ภายในพริบตา เวลาสามวันก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
ตลอดสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลโดยรวมของการคัดเลือกรอบอำเภอซ่างหยวนเพิ่มขึ้นมาก
โดยปกติแล้ว สามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมหาเทพจะคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นจากทั่วทั้งดินแดนเป็นครั้งคราวเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจให้กับขุมกำลังของตนเอง
ทุกคนทราบดีว่าการได้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายถือว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ต่อให้จะได้เป็นเพียงศิษย์นอกก็ตาม อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงหนึ่งในอำเภอเล็ก ๆ นับพันนับหมื่นแห่งในดินแดนมหาเทพและทุกตระกูลล้วนตั้งความหวังว่าศิษย์ของตนจะเข้าร่วมสำนักและนิกายเหล่านั้นได้สำเร็จ
น่าเสียดายที่ในการคัดเลือกกว่าสิบครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีศิษย์คนใดจากอำเภอซ่างหยวนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ บรรดาศิษย์ผู้ถูกเลือกจากอำเภอซ่างหยวนที่ผ่านไปถึงรอบต่อไปก็ล้วนตกรอบไปทุกคราและลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจนัก
ในอดีตตลอดเวลามากกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ตระกูลฉื่อและตระกูลจูครองตำแหน่งสองตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอซ่างหยวนแห่งนี้ พวกเขามีเรื่องบาดหมางกันมานานหลายปีทว่าไม่เคยมีฝ่ายใดชนะได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ตระกูลจูจะมีผู้อาวุโสที่ทรงพลังในขอบเขตราชาเซียน ทว่าตระกูลฉื่อก็ยังมีหนทางรับมือกับพวกเขาได้
ตระกูลจูต้องการยึดอำนาจตระกูลฉื่อมาเสมอและตระกูลฉื่อเองก็หาโอกาสเล่นงานตระกูลจูเช่นกัน มีเพียงการที่อำเภอซ่างหยวนรวมกันกลายเป็นปึกแผ่นเดียวกันเท่านั้นที่จะบรรเทาความบาดหมางที่ไม่จำเป็นระหว่างพวกเขาได้
เพราะเหตุนั้น การชุมนุมคัดเลือกครานี้จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับทั้งสองฝ่าย
นอกเหนือจากจูโหย่วจ้วง ตระกูลจูได้ส่งศิษย์หลักอีกมากกว่าสิบคนเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบอำเภอซ่างหยวนนี้และตั้งใจจะผ่านไปถึงรอบต่อไปให้ได้
ตระกูลฉื่อเองก็ทำการเลือกศิษย์ฝีมือดีที่สุดของพวกเขาจำนวนหนึ่งเช่นกันและพวกเขาเหล่านั้นก็ตั้งใจที่จะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
“แม่นางอวี้โม่ การคัดเลือกครานี้สำคัญมาก ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าคงเอาชนะและครองอันดับหนึ่งได้ไม่ยาก”
ภายในห้องโถง ฉื่อซิ่งและเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉื่อ รวมถึงศิษย์มากกว่าสิบคนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ฉื่อซิ่งกวาดสายตามองทุกคนและสายตาของเขาก็หยุดลงที่ฉินอวี้โม่ สิ่งที่เขาตั้งตารอมากที่สุดในครานี้ก็คือการแสดงฝีมือของฉินอวี้โม่ เขาก็สงสัยใคร่รู้เช่นกันว่านางจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายและทำให้ทั่วทั้งดินแดนมหาเทพสั่นคลอนได้หรือไม่
“ถูกต้อง คนที่มีโอกาสมากที่สุดในตระกูลฉื่อของเราก็คงจะเป็นแม่นางอวี้โม่ ถึงแม้ว่าคนอื่น ๆ จะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ทว่าพวกเราก็ไม่อาจมั่นใจได้นัก”
พ่อบ้านตระกูลฉื่อพยักศีรษะเห็นด้วยและพวกเขามั่นใจในความสามารถของฉินอวี้โม่เช่นเดียวกัน สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูล พวกเขาเพียงหวังว่าศิษย์เหล่านี้จะแสดงฝีมือกันออกมาอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น
“หึ ! พวกท่านไม่นึกถึงข้าเลยรึ ช่างน่าหงุดหงิดจริง ๆ …”
ฉื่อไท่หลางแสร้งทำท่าทางฉุนเฉียวและแค่นเสียงเบา ๆ
“แน่นอนว่าพวกเราก็มั่นใจในตัวนายน้อยเช่นกัน ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นายน้อยก็เก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจัง ในตอนนี้ข้าสงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าความแข็งแกร่งของนายน้อยอยู่ในระดับใด”
พ่อบ้านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและกล่าวแสดงความสนับสนุนต่อฉื่อไท่หลางทันที
อย่างไรก็ตาม เขาสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริง ในหลายวันที่ผ่านมานี้ นายน้อยของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากฉินอวี้โม่และทุ่มเทเก็บตัวฝึกวิชาอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น หลังออกมาจากการเก็บตัว เขาก็ยับยั้งพลังของตนเองไว้ส่งผลให้ไม่มีผู้ใดทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ ในการคัดเลือกครานี้ ยากที่จะคาดเดาได้ว่านายน้อยตระกูลฉื่อจะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเพียงใด…
“ท่านพ่อ พ่อบ้านฉื่อ ไม่ต้องห่วง ครานี้ข้าจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง !”
ฉื่อไท่หลางตบหน้าอกตัวเองด้วยสีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม บิดาของเขาและเหล่าผู้อาวุโสทราบเพียงว่าเขาเก็บตัวฝึกวิชา ทว่าไม่มีใครทราบว่าเขาได้เรียนรู้สิ่งใดในช่วงสามวันที่ผ่านมานี้และมันเป็นหนึ่งในไพ่ตายสำคัญของเขาในการคัดเลือกครานี้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างแน่นอน !
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยที่ไม่เอ่ยสิ่งใด ฉื่อซิ่งเองก็มองดูบุตรชายด้วยสีหน้าที่มั่นใจในตัวเขาเช่นกัน
หลังจากหารือกันในห้องโถงพักใหญ่ ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังลานจัตุรัสของอำเภอซ่างหยวนด้วยกัน
ลานจัตุรัสของเมืองในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาซึ่งเป็นบรรยากาศที่คึกคักยิ่งนัก
ประชากรเกือบทุกคนของอำเภอซ่างหยวนล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อให้กำลังใจจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมการคัดเลือก
“ดูนั่นสิ ตระกูลฉื่อมากันแล้ว”
เมื่อเห็นคณะของตระกูลฉื่อที่เดินเข้ามาจากระยะไกลออกไป ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้องยินดีเป็นการต้อนรับ
“ว้าว ! นั่นมันจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ที่สั่งสอนบทเรียนให้กับจูโหย่วจ้วงหน้าประตูเมืองก่อนหน้านี้และเป็นสตรีที่ฉื่อไท่หลางยกให้เป็นลูกพี่นี่”
สายตาของใครคนหนึ่งหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เหตุการณ์ในวันนั้นที่เกิดขึ้นหน้าประตูของอำเภอซ่างหยวนได้ถูกเผยแพร่จนทราบกันไปทั่วแล้ว ผู้ที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเองล้วนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจอมยุทธ์สตรีลึกลับผู้นี้ และครานี้การที่พวกเขาหลายคนมารวมตัวกันที่งานคัดเลือกนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องการเห็นฉินอวี้โม่ด้วยตาของตัวเอง
“แม่เจ้า งดงามยิ่งนัก ! ไม่แปลกใจเลยที่จูโหย่วจ้วงจะต่อสู้กับฉื่อไท่หลางอย่างไม่ยอมถอยและตระกูลจูก็ถึงขั้นแตกหักกับตระกูลฉื่อเพียงเพราะฉินอวี้โม่ผู้นี้เช่นกัน !”
ครานี้ฉินอวี้โม่ไม่พยายามบดบังรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตน เนื่องจากทราบว่าวันนี้คือวันของการคัดเลือก นางจึงสวมชุดจิ้นจวงที่เผยให้เห็นสัดส่วนรูปร่างงดงาม เส้นผมยาวสลวยถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังศีรษะซึ่งดูมีสง่าราศีเกินอธิบาย ใบหน้างดงามไร้ที่ติและกลิ่นอายความสูงส่งไม่เหมือนผู้ใดก็ทำให้ทุกคนที่พบเห็นล้วนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
* 劲装 ชุดจิ้นจวง เป็นชุดจีนโบราณที่เน้นความคล่องตัว เมื่อสวมแล้วชุดจะไม่ลากพื้น ชายแขนเสื้อจะถูกเก็บรวบมัดไว้ที่ข้อมือ
“จูโหย่วจ้วงจะคู่ควรกับจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ได้อย่างไรกัน ? ช่างหน้าไม่อายเสียเลยที่ประกาศลั่นว่าจะจับตัวนางไปเป็นนางสนมลำดับที่ยี่สิบ สมควรแล้วที่เขาจะถูกสั่งสอนไปเช่นนั้น”
ท่ามกลางฝูงชน มีคนมากมายที่ไม่เกรงกลัวต่อคนตระกูลจู ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนทราบดีว่าตระกูลจูจะไม่ลงมือทำสิ่งใดโจ่งแจ้งในการคัดเลือกนี้ เพราะเหตุนั้น ต่อให้พวกเขากล่าววาจาโอหังหรือดูหมิ่นตระกูลจูเพียงใด พวกเขาก็ไม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับตนเอง
ตระกูลจูซึ่งมาถึงลานจัตุรัสก่อนคนอื่น ๆ และกำลังรออยู่แล้วล้วนมีสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินวาจาดูหมิ่นจากผู้คนรอบตัว
โดยเฉพาะจูโหย่วจ้วง ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห หากมิใช่เพราะอยู่ในงานคัดเลือกศิษย์ซึ่งมีความสำคัญกับตระกูล เกรงว่าเขาคงไม่อยู่เฉยและจัดการกับคนเหล่านั้นไปนานแล้ว
“เหอะ ตระกูลฉื่อช่างทำตัวเสียมารยาทจริง ๆ ปล่อยให้พวกเราหลายคนมารออยู่ที่นี่เป็นเวลานาน !”
ใบหน้าของจูปี้เหยเกขณะกล่าววาจาเย้ยหยันและมองไปยังกลุ่มคนของตระกูลฉื่อที่กำลังเดินเข้ามา แววตาของเขาแสดงความมุ่งร้ายอย่างชัดเจน
“งานคัดเลือกนี้ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัด และกล่าวเพียงว่าจะเกิดขึ้นในวันนี้เท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเราไม่ได้มาสาย”
ฉื่อซิ่งตอบกลับทันควัน หลังจากเผชิญหน้าและบาดหมางกันมานานหลายปี แน่นอนว่าเขาทราบดีว่าควรตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไร
“นั่นสิ ในเมื่อทุกคนเต็มใจจะมารออยู่ที่นี่ก่อน พวกเราจะทำอย่างไรได้ ?”
ฉื่อไท่หลางกล่าวอย่างทะนงตนและไม่ไว้หน้าผู้นำตระกูลจูแม้แต่น้อย
“เหอะ การปล่อยให้พวกข้ารอมิใช่เรื่องสำคัญหรอก แต่พวกเจ้าไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยรึที่ทำให้ท่านนายอำเภอต้องรอนานเช่นนี้ ?”
จูปี้แค่นเสียงอีกครั้งขณะชำเลืองมองไปยังนายอำเภอของอำเภอซ่างหยวนที่อยู่ถัดจากตนและใช้เขาเป็นข้ออ้าง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เป็นไรหรอก สหายฉื่อพูดถูกแล้ว งานคัดเลือกของเราไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนไว้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็เพิ่งมาถึงเมื่อไม่นานนี้เองและไม่ได้รอนานจนเกินไป”
จ้าวตั๋ว—นายอำเภอของอำเภอซ่างหยวนตอบกลับพร้อมรอยยิ้มและกล่าวแสดงจุดยืนเข้าข้างฝ่ายตระกูลฉื่อ
เขาและฉื่อซิ่งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและเขาก็มักที่จะยืนข้างตระกูลฉื่อมาเสมอ หากมิใช่เพราะตระกูลฉื่อยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะและทำลายตระกูลจูได้สำเร็จ เขาก็คงแสดงจุดยืนสนับสนุนตระกูลฉื่ออย่างเต็มที่แล้ว
“เหอะ !”
แน่นอนว่าจูปี้ทราบเรื่องนี้ดีและทำได้เพียงแค่นเสียงในลำคอก่อนฟึดฟัดนั่งลง
“สหายจ้าว ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูความแข็งแกร่งของท่านจะพัฒนาขึ้นพอสมควร”
ฉื่อซิ่งสวมกอดจ้าวตั๋วและกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านก็เช่นกัน ช่วงที่ผ่านมาข้ามัวแต่ยุ่งเตรียมความพร้อมสำหรับการคัดเลือกจึงไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยือนตระกูลฉื่อ ได้ยินว่าตระกูลฉื่อมีผู้อาวุโสคนใหม่ ในที่สุดข้าก็ได้พบเสียที”
สายตาของจ้าวตั๋วเลื่อนไปบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับนาง
จ้าวตั๋วเป็นบุรุษที่ดูมีอายุมากกว่าสามสิบปีผู้ซึ่งดูสง่างามและทรงเกียรติ นอกจากนี้เขายังมีรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้าและกลิ่นอายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
“คารวะท่านนายอำเภอเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับจ้าวตั๋วและประกบมือกับกำปั้นเข้าด้วยกันเพื่อแสดงความเคารพ
เชื่อว่าผู้ที่เป็นมิตรกับฉื่อซิ่งย่อมมิใช่ศัตรู สำหรับนายอำเภอซ่างหยวนผู้นี้ แม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ได้ถือว่ายิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับภาพรวมของดินแดนมหาเทพ ทว่าการได้ผูกมิตรสร้างไมตรีก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี
“สหายน้อยอวี้โม่นอบน้อมจริงเชียว”
จ้าวตั๋วทราบทันทีว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้คงจะเป็นไพ่ตายใบสำคัญที่สุดของตระกูลฉื่อในครานี้ ยิ่งไปกว่านั้น เพียงมองแวบแรกเขาก็รู้สึกได้ว่านางมิใช่ปลาในบ่อและนางจะสามารถบินทะยานขึ้นท้องฟ้าได้ในสักวัน เชื่อว่าการได้เป็นมิตรสหายกับนางคงมิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด
“หากต้องการสิ่งใดในอนาคตก็มาที่จวนนายอำเภอได้ทุกเมื่อ หากข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
เขากล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
สีหน้าของบรรดาคนตระกูลจูบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมและจูปี้อดใจรอที่จะจัดการฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แทบไม่ไหว แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงจ้องอีกฝ่ายตาเขม็งทว่าไม่อาจลงมือทำอะไรได้เลย
ปกติแล้วนายอำเภอซ่างหยวนมักที่จะแอบช่วยเหลือตระกูลฉื่ออย่างลับ ๆ ทว่าครานี้เขากลับเปิดเผยตัวโดยตรงว่าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับคนตระกูลฉื่อ
“ไม่ต้องกังวลเรื่องคนพวกนั้น ตราบใดที่ศิษย์ตระกูลจูของเราแสดงผลงานในการคัดเลือกได้ดี ต่อให้ตระกูลฉื่อจะได้รับการสนับสนุนจากจ้าวตั๋ว พวกเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ !”
ในฝ่ายตระกูลจู บุรุษชราคนหนึ่งที่ดูมีอายุประมาณหกสิบปีและนั่งอยู่ในแถวหน้าเอ่ยขึ้นเบา ๆ
เขาคือผู้อาวุโสที่แกร่งกล้าที่สุดของตระกูลจูผู้มีซึ่งมีพลังในขอบเขตราชาเซียน—จูยง
“ถึงอย่างไรตัวตลกก็เป็นได้เพียงตัวตลกอยู่วันยังค่ำ พวกเขาจะกระโดดโลดเต้นได้อีกไม่นาน สุดท้ายแล้วการหัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า !”
สายตาของเขามองไปที่ร่างของฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงเจตนาอย่างชัดเจน
เขาทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว หากมิใช่เพราะการคัดเลือกที่ใกล้มาถึง เขาก็คงบุกไปที่ตระกูลฉื่อเพื่อชำระความแค้นด้วยตัวเองไปแล้ว เกียรติยศของตระกูลจูมิใช่สิ่งที่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ใด ๆ จะมาดูหมิ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ได้เตรียมการไว้แล้ว ในการคัดเลือกครานี้ ศิษย์ตระกูลจูจะต้องหาทางสั่งสอนบทเรียนให้กับนางและทั้งตระกูลฉื่อให้จงได้ !
“จริงอย่างที่ว่า อายุถึงปูนนี้แล้วแต่เพิ่งจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้ เกรงว่าคงจะเป็นได้เพียงแค่ตัวตลกไปตลอดชีวิตสินะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังทว่าวาจาของนางเต็มไปด้วยคำเยาะเย้ยถากถาง สายตาของนางมองจูยงอย่างพินิจพิจารณาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยุอย่างชัดเจน
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ! ริอาจนัก !”
คำถากถางของฉินอวี้โม่บังเอิญเป็นประเด็นที่จูยงไม่ต้องการให้ใครเอ่ยถึงมากที่สุด ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นทันทีและแรงกดดันทรงพลังแผ่ออกไปจนทุกคนรู้สึกได้
แรงกดดันของจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้ เหล่าจอมยุทธ์ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตนภาเซียนล้วนทรุดล้มลงบนพื้นทันที แม้แต่จอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนเองก็แทบทรงตัวไม่อยู่และมิอาจต้านทานได้เลย
ทั่วบริเวณลานจัตุรัสมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังทรงตัวอยู่ได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่จูโหย่วจ้วงเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะทรุดตัวลงกับพื้นและต้านทานแรงกดดันของจูยงไว้ไม่ได้
“ตาเฒ่า ถอนแรงกดดันไปเสียเถอะ มันไร้ประโยชน์ต่อข้า !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและพลังวิญญาณของนางก็แทรกซึมเข้าในห้วงจิตของจูยงเพื่อโจมตีเขาทันที