ในตอนนี้บรรยากาศ ณ ลานจัตุรัสของอำเภอซ่างหยวนคึกคักเป็นอย่างยิ่ง เสียงร้องเลียนเสียงหมูสามครั้งของจูโหย่วจ้วงทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่น แม้แต่ศิษย์ตระกูลจูหลายคนก็กลั้นขำไว้ไม่ไหวและหัวเราะพรืดออกมาเช่นกัน
สีหน้าของจูปี้บิดเบี้ยวอย่างยิ่งและสีหน้าของจูยงเองก็เย็นชามาก หากมิใช่เพราะความยับยั้งชั่งใจ เกรงว่าวันนี้คงจะไม่จบลงแค่นี้แน่
“เหอะ ไว้เจอกันเดือนหน้า !”
จูยงแค่นเสียงเย็นชาและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“อย่าคิดว่าการผ่านการคัดเลือกเข้าไปในรอบเมืองรองจะเป็นเรื่องที่ดี ยังมีอีกหลายสิ่งนักที่เจ้ายังรับมือไม่ได้ !”
จูปี้กล่าวอย่างมีนัยยะด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่เตือนข้า”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบางเล็กน้อย “ท่านทั้งสองเป็นห่วงเรื่องตระกูลของตัวเองจะดีกว่า การคัดเลือกในรอบเมืองรองแตกต่างจากที่นี่มาก หากไปทำอะไรกวนใจใครเข้าและต้องร้องเสียงหมูออกมาอีก มันจะทำให้อำเภอซ่างหยวนของเราต้องเสียหน้า !”
เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของจูปี้และจูยงก็เหยเกจนแทบดูไม่ได้
“เหอะ ตระกูลฉื่อ พวกข้าจะจดจำเรื่องในวันนี้ไว้ !”
ผู้อาวุโสจูยงกล่าวทิ้งท้ายก่อนสะบัดแขนเล็กน้อยและเหาะออกจากลานจัตุรัส
“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ !”
จูปี้กล่าวเสริมขึ้นมาก่อนเหาะตรงไปที่สังเวียนเพื่อประคองจูโหย่วจ้วงที่ทรุดอยู่บนพื้นและออกจากลานจัตุรัสไปเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น สมาชิกตระกูลจูคนอื่น ๆ ก็รีบออกจากลานจัตุรัสไปตาม ๆ กันราวกับพยายามหลบหนีเอาตัวรอด
“รีบไสหัวออกไปเถอะ พวกเราตระกูลฉื่อไม่เคยเกรงกลัวพวกเจ้า อย่าข่มขู่กันนักเลย !”
ฉื่อไท่หลางหัวเราะเบา ๆ ขณะมองไปยังทิศทางที่จูปี้และคนอื่น ๆ จากไปพร้อมกล่าวเสียงดังฟังชัด
“ใช่แล้ว พวกเราตระกูลฉื่อไม่กลัวพวกเจ้าหรอก !”
จอมยุทธ์อิสระนามว่าจางเหิงก็กล่าวเสริมอย่างให้ความร่วมมือ ราวกับว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉื่อ
“จางเหิง เจ้าเป็นคนของตระกูลฉื่อตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
ศิษย์คนหนึ่งที่สนิทสนมกับจางเหิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและหัวเราะเบา ๆ อย่างหยอกเย้า
“ข้า…เอ่อ…”
จางเหิงพูดจาติดขัดทันทีและไม่ทราบเลยว่าควรตอบอย่างไร
“จางเหิง เจ้าอยากจะเข้าร่วมตระกูลฉื่อของเรารึไม่ ?”
ฉื่อไท่หลางตบไหล่จางเหิงเบา ๆ และเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
เขารู้สึกชื่นชมจางเหิงเป็นอย่างมาก เมื่อครู่จอมยุทธ์อิสระผู้นี้ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าฝ่ายตระกูลจูมีจำนวนที่มากกว่าและเลือกอยู่เคียงข้างฝ่ายตระกูลฉื่ออย่างไม่ลังเล จางเหิงผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ที่มีจิตใจหนักแน่นและมีนิสัยน่าคบหามากทีเดียว
“ข้าเข้าร่วมได้จริง ๆ หรือ ?”
จางเหิงชะงักนิ่งด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าฉื่อไท่หลางจะกล่าวเชิญชวนตนเช่นนี้
“หากเจ้าเต็มใจก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ตระกูลฉื่อของเรายินดีต้อนรับศิษย์ที่ไม่เกรงกลัวพลังอำนาจและมีหลักการความคิดหนักแน่นเป็นของตัวเองอย่างเจ้าเสมอ”
ฉื่อซิ่งก้าวขึ้นบนสังเวียนต่อสู้และออกปากเชิญชวนด้วยตัวเองเช่นกัน
“ข้าเต็มใจ แน่นอนว่าข้าเต็มใจ ข้าอยากเข้าร่วมตระกูลฉื่อมานานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ตอนนี้การที่ข้าได้รับคำชวนจากทั้งนายน้อยและผู้นำตระกูลฉื่อเช่นนี้ มันทำให้ข้า…”
จางเหิงตื่นเต้นจนบรรยายความรู้สึกของตนไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาทำได้เพียงเกาศีรษะอย่างเก้ ๆ กัง ๆ และยังไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เท่าใดนัก
ท่าทางเงอะงะเก้ ๆ กัง ๆ ของเขาก็ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง
หลังจากนั้น จ้าวตั๋วก็ทำการประกาศผลและการคัดเลือกของอำเภอซ่างหยวนในครานี้ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์
นอกเหนือจากฉินอวี้โม่และศิษย์ตระกูลฉื่อหกคนรวมจางเหิงผู้ซึ่งเข้าร่วมอย่างเป็นทางการเมื่อครู่นี้ ก็ยังมีจูโหย่วจ้วงอีกคนที่ผ่านการคัดเลือกและเข้าไปสู่รอบต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้จูโหย่วจ้วงจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความหดหู่และความโศกเศร้า
….
ณ ตระกูลฉื่อ ในเวลานี้ผู้คนจำนวนหนึ่งก็กำลังนั่งหารือกันในห้องโถงกว้าง
ฉื่อซิ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งหลักโดยมีจ้าวตั๋วนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉินอวี้โม่ ฉื่อไท่หลางและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็นั่งในตำแหน่งที่ต่ำลงมา
“เสี่ยวอวี้โม่ การที่ตระกูลจูพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้จูโหย่วจ้วงได้ผ่านเข้าคัดเลือกในรอบต่อไปโดยไม่สนใจว่าต้องเสียหน้าเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาจะต้องมีแผนการบางอย่างเตรียมไว้แน่ เหตุใดเจ้าถึงไม่กำจัดจูโหย่วจ้วงไปเสียเลย ทว่ากลับปล่อยให้เขามีโอกาสเข้าสู่การคัดเลือกในรอบต่อไปเช่นนี้ ?”
จ้าวตั๋วฉงนงุนงงไม่น้อย ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดและไหวพริบฉับไวของฉินอวี้โม่ นางน่าจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าตระกูลจูมีแผนการสมคบคิดบางอย่าง ทว่าในเมื่อมีโอกาสตัดสิทธิ์มิให้จูโหย่วจ้วงได้ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกต่อไปได้ เหตุใดฉินอวี้โม่จึงปล่อยเขาไปกัน ?
“ท่านลุงจ้าว จากความเข้าใจของท่านเกี่ยวกับตระกูลจู ต่อให้ข้ากำจัดจูโหย่วจ้วงออกจากการแข่งขันได้สำเร็จ เขาจะเสียสิทธิ์หรือหมดคุณสมบัติในการเข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย จ้าวตั๋ว ฉื่อซิ่งและตระกูลจูมีเรื่องบาดหมางกันมานานหลายปี พวกเขาควรจะรู้จักตระกูลจูดีกว่านางมากและทราบว่าคนตระกูลจูเป็นคนอย่างไร ต่อให้จูโหย่วจ้วงถูกกำจัดจากสังเวียนในตอนนี้ พวกเขาก็ต้องพยายามหาทางทวงสิทธิ์บางอย่างเพื่อให้เขาได้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไป แทนที่จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนั้น การถือโอกาสนี้ทำให้ตระกูลจูอับอายขายขี้หน้าย่อมดีกว่า
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาก็สมเหตุสมผลทีเดียว ชายแก่จูยงนั่นมีฝีมือไม่น้อยเลย ต่อให้จูโหย่วจ้วงจะถูกกำจัดออกจากการแข่งขันในรอบนี้ คาดว่าเขาก็ยังหาทางไปที่เมืองเทียนหยวนเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกต่อไปได้”
ฉื่อซิ่งพยักศีรษะเบา ๆ ต้องยอมรับว่าจูยงผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลจูและจอมยุทธ์ราชาเซียนเพียงคนเดียวในอำเภอซ่างหยวนก็มีอิทธิพลอยู่พอสมควร ฉื่อซิ่งและจ้าวตั๋วก็เคยนึกสงสัยว่าอาจจะมีขุมกำลังใดสักแห่งที่หนุนหลังเขาอยู่ ทว่าไม่เคยพิสูจน์ได้
“ตระกูลจูมีแผนการอะไรกันแน่ ? พวกเขายอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้จูโหย่วจ้วงได้เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป หรือพวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสามสำนักและเก้านิกาย ?”
จ้าวตั๋วขมวดคิ้วมุ่นพลางใช้ความคิด นี่มิใช่เรื่องที่คาดเดาได้ยากเลย การที่ตระกูลจูพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณชายใหญ่เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป พวกเขาน่าจะมีแผนการบางอย่างรออยู่ในเมืองเทียนหยวนเป็นแน่
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น หากพวกเขามีอะไรเกี่ยวข้องกับสามสำนักและเก้านิกายจริง ตระกูลจูคงไม่ยอมอ่อนข้อง่าย ๆ เช่นนี้ อีกอย่าง…ด้วยลักษณะนิสัยของจูปี้ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็คงจะหาทางทำลายตระกูลฉื่อของข้าไปนานแล้ว”
ฉื่อซิ่งกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ เขารู้จักจูปี้และตระกูลจูมากกว่าทุกคนในที่แห่งนี้ หากตระกูลจูมีความเกี่ยวข้องกับหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายจริง ผู้นำตระกูลจูไม่มีทางยอมทนมาตลอดหลายปีแน่ เกรงว่าเขาคงบุกมาทำลายตระกูลฉื่อให้สิ้นซากและยึดอำนาจในอำเภอซ่างหยวน หรืออาจถึงขั้นย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานในเมืองใหญ่เพื่อพัฒนาตระกูลต่อไป
“หากข้าเดาไม่ผิด ตระกูลจูน่าจะมีความสัมพันธ์กับขุมกำลังใดสักแห่งในเมืองเทียนหยวน เมื่อเราเดินทางไปที่เมืองเทียนหยวนเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไป เราจะต้องเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้และเตรียมความพร้อมไว้ให้ดี”
ฉินอวี้โม่กล่าวข้อสันนิษฐานในใจออกมา ขุมกำลังที่หนุนหลังตระกูลจูคงจะมิใช่ขุมกำลังที่แข็งแกร่งจนเกินไป อย่างน้อยที่สุดคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทรงอิทธิพลในเมืองเทียนหยวน มิฉะนั้นตระกูลจูคงไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าคนทั้งอำเภอเพียงเพื่อให้ได้ไปที่นั่น
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลจูและขุมกำลังดังกล่าวน่าจะมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน ตราบใดที่คนจากตระกูลจูสามารถผ่านไปถึงการคัดเลือกรอบต่อไปได้ ขุมกำลังแห่งนั้นก็จะช่วยผลักดันให้จูโหย่วจ้วงทะยานขึ้นสูงยิ่งกว่าเดิม
หากจูโหย่วจ้วงได้เข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่ มันก็จะเป็นผลดีกับตระกูลจูอย่างมาก เมื่อตระกูลจูมีรากฐานที่มั่นคงและยิ่งใหญ่มากขึ้น การทำลายตระกูลฉื่อก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา
“ข้าสนิทสนมกับเจ้าเมืองเทียนหยวนพอสมควร หลังจากนี้ข้าจะส่งคนไปสืบข่าวดูว่าจะได้เบาะแสใดที่เป็นประโยชน์รึไม่”
จ้าวตั๋วไตร่ตรองครู่หนึ่งและเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจและกล่าวออกมาทันที
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงนายอำเภอของอำเภอเล็ก ๆ แต่จ้าวตั๋วก็มีเครือข่ายที่กว้างขวางพอสมควร เขาและเจ้าเมืองเทียนหยวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและเรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างชื่นชมกันและกัน เพราะเหตุนั้นแล้วการส่งคนไปสืบข่าวคงมิใช่เรื่องยาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณสหายจ้าวเป็นการล่วงหน้า”
ฉื่อซิ่งประกบฝ่ามือกับกำปั้นและเอ่ยขอบคุณจ้าวตั๋วอย่างจริงใจ
“สหายฉื่อไม่ต้องเกรงใจหรอก เราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันก็ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณข้า หากสมาชิกในตระกูลฉื่อของท่านได้ไปที่เมืองเทียนหยวนและเผชิญกับปัญหาที่แก้ไม่ตก พวกท่านก็ไปหาเจ้าเมืองเทียนหยวนที่จวนเจ้าเมืองได้ทุกเมื่อ เขาจะคอยช่วยเหลือปกป้องพวกท่านทุกคน”
จ้าวตั๋วกล่าวเสริมขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจที่จะยืนเคียงข้างตระกูลฉื่อมานานแล้ว
เขาทราบดีว่าตระกูลจูเป็นอย่างไร หากอำเภอซ่างหยวนตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของคนเหล่านั้น มันจะส่งผลร้ายต่อจอมยุทธ์ทั้งหมดในอำเภออย่างแน่นอน
ทุกคนก็สนทนากันในห้องโถงพักใหญ่ก่อนจ้าวตั๋วขอตัวกลับออกไปก่อนและส่งคนออกไปสืบเบาะแสในเมืองเทียนหยวน
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันกลับไปที่เรือนของตนเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกในรอบต่อไป
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา เวลามากกว่ายี่สิบวันก็ผ่านพ้นไป
ในตอนนี้ก็เหลือเวลาไม่ถึงสิบวันสำหรับการคัดเลือกในเมืองเทียนหยวน
อำเภอซ่างหยวนอยู่ไม่ไกลจากเมืองเทียนหยวนนัก หากเดินทางด้วยกริฟฟินจะต้องใช้เวลาเพียงสามวัน และหากมีอสูรมายาอื่นที่บินได้เร็วกว่าก็จะไปถึงที่หมายได้ในเวลาหนึ่งวันเท่านั้น
ทุกคนหารือกันและตัดสินใจว่าจะออกเดินทางไปที่เมืองเทียนหยวนในวันพรุ่งนี้
ในช่วงบ่ายของวันนี้ นายอำเภอจ้าวตั๋วก็มาเยือนที่จวนตระกูลฉื่ออีกครั้ง
“เสี่ยวอวี้โม่คาดเดาถูกแล้ว ตระกูลจูมีความสัมพันธ์กับขุมกำลังในเมืองเทียนหยวนจริง ข้าได้สืบเบาะแสมาและพบว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากสี่ตระกูลใหญ่ของเมือง ตระกูลนั้นหมายที่จะแย่งชิงตำแหน่งของสี่ตระกูลใหญ่มาโดยตลอดและให้สัญญาว่าหากคนจากตระกูลจูไปถึงที่เมืองเทียนหยวนได้ คนผู้นั้นจะได้เป็นศิษย์เอกและพวกเขาจะช่วยตระกูลจูยึดครองอำนาจของอำเภอซ่างหยวน”
ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทราบความจริง ความเชื่อมโยงระหว่างตระกูลจูและขุมกำลังดังกล่าวถูกปิดเป็นความลับแน่นหนาจนแม้แต่เจ้าเมืองเทียนหยวนก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัด จ้าวตั๋วต้องใช้เงินลงทุนไปมากเพื่อตามหากองทหารรับจ้างที่นั่นสำหรับการสืบข่าวเรื่องนี้
“โอ้ มิใช่เพื่อช่วยตระกูลจูโค่นอำนาจและปกครองอำเภอซ่างหยวนหรอก ทว่าพวกเขาจะยึดอำเภอซ่างหยวนไว้เองเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและประกาศศึกกับสี่ตระกูลใหญ่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเยาะและคาดเดาแผนการของขุมกำลังดังกล่าวได้ทันที
ตระกูลจูก็คงจะรับรู้ถึงแผนการของขุมกำลังนั้นดี ทว่าพวกเขาไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงจะไม่ขยายอำนาจไปที่เมืองใหญ่ ต่อให้ต้องเชื่อฟังคำสั่งของตระกูลนั้นโดยผิวเผิน มันก็มิใช่เรื่องที่หนักหนาจนเกินไป อย่างน้อยที่สุดตระกูลดังกล่าวก็ช่วยให้ตระกูลจูของพวกเขาปกครองอำเภอซ่างหยวนได้ซึ่งสุดท้ายแล้วตระกูลจูก็จะมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในอำเภอแห่งนี้
“เหอะ ตระกูลจูเตรียมการมาดีทีเดียว !”
ฉื่อซิ่งแค่นเสียงและหันไปสบตากับจ้าวตั๋วอย่างมีแผนการในใจ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลจูได้สิ่งที่ต้องการแน่ !
“เท่าที่ข้าทราบมา เมื่อห้าวันก่อน จูยงพาจูโหย่วจ้วงไปที่เมืองเทียนหยวนด้วยตัวเองและคงจะไปที่ตระกูลดังกล่าวแน่ เมื่อพวกเจ้าไปที่นั่นจงระวังตัวด้วย ในเมื่อขุมกำลังนั้นคิดจะหนุนหลังตระกูลจู พวกเขาคงจะรอให้พวกเจ้าไปถึงและลงมือทำอะไรสักอย่างแน่ เรายังไม่มีโอกาสชนะพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าควรจะหลีกเลี่ยงการปะทะเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ และยอมลดราวาศอกเป็นการชั่วคราว”
จ้าวตั๋วทราบถึงการเคลื่อนไหวของตระกูลจูอยู่ตลอดและกล่าวเตือนทุกคนให้ระวังตัว
“ขอบคุณท่านลุงจ้าวที่เตือนเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับทว่าไม่มีความหวาดหวั่นใด ๆ ตระกูลจูเชื่อว่าเมื่อร่วมมือกับตระกูลทรงพลังในเมืองเทียนหยวนแล้วจะจัดการกับพวกนางได้รึ ? มันช่างเป็นความคิดที่น่าขันยิ่งนัก
ในเมื่อเป็นถึงตระกูลระดับสอง ฉินอวี้โม่ก็อยากเห็นนักว่าพวกเขาจะมีฝีมือสักเพียงใด !
หลังจากเตรียมความพร้อมอีกเล็กน้อย ทุกคนก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนหยวนในตอนเช้าตรู่ของวันต่อมา
เนื่องจากทราบถึงแผนการของตระกูลจู ฉื่อซิ่งจึงยังไม่วางใจและยังไม่สามารถออกจากตระกูลฉื่อได้ในตอนนี้ เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงรับบทบาทเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยายและมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่