขกของอำเภอซ่างหยวน
“ท่านผู้นำขอรับ ตอนนี้นายน้อยสั่งคนล้อมรอบคนของตระกูลจูไว้แล้วและสั่งให้อีกฝ่ายขอโทษสตรีผู้นั้น มิฉะนั้นเขาจะประกาศสงครามกับตระกูลจู อีกทั้งเจ้าโง่จากตระกูลจูนั่นก็ข่มขู่ที่จะจับตัวสตรีผู้นั้นกลับไปเป็นสนมลำดับที่ยี่สิบและไม่ยอมรามือง่าย ๆ เราควรจะเรียกนายน้อยกลับมาหรือไม่ขอรับ ?”
พ่อบ้านกล่าวเสนอความคิดเห็นออกมา เขาเชื่อว่าการประกาศสงครามกับตระกูลจูในตอนนี้มิใช่เรื่องดีแน่ ผู้อาวุโสที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนของตระกูลจูก็ยังคงทำให้เขาหวั่นใจไม่น้อย หากนายน้อยคิดต่อสู้กับตระกูลจูเพื่อสตรีเพียงคนเดียว เกรงว่าอาจเป็นปัญหาที่เกินจะรับมือ
“แน่นอนว่าไม่”
ฉื่อซิ่งส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ไปเรียกเหล่าผู้อาวุโสและบรรดาศิษย์ตระกูลฉื่อมาทั้งหมด เราจะไปที่ประตูเมืองเพื่อสนับสนุนบุตรของข้า ! ในเมื่อเจ้าบุตรตัวดีนับถือสตรีผู้นั้นเป็นลูกพี่ นางก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลฉื่อเช่นกัน คนตระกูลจูคิดจะเหยียบข้ามหัวตระกูลเรางั้นรึ ? ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันสิ้นดี !”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินนำออกไปนอกประตูทันที
พ่อบ้านตระกูลฉื่อถึงกับชะงักไปเล็กน้อยทว่าไม่คิดฝ่าฝืนคำสั่งของฉื่อซิ่งเช่นกัน เขารวบรวมคนของตระกูลฉื่อและคณะเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองอย่างไม่รอช้า
หน้าประตูเมืองในตอนนี้ คณะผู้ติดตามของฉื่อไท่หลางล้อมรอบจูโหย่วจ้วงและผู้ติดตามของเขาไว้
“จูโหย่วจ้วง หากเจ้าไม่ขอโทษลูกพี่ของข้า ข้าไม่ปล่อยเจ้ากลับไปแน่ !”
สีหน้าแววตาของฉื่อไท่หลางยังคงแน่วแน่และจริงจังมากขึ้น อันที่จริง ในการเผชิญหน้ากับตระกูลจูก่อนหน้านี้ เขามักจะลังเลว่าควรทุ่มเทอย่างสุดฝีมือหรือไม่ ทว่าครานี้เขาไม่คิดที่จะยั้งมือหรือลังเลเลยสักนิด
ฉินอวี้โม่คือสตรีที่เขายอมรับ เพราะเหตุนั้น เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกนางอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด ในอำเภอซ่างหยวนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ทำให้นางขุ่นเคืองใจ
“ฉื่อไท่หลาง อย่ารังแกผู้อื่นให้มันมากเกินไปนัก !”
จูโหย่วจ้วงกัดฟันแน่นและกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง ครานี้เขาพาผู้ติดตามมาไม่มากนักและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย เขาเคยต่อสู้กับฉื่อไท่หลางมาแล้วหลายคราและทราบดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร สำหรับสถานการณ์ในวันนี้ เกรงว่ามันคงจบไม่สวยแน่
“เหอะ ข้ารังแกผู้อื่นมากเกินไปรึ ? เจ้าคิดจะจับตัวลูกพี่ของข้ากลับไปเป็นสนมของเจ้า มันเป็นการกระทำที่ดูหมิ่นทั้งลูกพี่ ทั้งข้า และแม้กระทั่งตระกูลฉื่อ การที่เจ้าต้องกล่าวขอโทษยังถือว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่กล่าวขอโทษแต่โดยดี อย่าหวังเลยว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป !”
น้ำเสียงของฉื่อไท่หลางเต็มไปด้วยคำข่มขู่และเน้นย้ำสถานะของฉินอวี้โม่อีกครั้ง
ฉินอวี้โม่มองฉื่อไท่หลางที่ยืนตรงหน้าอย่างหนักแน่นมั่นคงและอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าแม้เพิ่งจะมาเยือนดินแดนใหม่แห่งนี้ได้เพียงไม่นาน นางจะได้พบกับสหายที่กล้าหาญและจริงใจเช่นนี้แล้ว
“เหอะ ฉื่อไท่หลาง คิดจะสั่งให้ลูกชายของข้าขอโทษพวกเจ้ารึ ? เจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้น !”
ทันใดนั้น แรงกดดันทรงพลังก็แผ่มากดข่มทุกคนในที่แห่งนี้ จากนั้นทุกคนก็มองเห็นจูปี้และคณะผู้ติดตามของเขาที่มุ่งหน้าตรงมาจากระยะที่ห่างออกไป
“ท่านพ่อ !”
เมื่อเห็นผู้นำตระกูลจูเดินเข้ามา จูโหย่วจ้วงผู้ซึ่งหงุดหงิดใจอยู่ก่อนหน้านี้ก็สงบสติลงทันที รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้งและความยโสโอหังก็กลับคืนมา
“ฉื่อไท่หลาง…และเจ้า ในเมื่อตอนนี้พ่อของข้าอยู่ที่นี่แล้ว อยากเห็นนักว่าเจ้าจะยังกล้าข่มขู่ข้าอีกรึไม่ !”
เขามองฉินอวี้โม่และฉื่อไท่หลางพลางกล่าววาจาอย่างยั่วยุ
“เหอะ ใครกันที่ดูหมิ่นลูกชายของข้าและยังบีบบังคับให้เขาต้องขอโทษอีก ?!”
จูปี้เดินเข้ามาหยุดข้างกายของจูโหย่วจ้วงอย่างรวดเร็ว เมื่อสายตาของเขาบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ แววตาของเขาก็ฉายแววความประหลาดใจทันที
แม้จะเคยพบสตรีงามมามากหน้าหลายตา แต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าสตรีผู้นี้งดงามจนดูราวกับเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ไม่ว่ารูปลักษณ์หน้าตาหรือกลิ่นอายที่แผ่ออกมา เพียงนางยืนนิ่งอยู่กับที่ก็สะดุดตาจนผู้คนไม่อาจละสายตาไปที่ใดได้เลย แม้ร่างของนางจะมีความผันผวนของพลังมายาเพียงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ได้ดูธรรมดาเลยสักนิด
“ข้าเอง !”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะกล่าวสิ่งใด ฉื่อไท่หลางก็ก้าวออกไปข้างหน้าและกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด
“จูปี้ เจ้าหมูโง่เง่าของเจ้าคิดจะจับตัวลูกพี่ของข้ากลับไปเป็นสนม ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง คนอย่างเขาไม่มีค่าพอที่จะเช็ดรองเท้าให้ลูกพี่ของข้าด้วยซ้ำ !”
สีหน้าของเขายังคงไม่แสดงความหวาดหวั่นใด ๆ และไม่คิดที่จะยอมอ่อนข้อแม้เผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลจู
“เจ้าหนุ่มตระกูลฉื่อเอ๋ย อย่าโอหังให้มันมากเกินไปนักเลย ข้าไม่สนใจหรอกว่านางจะเป็นลูกพี่ของเจ้าหรือเป็นใครมาจากที่ใด หากทำให้ลูกของข้าไม่พอใจ เจ้าก็ต้องชดใช้ ตระกูลจูของเราไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกได้ง่าย ๆ อีกอย่าง…การได้เป็นนางสนมลำดับที่ยี่สิบของลูกชายข้าก็ถือเป็นความโชคดีของนางแท้ ๆ ทว่านางกลับไม่ซาบซึ้งในความเมตตา ซ้ำร้ายยังริอาจดูหมิ่นลูกชายของข้าเช่นนี้ !”
จูปี้กล่าววาจาข่มขู่อย่างเยือกเย็นและแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มฉินอวี้โม่โดยตรง
“ฮ่า ๆ ๆ มั่นอกมั่นใจในพลังของตัวเองจริงเชียว !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน แรงกดดันของจูปี้ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อนางแม้แต่น้อย ด้วยพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวของเขา ต่อให้ลงมือต่อสู้ประชันฝีมือกัน ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้
เมื่อเห็นว่าแรงกดดันของตนไม่ส่งผลใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่ จูปี้ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสตรีร่างบางที่ดูเหมือนไม่มีพลังใด ๆ จะต้านทานแรงกดดันอันทรงพลังของตนได้
ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างตอบโต้ ผู้นำตระกูลจูก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงที่ดังมาจากระยะที่ห่างออกไปเสียก่อน
“จูปี้ ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ พาคนตั้งมากมายมาเพื่อรังแกคนรุ่นลูกเช่นนี้ เห็นทีใบหน้าของเจ้าคงจะด้านหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองของอำเภอซ่างหยวนเสียอีก !”
ในเวลานี้ ฉื่อซิ่งก็มาถึงที่นี่พร้อมกับคณะของเขาและทันได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่พอดิบพอดี ซึ่งคำพูดคำจาของนางก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชมนางมากขึ้น เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ฉื่อซิ่ง พวกเจ้าตระกูลฉื่อคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลจูของข้าอย่างเป็นทางการรึ ?”
เมื่อเห็นฉื่อซิ่งเดินเข้ามาและได้ยินวาจาไม่ไว้หน้าของเขา สีหน้าของจูปี้ก็เปลี่ยนแปลงไปทันที เห็นได้ชัดว่าฉื่อซิ่งมาเพื่อปกป้องฉินอวี้โม่เช่นกัน
“ท่านพ่อ”
เมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามา สีหน้าของฉื่อไท่หลางก็แสดงถึงความรู้สึกผิดทันที เขาไม่ได้เอ่ยถามความเห็นของบิดาและเลือกอยู่ฝ่ายฉินอวี้โม่ รวมถึงท้าทายคนของตระกูลจูอย่างไม่ลังเล บิดาของเขาคงจะโมโหมากเป็นแน่
“ลูกเอ๋ย เจ้าทำได้ดีมาก ทำดีมากจริง ๆ !”
ฉื่อซิ่งเดินเข้ามาหยุดข้างฉื่อไท่หลางและตบไหล่ปุ ๆ พลางกล่าวอย่างพึงพอใจ
เขาไม่คิดว่าฉื่อไท่หลางทำสิ่งใดผิดไปและยังรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ในการที่บุตรชายของเขายืนหยัดปกป้องสหายแม้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แกร่งกล้าโดยไม่แสดงความหวาดหวั่นใด ๆ บุตรชายผู้นี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยจริง ๆ
“เจ้าคือแม่นางฉินอวี้โม่…ลูกพี่ที่ลูกชายข้ากล่าวถึงสินะ”
สายตาของเขาหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และความประหลาดใจฉายวาบในแววตาชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้เมื่อบุตรชายกลับมาและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ให้เขาฟัง ฉื่อซิ่งก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง เขาเชื่อแล้วว่าแม้แต่คำบอกเล่าของบุตรชายก็ยังไม่เพียงพอ รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่เพียงอย่างเดียวก็โดดเด่นจนแม้แต่สตรีงามอันดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพก็อาจเทียบไม่ได้ กอปรกับกลิ่นอายความสง่างามและโดดเด่นไม่เหมือนใคร คาดว่าภูมิหลังของสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าน้อยฉินอวี้โม่ขอคารวะท่านผู้นำฉื่อ”
แม้รูปลักษณ์ของฉื่อซิ่งจะดูธรรมดาทั่วไป ทว่ากลิ่นอายของเขาที่แผ่ออกมาก็ดูเป็นมิตรและอ่อนโยนมาก ซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกเห็น เพราะเหตุนั้นนางจึงประกบกำปั้นเข้าหากันและคารวะเขาอย่างเคารพทันที
“แม่นางอวี้โม่ ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ในเมื่อเจ้าเป็นลูกพี่ของลูกชายข้า นั่นก็ถือว่าเจ้าเป็นคนรุ่นเยาว์ในตระกูลของข้าเช่นกัน หากเจ้าไม่ขัดข้อง…เรียกข้าว่าท่านลุงก็พอ”
ฉื่อซิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรซึ่งแสดงถึงทัศนคติของเขาได้อย่างชัดเจน ในเวลานี้ เขาเลือกที่จะปกป้องฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“ฉื่อซิ่ง เจ้าตัดสินใจที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลจูของข้าจริง ๆ สินะ !”
ทัศนคติและท่าทางที่เปิดเผยของฉื่อซิ่งทำให้สีหน้าของจูปี้บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมและกล่าวข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จูปี้ อย่ากล่าวอะไรโง่เขลาไปนักเลย เมื่อไหร่กันที่ตระกูลฉื่อของเราและตระกูลจูของเจ้าจะไม่เป็นศัตรูกัน ?”
ฉื่อซิ่งเลิกคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สองตระกูลใหญ่แห่งอำเภอซ่างหยวนบาดหมางกันมาตลอดและไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน การตัดสินใจของเขาในการเป็นศัตรูกับตระกูลจูไม่ได้มีสาเหตุมาจากฉินอวี้โม่เลยด้วยซ้ำ
“จูปี้ ลูกชายเบาปัญญาของเจ้าต้องการจะรังแกแม่นางอวี้โม่ หากเจ้าไม่ให้คำอธิบายกับพวกเราในวันนี้ เราก็เปิดฉากทำสงครามกันเลยเถอะ !”
เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาและไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“เจ้าแน่ใจรึว่าจะประกาศสงครามกับพวกเราจริง ๆ ?”
ใบหน้าของผู้นำตระกูลจูในตอนนี้เหยเกจนแทบดูไม่ได้ เขาไม่คิดเลยว่าฉื่อซิ่งจะประกาศสงครามอย่างซึ่ง ๆ หน้าเพื่อปกป้องฉินอวี้โม่ผู้นี้ แม้ตระกูลของเขาจะมีผู้อาวุโสในขอบเขตราชาเซียนอยู่ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่สนใจและประกาศสงครามอย่างไม่เกรงกลัว
“มันมิใช่การประกาศสงคราม หากแต่เป็นการกระทำที่ตรงไปตรงมา จูปี้…อย่าคิดว่าการที่ตระกูลจูของเจ้ามีจอมยุทธ์ราชาเซียนแล้วพวกข้าจะเกรงกลัว !”
ฉื่อซิ่งแสยะยิ้มและแรงกดดันทรงพลังแผ่ตรงไปที่จูปี้ทันที