ภายในห้องพัก ฉินอวี้โม่และทุกคนยังคงหารือกันเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่แผ่ปกคลุมอย่างหนาแน่น ทว่าทุกคนไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“เหอะ พวกอันธพาลที่ไหนกันที่ริอาจรังแกคนของตระกูลโจวในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ !”
น้ำเสียงเย็นชาและทรงพลังดังขึ้นในหูของทุกคนพร้อมกับพลังวิญญาณที่หนาแน่นจนทำให้จิตใจของฉื่อไท่หลางปั่นป่วนไปเล็กน้อย
“โอ้ รังแกงั้นรึ ? ฮ่า ๆ ๆ เศษสวะพวกนั้นไม่คู่ควรหรอก !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางทะนงตนอย่างที่สุด ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณของนางก็แผ่ออกไปโจมตีอีกฝ่ายที่กำลังใกล้เข้ามาทันที
นางสัมผัสได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าของคนที่กำลังใกล้ข้ามาและหากเดาไม่ผิด ระดับพลังของเขาคงจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนแล้วและอาจจะถึงขั้นบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางด้วยซ้ำ
(ขอบเขตราชาเซียนแบ่งออกเป็น: ขั้นเริ่มต้น ขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง)
กล่าวได้ว่าบุรุษผู้นี้คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของฉินอวี้โม่นับตั้งแต่เดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพแห่งนี้
“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าจริง ๆ !”
เสียงของบุรุษผู้นั้นยังคงดังต่อไปขณะต่อต้านและลบล้างพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ออกไป
เขาคือหัวหน้าผู้พิทักษ์ของตระกูลโจวและเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ผู้มากพรสวรรค์ของตระกูลโจว โจวสิงเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาและไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยให้ใครมารังแกเครือญาติวงศ์ตระกูลของตนเองได้
“ลูกพี่ลูกน้อง ล้างแค้นให้ข้าด้วย !”
เสียงของโจวสิงดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ เวลานี้เขาไม่แสดงถึงความหวาดกลัวหรือความตื่นตระหนกเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป ทว่ามันกลับแทนที่ด้วยความเย่อหยิ่งอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะมิใช่คู่มือของฉินอวี้โม่ ทว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้จะเอาชนะนางได้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ริอาจฉีกหน้าของเขาต่อหน้าทุกคน หนำซ้ำยังทำร้ายเขาและผู้ติดตามอย่างแสนสาหัส เขาไม่มีทางอยู่เฉยและปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ แน่
ฉินอวี้โม่โบกมือเล็กน้อยก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกและพบว่ามีคนสองคนยืนอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือโจวสิงผู้ที่หลบหนีหัวหางจุกตูดไปก่อนหน้านี้และอีกคนคือโจวหังรุ่ย—ผู้ช่วยที่เขาเรียกมา
“เป็นเจ้ารึที่รังแกลูกพี่ลูกน้องของข้า ?!”
รูปลักษณ์ใบหน้าของโจวหังรุ่ยถือว่าไม่เลวเลย ทว่ารอยแผลลากยาวตั้งแต่คิ้วถึงมุมปากบดบังความดูดีนั้นไปและทำให้เขาดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่า กอปรกับดวงตาแหลมคมดุจดั่งเหยี่ยวร้ายคู่นั้น เขาสามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดันได้โดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ
สายตาของเขาจับจ้องตรงมาที่ฉินอวี้โม่ดุจดั่งอสูรร้ายที่กำลังมองเหยื่ออันโอชะ ราวกับว่าหากฉินอวี้โม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว เขาจะสังหารนางในทันที
“ถูกต้อง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวยอมรับโดยตรง ต้องกล่าวเลยว่าแรงกดดันจากโจวหังรุ่ยผู้นี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด นางสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างมหาศาลเป็นครั้งแรก ไม่ว่ากลิ่นอายที่ทรงพลังหรือจิตสังหารอันแรงกล้าก็แผ่ตรงมาอย่างรุนแรง
“ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ !”
โจวหังรุ่ยมิใช่คนที่ชอบพูดคุยให้เสียเวลา เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฝ่ามือวายุที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาส่วนใหญ่ของเขาก็ฟาดตรงไปหานางทันที
ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ แม้แต่คนจากอีกสามตระกูลใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทุกคนที่อยู่ในการดูแลของเขา
“ความสามารถของเจ้ายังไม่มากพอ !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและเหวี่ยงฝ่ามือออกไปเพื่อสลายการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย แม้ความแข็งแกร่งภายนอกของนางจะเทียบโจวหังรุ่ยไม่ได้ ทว่าปัจจัยด้านอื่น ๆ ก็ช่วยส่งเสริมพลังการต่อสู้ของนางเช่นกัน นอกจากนี้การที่นางครอบครองกายเทพมายาอยู่ แม้ว่าโจวหังรุ่ยจะต้องการสังหารนาง มันก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“เหอะ ไม่แปลกใจที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป ถือว่าฝีมือของเจ้าก็ไม่เลวเลย”
โจวหังรุ่ยกล่าวและแสยะยิ้มเยือกเย็น ถึงแม้ฝ่ามือวายุเมื่อครู่ของเขาจะมีพลังเพียงเจ็ดส่วน ทว่าการที่ฉินอวี้โม่ผู้มีพลังเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวสามารถป้องกันมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนางได้อย่างชัดเจน
“หากเจ้าไม่กล่าววาจาดูหมิ่นข้า เจ้าก็อาจจะมีโอกาสแสดงฝีมือในการคัดเลือก ทว่าตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสนั้นแล้ว !”
เขากล่าวต่อด้วยท่าทางโอหัง ถึงแม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีฝีมือพอสมควร ทว่าโจวหังรุ่ยก็ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเท่าใดนัก
เขาไม่เชื่อว่าผู้ที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวจะเอาชนะจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นกลางอย่างเขาได้ และมิใช่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนอื่น ๆ ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้เช่นกัน
ความแตกต่างระหว่างพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวและราชาเซียนขั้นกลางมิใช่น้อย ๆ เลย ต่อให้ฉินอวี้โม่จะมีความสามารถที่ร้ายกาจแค่ไหน โจวหังรุ่ยก็มั่นใจว่านางมิใช่คู่ต่อสู้ของตน
เวลานี้ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มาชมเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ และไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา พวกเขาทุกคนทราบถึงชื่อเสียงของโจวหังรุ่ยเป็นอย่างดีและเขามิใช่คนมีเหตุผลเป็นทุนเดิม ทุกคนที่เคยทำให้เขาขุ่นเคืองใจก่อนหน้านี้ล้วนพบจุดจบที่ไม่ดีนัก ฉินอวี้โม่เองก็มีพื้นเพที่ไม่แกร่งกล้ามากพอและเกรงว่าวันนี้นางอาจจะไม่รอดพ้นออกไป
“หากเจ้ามีฝีมือได้สักครึ่งหนึ่งของฝีปาก ข้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวออกไป มีคนไม่น้อยที่เคยข่มขู่นางเช่นนี้ ทว่าไม่เคยมีใครที่ทำได้อย่างที่ลั่นวาจาไว้ หากเป็นจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูง นางก็อาจจะยอมอ่อนข้อให้สักหน่อย ทว่าผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางเช่นนี้ ด้วยพลังของซิวและกองทัพอสูรมายา ฉินอวี้โม่จึงไม่กังวลจนเกินไป
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
เมื่ออีกฝ่ายยังคงกล่าวเย้ยหยัน โจวหังรุ่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและตะโกนกร้าวพร้อมพุ่งตรงเข้าโจมตี
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่หลบหลีกและยังตอบโต้การโจมตีดังกล่าวได้ทันที
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งสองก็ปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายหลายสิบกระบวนท่าแล้ว
ต้องกล่าวเลยว่าช่องว่างความแตกต่างของพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นเริ่มต้นและราชาเซียนขั้นกลางห่างกันมากพอสมควร กลุ่มผู้ติดตามของโจวสิงที่ฉินอวี้โม่จัดการได้อย่างง่ายดายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนเท่านั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับโจวหังรุ่ยในตอนนี้ นางทำได้เพียงแค่ตั้งรับและป้องกัน
ความเร็วของโจวหังรุ่ยถือว่าไม่ธรรมดาและความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือกว่าฉินอวี้โม่มาก หลังจากการโจมตีอีกหลายสิบกระบวนท่า ฉินอวี้โม่ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในที่สุด
“ซิว ถึงเวลาแสดงฝีมือของเจ้าแล้ว”
เมื่อตระหนักว่าไม่สามารถเอาชนะโจวหังรุ่ยได้ด้วยพลังของตนเอง ฉินอวี้โม่จึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและส่งสัญญาณเรียกซิวที่คันไม้คันมืออยากต่อสู้ออกมา
“รอดูได้เลยว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าโง่ที่ยโสโอหังผู้นี้อย่างไร !”
แววตาของซิวแสดงถึงความดูถูก สิ่งที่มันชิงชังมากที่สุดคือผู้ที่มีความสามารถอันน้อยนิดแต่กลับวางท่ายโสโอหัง
“หากคิดจะจัดการข้า เอาชนะอสูรคู่กายของข้าให้ได้ก่อน !”
หลังจากเหาะหลบออกจากการโจมตีของโจวหังรุ่ย ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นและร่างของซิวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
“โอ้ ก็แค่อสูรพันธสัญญา คิดจะขัดขวางข้างั้นรึ ? เจ้ามั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว !”
เมื่อเห็นซิวปรากฏตัวข้างหน้าฉินอวี้โม่ โจวหังรุ่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันออกไปทันที เขาไม่เชื่อว่าซิวจะมีพลังที่แกร่งกล้า ในทั่วทั้งดินแดนมหาเทพก็มีอสูรมายาเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะเขาได้และโจวหังรุ่ยก็ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ธรรมดา ๆ ตรงหน้านี้จะมีอสูรพันธสัญญาที่ทรงพลังเช่นนั้นได้
“ริอาจกล่าววาจาโอหังต่อหน้าเทพผู้นี้รึ ? ใครกันแน่ที่มั่นใจในพลังของตัวเองมากเกินไป… เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้เอง !”
ซิวเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ จากนั้นมันก็พุ่งตรงเข้าโจมตีโจวหังรุ่ยทันที เวลานี้กำปั้นของมันปกคลุมไปด้วยเพลิงโหมกระหน่ำและมีเสียงของเพลิงลุกโชนตามอากาศ ตราบใดที่แตะต้องมัน ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เหอะ !”
โจวหังรุ่ยแค่นเสียงเบา ๆ และปล่อยหมัดตรงไปที่ซิว เขาไม่ทราบว่าเพลิงแห่งชีวิตของซิวทรงพลังเพียงใด เขาจึงโจมตีตอบโต้กำปั้นเพลิงนั้นอย่างไม่ลังเล
ตูมมม !
การโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างจังและซิวถอยหลังไปสามก้าวในขณะที่โจวหังรุ่ยถอยหลังไปเจ็ดก้าวก่อนทรงตัวได้ เขาเกือบที่จะตกลงไปจากชั้นที่สามของโรงเตี๊ยมเช่นกัน
“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !”
โจวหังรุ่ยหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ เขาไม่คิดเลยว่าอสูรมายาจะมีพลังที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่หมัดปะทะกัน เขารู้สึกราวกับว่าเพลิงแห่งชีวิตของซิวจะกลืนกินตนเสียให้ได้ หากมิใช่เพราะพลังมายาที่ห่อหุ้มรอบหมัด เกรงว่ากำปั้นของเขาก็คงจะถูกแผดเผาและสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
“เป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลาง ทว่าริอาจวางมาดใหญ่โต ทำเหมือนว่าเทพผู้นี้ไม่มีตัวตนอยู่”
ซิวกล่าวอย่างทะนงตนและฝีปากของมันก็ยังคงไร้ความปรานีเช่นเดิม แม้ระดับพลังของมันในตอนนี้จะอยู่ในสภาวะติดขัด มันก็สามารถประจันหน้ากับจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นกลางได้อย่างไม่กดดัน พลังเดิมของมันเองก็ถือว่าทรงพลังอย่างมาก กอปรกับร่างกายที่แข็งแกร่งของมังกรทองสิบเล็บที่ทนทานต่อศาสตราวุธทุกอย่าง แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงที่แกร่งกล้าก็ยังยากที่จะเจาะผ่านการป้องกันของมันได้ นอกจากนี้มันก็ยังมีเพลิงอสูรที่น่าหวาดหวั่นอยู่ เพราะเหตุนั้นโจวหังรุ่ยตรงหน้าจึงไม่ได้อยู่ในสายตาของมันเลยสักนิด
“บัดซบ !”
หัวหน้าผู้พิทักษ์ตระกูลโจวเดือดดาลอย่างที่สุด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกอสูรมายากล่าววาจาหยามเกียรติเช่นนี้ ในฐานะจอมยุทธ์อัจฉริยะของตระกูลโจว ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับอีกสามตระกูลใหญ่ เขาก็ไม่เคยต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้มาก่อน
“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเวรกรรมตามสนอง อย่าโมโหไปนักเลย”
ซิวไม่ไว้หน้าโจวหังรุ่ยแม้แต่น้อยขณะยิ้มเย็นและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
“เจ้าโง่เอ๋ย !”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหูโจวหังรุ่ยและร่างของซิวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาพร้อมกับกำปั้นที่พุ่งตรงกระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
ผลัวะ !
โครม !
หลังจากสิ้นเสียงหมัดกระแทกหน้าอย่างแรง ร่างของโจวหังรุ่ยก็กระเด็นตกจากราวกั้นและร่วงลงกระแทกพื้นโถงทางเดินชั้นล่างจนเกิดเสียงดัง
ซิวพุ่งตรงตามไปทันที อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ปลดปล่อยการโจมตีต่อไปและเพียงลอยตัวกลางอากาศพลางมองโจวหังรุ่ยที่อยู่ในสภาพน่าเวทนาด้วยแววตาเยาะเย้ย
“บัดซบ !”
โจวหังรุ่ยรีบลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนตามร่างกาย เวลานี้ดวงตาข้างขวาของเขาม่วงช้ำจนดูเหมือนดวงตาหมีแพนด้าและบวมปูดจนแทบลืมตาไม่ได้ หากมิใช่เพราะเขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง เกรงว่าการโจมตีของซิวคงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
ความแข็งแกร่งของซิวมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวหังรุ่ยต้องบาดเจ็บอย่างหนักเช่นนี้ แม้แต่การประจันหน้ากับจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจที่อยู่ในระดับเดียวกัน เขาก็ไม่เคยต้องบาดเจ็บเช่นนี้มาก่อน
เรียกได้ว่าพลังของซิวน่าอัศจรรย์จนเกินไปและเพลิงร้อนระอุของมันก็ทำให้เขาหวาดหวั่นอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงที่ทรงพลังเช่นนั้น โจวหังรุ่ยก็ทำได้เพียงแค่หลีกเลี่ยงมันเท่านั้น
“อ่อนแอเกินไป อ่อนแอเกินไปจริง ๆ”
ซิวส่ายหน้าและกล่าวด้วยแววตาเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่าโจวหังรุ่ยมีประสบการณ์การต่อสู้ที่ไม่มากนักและไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อหน้ามัน
หากเป็นฉินอวี้โม่ที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางและประจันหน้ากับมัน เกรงว่าซิวคงพ่ายแพ้ไปง่าย ๆ ผู้ที่มากด้วยประสบการณ์และพรสวรรค์อย่างฉินอวี้โม่ไม่มีทางตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างโจวหังรุ่ย
“จิ๊จิ๊ เมื่อครู่เจ้ายังวางท่าโอหังอยู่เลยมิใช่รึ ?”
ฉินอวี้โม่เดินออกมาเช่นกันและมองดูสภาพของโจวหังรุ่ยในโถงทางเดินชั้นล่างพลางกล่าวด้วยวาจาถากถางและแววตาแสดงถึงความเย้ยหยันอย่างชัดเจน
“เหอะ เจ้าก็แค่โชคดีเท่านั้นที่มีอสูรมายาที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม นับจากวันนี้ไป…อสูรพันธสัญญาของเจ้าจะต้องตกเป็นของข้า !”
โจวหังรุ่ยแค่นเสียงเย็นชาและยังไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตาเช่นเดิม ภายในพริบตาต่อมา เขาก็พุ่งตรงไปหมายจะโจมตีฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ต่อหน้าข้าผู้นี้ ไม่มีทางที่เจ้าจะแตะต้องนายหญิงได้ !”
ซิวแสยะยิ้มเยือกเย็นและตรงเข้าไปยืนขวางหน้าฉินอวี้โม่ได้ทันท่วงทีก่อนเตะโจวหังรุ่ยออกไป
พลั่ก !
โจวหังรุ่ยล้มกระแทกพื้นอย่างแรงอีกครั้ง ความเร็วปานสายฟ้าของซิวทำให้ความหวาดหวั่นในหัวใจของเขาทวีคูณมากขึ้น
“เหอะ อย่าหยิ่งผยองนักเลย !”
เขาแค่นเสียงในลำคอและสีหน้าดูดุร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ป้ายหยกปรากฏในมือและเขาเติมพลังวิญญาณลงไปในนั้นทันที
“ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ ไม่มีใครที่รังแกศิษย์ฝีมือดีที่สุดของตระกูลโจวได้ พวกเจ้าจะต้องตายสถานเดียว !”
น้ำเสียงที่ฟังดูชราทว่าทรงพลังยิ่งกว่าดังขึ้นในหูของทุกคนและแรงกดดันมหาศาลกดข่มตรงไปที่ฉินอวี้โม่จนนางแทบทรุดล้มลงกับพื้น