ในเวลานี้ บนสังเวียนเหลือผู้เข้าแข่งขันการคัดเลือกเพียงไม่ถึงยี่สิบคนเท่านั้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ก็ยังมีศิษย์ตระกูลฉื่ออีกห้าคนโดยพวกเขายืนอยู่ข้างกายฉื่อไท่หลางด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้พลังไปกับการต่อสู้มากทีเดียว
เมื่อเปรียบเทียบกัน สถานการณ์ของตระกูลจูดีกว่ามาก หากรวมจูโหย่วจ้วงแล้ว ฝ่ายศิษย์ตระกูลจูก็มีกันมากถึงสิบเอ็ดคน เดิมมีศิษย์ตระกูลจูที่เข้าร่วมการคัดเลือกก็มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น นอกเหนือจากสามคนที่ถูกฉินอวี้โม่เตะร่วงลงสังเวียนไปในตอนแรก เรียกได้ว่าเกือบทุกคนยังคงเอาตัวรอดมาได้จนถึงตอนนี้
สรุปก็คือในเวลานี้ ตระกูลจูมีศิษย์อยู่ด้วยกันสิบเอ็ดคน ศิษย์ตระกูลฉื่อมีหกคนรวมฉินอวี้โม่ และที่เหลืออีกสองคนก็คือจอมยุทธ์อิสระซึ่งหนึ่งในนั้นคือบุรุษหนุ่มที่ติดตามฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ต้นและยังไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย
“ลูกพี่อวี้โม่ ท่านจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”
ฉื่อไท่หลางไม่เคยนึกสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของฉินอวี้โม่ ด้วยฝีมือของนาง การที่ผ่านมาถึงตอนนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก
บรรดาศิษย์ตระกูลฉื่อก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมเช่นกัน
“เหอะ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ !”
จูโหย่วจ้วงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ สถานการณ์ในตอนนี้เข้าข้างพวกเขามาก ไม่ว่าอย่างไรสิบเอ็ดคนก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อคู่ต่อสู้เพียงหกคนอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าทั้งสอง อยากจะร่วมมือกับตระกูลจูของเราเพื่อจัดการฝ่ายตระกูลฉื่อรึไม่ ? หากพวกเจ้าร่วมมือกับเรา ข้าจะสำรองที่ไว้ให้กับพวกเจ้าสองที่ !”
จูโหย่วจ้วงหันไปมองจอมยุทธ์อิสระทั้งสองและเอ่ยวาจาชักชวนทว่าใช้น้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน
“เหอะ ไม่มีทางที่ข้าจะร่วมมือกับพวกคนตระกูลจู !”
จอมยุทธ์ที่ติดตามฉินอวี้โม่มาตลอดแค่นเสียงตอบกลับอย่างไม่ลังเล การที่เขารอดมาจนถึงตอนนี้มิใช่เพราะคนเหล่านั้น คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญล้วนถูกฉินอวี้โม่เตะออกจากสังเวียนไปอย่างง่ายดายโดยที่ตัวเขาไม่มีโอกาสลงมือด้วยซ้ำ กอปรกับการที่เขาไม่ชอบหน้าตระกูลจูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สนใจคำข่มขู่ของจูโหย่วจ้วงในตอนนี้
“ดี ! ดีมาก !”
จูโหย่วจ้วงแค่นเสียงดังและสายตาเลื่อนไปหยุดลงที่จอมยุทธ์อิสระอีกคน
“เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร ?”
แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารรุนแรง ในฐานะคุณชายใหญ่ของตระกูลจู เขาไม่เคยถูกเมินเฉยเช่นนี้มาก่อน วันนี้เขาจะทำให้คนเหล่านี้ต้องชดใช้อย่างสาสม
“ข้า…เอ่อ…”
จอมยุทธ์ผู้นั้นลังเลเล็กน้อยและไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร
เขาทุ่มเทพยายามอย่างหนักจนผ่านมาถึงตอนนี้ได้และเขาก็ไม่ต้องการถูกกำจัดออกไป หากได้ครองตำแหน่งสิบอันดับแรกของอำเภอและได้โอกาสเข้าไปที่เมืองรองเพื่อการคัดเลือกรอบต่อไป มันจะเป็นผลดีต่อเขาอย่างมาก
“เจ้ายังต้องคิดอะไรอีกรึ ? ฝ่ายของพวกเรามีถึงสิบเอ็ดคนและฝ่ายตรงข้ามมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น !”
ศิษย์ตระกูลจูคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากจูโหย่วจ้วงกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน
“พวกท่านจะสำรองที่ไว้ให้ข้าจริง ๆ หรือ ?”
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วสูงและมองจูโหย่วจ้วงพร้อมเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ข้าลั่นวาจาไว้แล้ว ตระกูลจูของเรามีที่ไว้ให้เจ้าเสมอ !”
จูโหย่วจ้วงกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ตราบใดที่เอาชนะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ เพียงสำรองตำแหน่งไว้ให้หนึ่งที่นี้หาใช่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงเลย
“ตกลง ข้าจะร่วมมือกับพวกท่าน !”
บุรุษหนุ่มตัดสินใจทันทีและกล่าวด้วยสีหน้ามีความสุขก่อนเดินตรงไปหาจูโหย่วจ้วงและรวมกลุ่มกับศิษย์ตระกูลจู
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ฝ่ายของเรามีสิบสองคนและพวกเจ้าก็มีเพียงเจ็ดคน ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งหมดก็มีพลังอยู่ในระดับเดียวกัน ว่าอย่างไร ? พวกเจ้าจะยอมแพ้รึไม่ ?”
จูโหย่วจ้วงพยักหน้าด้วยท่าทางพึงพอใจและสายตาหยุดลงที่ฝ่ายฉินอวี้โม่ด้วยแววตายั่วยุอีกครั้ง
“จูโหย่วจ้วง ความสามารถในการพูดจาอวดเบ่งของเจ้านี่มากกว่าความหน้าด้านหน้าทนของเจ้าเสียอีก !”
ฉื่อไท่หลางกล่าวอย่างอดไม่ได้และไม่หวาดหวั่นต่อฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย แม้พวกเขามีจำนวนมากกว่า ฉื่อไท่หลางก็มั่นใจว่าพวกตนไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน ฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวก็เกินกว่าที่จูโหย่วจ้วงและคนอื่น ๆ จะรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังของตัวเขาเองก็พัฒนาขึ้นมากแล้วและตอนนี้เชื่อว่ามีโอกาสเอาชนะจูโหย่วจ้วงได้มากถึงแปดในสิบส่วน
“เหอะ หากพวกเจ้ายอมจำนนด้วยตนเอง ข้าก็อาจจะเห็นใจไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ถ้ายืนยันที่จะต่อต้านขัดขืนโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้ อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไปก็แล้วกัน !”
จูโหย่วจ้วงแค่นเสียงเย็นชาอีกครั้งและไม่สนใจวาจาของฉื่อไท่หลางแม้แต่น้อย เขาไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะทรงพลังจนต้องหวาดหวั่นและไม่คิดว่าคนเพียงเจ็ดคนของฝ่ายตรงข้ามจะเอาชนะพวกตนที่มีมากถึงสิบสองคนได้
“ไก่อ่อนก็ยังคงเป็นไก่อ่อนอยู่วันยังค่ำ และพวกมันทำได้เพียงกล่าววาจาไร้สาระเท่านั้น !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และแววตาแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อตระกูลจูอย่างเปิดเผย
“เจ้าว่าใครเป็นไก่อ่อน ?!”
จูโหย่วจ้วงเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไก่อ่อน’ เป็นอย่างดีและสีหน้ากลายเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างรวดเร็ว
“นอกจากเจ้าแล้วจะมีใครอีก !”
ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงออกมาเบา ๆ และไม่ต้องการเสียเวลาพูดจาไร้สาระอีกขณะเริ่มลงมือโดยตรง
ร่างของนางพุ่งตรงไปปรากฏตัวถัดจากคนตระกูลจู
“กระเด็นไปซะ !”
ผู้ที่กล่าววาจาข่มขู่จอมยุทธ์อิสระก่อนหน้านี้ไม่ทันได้ตั้งตัวในขณะที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงหน้าเขาอย่างกะทันหัน
“รวดเร็วยิ่งนัก !”
เขาทำได้เพียงกล่าวแสดงความตกใจและสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณอกก่อนที่ตนจะลอยกระเด็นออกจากสังเวียนไปอย่างรวดเร็ว
พลั่ก !
เขากระเด็นเป็นเส้นแนวโค้งเหมือนกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้และร่วงลงกระแทกพื้นโดยตรง ทว่าความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคนเหล่านั้นร่วงหงายหลังกระแทกพื้นในขณะที่ตัวเขาคว่ำหน้าลง แรงกระแทกอย่างแรงทำให้สันจมูกของเขาแทบบิดเบี้ยวผิดรูป
ภายในพริบตา ฉินอวี้โม่ก็เตะคู่ต่อสู้ออกจากสังเวียนไปได้อีกคนและนั่นทำให้สีหน้าของจูโหย่วจ้วงเหยเกทันที
ก่อนหน้านี้ยังมีหลายคนที่ไม่เชื่อในความสามารถของฉินอวี้โม่และคิดว่านางคงไม่มีฝีมือเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้หัวใจของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นอย่างที่สุด เกรงว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางจะเหนือกว่าพวกเขาอีกมากนัก
“จิ๊จิ๊จิ๊ ลูกพี่อวี้โม่กล่าวถูกต้องแล้ว ไม่ว่าอย่างไรไก่อ่อนก็ต้องเป็นไก่อ่อนอยู่วันยังค่ำ แม้จะมีจำนวนมากกว่า ทว่าสุดท้ายก็ยังอ่อนแอไร้ทางสู้”
ฉื่อไท่หลางกล่าววาจาเย้ยหยันและเขายังไม่คิดที่จะลงมือทำสิ่งใด ตอนนี้เป็นโอกาสในการสร้างชื่อของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าเขาต้องการให้ทุกคนได้ทราบว่าลูกพี่ของเขาเก่งกาจเหนือมนุษย์แค่ไหน หลังจากการคัดเลือกครานี้ คาดว่าจะไม่มีผู้ใดในอำเภอซ่างหยวนที่จะกล้าดูหมิ่นฉินอวี้โม่อีกต่อไป !
“จับตัวนางให้ได้ !”
จูโหย่วจ้วงสั่งศิษย์สามคนรอบตัวเขาให้ร่วมมือกันจัดการกับฉินอวี้โม่โดยเร็ว
ทั้งสามหันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางระแวดระวัง
“เหอะ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน !”
จูโหย่วจ้วงแค่นเสียงในลำคอทว่าหัวใจเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา หากคนทั้งสามจัดการกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ ปัญหาใหญ่ก็จะตกมาที่ตัวเขาอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันเลยจะดีกว่า”
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองคนเหล่านั้นก่อนมองตรงไปที่จูโหย่วจ้วงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าหรอก !”
จูโหย่วจ้วงยังคงยืนนิ่งและส่งสัญญาณให้คนทั้งสามโจมตีฉินอวี้โม่ทันที
“ลุย !”
เวลานี้ทั้งสามหยุดลงตรงหน้าฉินอวี้โม่และสบตากันชั่วขณะก่อนลงมือโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน พลังมายาของคนทั้งสามรวมตัวกันและพุ่งตรงไปยังจุดที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่เพื่อโจมตีเข้าใส่อย่างจัง
ตูมมม !
พลังมายาปะทะเป้าหมายอย่างรุนแรงจนเกิดฝุ่นตลบฟุ้งทั่วบริเวณ
“ฮ่า ๆ ๆ นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกพวกเรากำจัดไปง่าย ๆ !”
ศิษย์ตระกูลจูคนหนึ่งหัวเราะลั่นด้วยความพึงพอใจ เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าการโจมตีของพวกตนพุ่งเข้าใส่ร่างของฉินอวี้โม่ในขณะที่นางหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
แม้ด้วยพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว แต่การรวมพลังกันของพวกเขาทั้งสามก็เพียงพอที่จะทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้
“เจ้าโง่ เจ้ากำลังหัวเราะอะไรกัน ?!”
จูโหย่วจ้วงซึ่งจับตาดูสถานการณ์อย่างไม่วางตามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับตะโกนเสียงดังออกไป
“อ่อนแอเกินไป !”
พลั่ก !
เสียงเบา ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของคนผู้นั้นและจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กระแทกเข้าใส่ตนก่อนร่างเขาจะลอยกระเด็นออกไปและร่วงตกใต้สังเวียนอย่างแรง
“แย่แล้ว !”
สองคนที่อยู่ด้านข้างชะงักไปทันที พวกเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำและไม่เห็นเลยว่านางหลบหลีกการโจมตีอันทรงพลังของพวกตนได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางปรากฏตัวอีกครั้งและโจมตีสหายคนหนึ่งของตนจนกระเด็นออกไปเมื่อครู่ พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
“พวกเจ้าก็ควรตามเขาไปด้วย”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหูของพวกเขาก่อนสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลกระแทกเข้าที่อกจนลอยกระเด็นไปกลางอากาศเช่นกัน ทั้งสองไม่ทันได้ตอบโต้ใด ๆ และร่วงลงกระแทกพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงโดยสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไป
“สวรรค์ ! จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ช่างทรงพลังยิ่งนัก !”
ท่ามกลางฝูงชน ใครคนหนึ่งอุทานเสียงดังอย่างอดไม่ได้
พวกเขาทุกคนต่างก็ทราบดีว่าพลังของฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้เป็นคู่ต่อสู้ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นเดียวกัน คู่ต่อสู้เหล่านั้นก็แทบไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้แม้แต่น้อยและพวกเขารับมือกับกระบวนท่าเดียวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
“หรือพลังของจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่จะบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนแล้ว ?”
ใครอีกคนกล่าวด้วยความตกตะลึงและคิดว่าคงมีเพียงจอมยุทธ์ราชาเซียนที่แท้จริงเท่านั้นที่จะแสดงพลังได้อย่างเผด็จการเช่นนี้ เพราะหากเป็นจอมยุทธ์ราชาเซียนครึ่งก้าว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็คงจะไม่มากถึงเพียงนี้
“ไม่ สภาวะพลังนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนนางว่าอยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าการที่จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่มีพลังที่เหนือชั้นกว่าอย่างเทียบไม่ติดเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะนางมีทักษะการต่อสู้ที่พิเศษอยู่”
ใครคนหนึ่งที่มีความรู้รอบด้านแสดงความคิดเห็นของตนออกมาและคาดเดาลาง ๆ ว่าความสามารถของฉินอวี้โม่ในการกำราบคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้น่าจะเป็นผลมาจากทักษะการต่อสู้ที่เหนือธรรมชาติของนาง
“ไม่แปลกใจเลยที่ฉื่อไท่หลางจะยอมรับนางเป็นลูกพี่อย่างภาคภูมิใจและตระกูลฉื่อก็ยังถึงขั้นแต่งตั้งนางเป็นผู้อาวุโสของตระกูล เดิมทีข้านึกว่านางได้รับการเอาใจเป็นพิเศษเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพราะความแกร่งกล้าอันน่าทึ่งของนางนี่เอง ไม่รู้เลยว่าระหว่างจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่กับผู้อาวุโสตระกูลจูผู้นั้น ใครกันที่จะแข็งแกร่งกว่ากัน…”
หลายคนที่เคยสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ต่างก็กล่าวด้วยความตกใจไม่น้อย ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามสะเทือนใต้หล้ากอปรกับความแข็งแกร่งและพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นนั้น เกรงว่าชื่อของ ‘ฉินอวี้โม่’ จะเลื่องลือไปทั่วดินแดนมหาเทพในไม่ช้า…
บนสังเวียนการต่อสู้ ในตอนนี้จูโหย่วจ้วงมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกอย่างชัดเจน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะทรงพลังถึงขั้นนี้ ศิษย์สามคนของตระกูลจูถูกกำจัดออกจากการแข่งขันไปอย่างรวดเร็วและเวลานี้ฝ่ายของเขาเหลือเพียงแปดคนในขณะที่ฝ่ายฉินอวี้โม่มีเจ็ดคนเช่นเดิม สถานการณ์ได้เปรียบก่อนหน้านี้เหมือนจะพลิกกลับกลายเป็นเสียเปรียบไปเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น พลังของฉินอวี้โม่ก็แกร่งกล้าอย่างยิ่งจนแม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกว่านางไร้เทียมทาน
“พวกเจ้าเข้ามาด้วยกันทั้งหมดเถอะ !”
ฉินอวี้โม่ยกกำปั้นชี้ไปทางจูโหย่วจ้วงและคนอื่น ๆ ก่อนตรงเข้าไปโจมตีทันที
จูโหย่วจ้วงและคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและโจมตีนางอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาชนะนางให้ได้
พลั่ก !
พลั่ก !
…
สมาชิกฝ่ายตระกูลจูถูกเตะร่วงลงจากสังเวียนไปตาม ๆ กันโดยฝีมือของฉินอวี้โม่ ร่างของพวกเขากองเรียงทับกันจนดูเหมือนเป็นพีระมิดมนุษย์ก็ว่าได้
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ฝั่งของตระกูลจูก็เหลือเพียงจูโหย่วจ้วงและจอมยุทธ์อิสระอีกคนเท่านั้น
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรเลือกอยู่ฝ่ายตระกูลจูเลย…ได้โปรด…ได้โปรดให้โอกาสและอย่ากำจัดข้าไปเลย…”
ในตอนนี้จอมยุทธ์อิสระผู้นั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่สุดและร้องขอความเมตตาอย่างไม่ลังเล