ภายในห้องพิเศษ ณ ชั้นที่สองของโรงเตี๊ยม โจวปิ่งฮุยนั่งนิ่งด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
ทว่าสาเหตุที่เขาโกรธเคืองนั้นมิใช่เพราะความโอหังของฉินอวี้โม่ หากแต่เป็นความโง่เขลาของสมาชิกตระกูลทั้งสองคน
เขาทราบดีว่าตระกูลหลานทรงอิทธิพลมากเพียงใด หากเทียบกับตระกูลนั้น ตระกูลโจวของเขาเทียบไม่ติดฝุ่นด้วยซ้ำ หากกล้าทำสิ่งใดที่เป็นการท้าทายให้ตระกูลหลานไม่พอใจ นั่นก็เท่ากับการรนหาที่ตายนั่นเอง
ทันทีที่ทราบข่าวเมื่อวานนี้ โจวปิ่งฮุยก็ตัดสินใจทันทีและต้องการมาเพื่อแสดงความขอโทษต่อฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง ทว่าเนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้ว เขาจึงรอเวลาจนเช้าตรู่และรีบเดินทางมาที่นี่
นับประสาอะไรกับการรอเพียงครู่หนึ่ง เพราะต่อให้ฉินอวี้โม่บอกให้พวกเขารอนานหนึ่งหรือสองวัน โจวปิ่งฮุยก็ไม่กล้าคัดค้าน
“เจ้าพวกโง่ ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่บอกให้รอก็รอไปเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติต่อตระกูลโจวของเราแล้ว !”
เขามองโจวเฉียนและโจวหังรุ่ยโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจต่อการกระทำของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย หนำซ้ำเขายังดูภาคภูมิใจอย่างประหลาด
เมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมได้ยินวาจาของโจวปิ่งฮุย เขาก็แอบกลอกตาอย่างลับ ๆ ในฐานะผู้นำของตระกูลโจว โจวปิ่งฮุยมักวางตัวทะนงตนมาเสมอ การที่เขากล่าวเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาหวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่มากเพียงใด
เวลานี้โจวเฉียนก็จ้องโจวหังรุ่ยตาเขม็งเช่นกันโดยปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปและตัดหางศิษย์ผู้นี้ก่อนที่จะก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หายนะทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นเหตุมาจากศิษย์ตัวดีของเขาคนนี้ หากมิใช่เพราะตระกูลหลานและฉินอวี้โม่ไม่อยากเสียเวลา เกรงว่าตระกูลโจวของพวกเขาก็อาจจะถูกทำลายไปแล้ว
ภายในห้องพักของตน ฉินอวี้โม่ก็อาบน้ำชำระร่างกายอย่างช้า ๆ และเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นพักใหญ่ก่อนเดินออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องแยกที่โจวปิ่งฮุยรออยู่
ครานี้นางยังคงใช้วิธีปลอมตัวซึ่งปกปิดรูปลักษณ์เดิมของตนโดยสมบูรณ์ เว้นแต่ว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน ไม่มีทางที่ผู้ใดจะจดจำนางได้
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็รีบกล่าวทักทายทันที
เมื่อโจวปิ่งฮุยที่รออย่างใจจดใจจ่อมาพักใหญ่เห็นการเคลื่อนไหวของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เขาก็ยืนขึ้นและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปแสดงความเคารพมากขึ้นเช่นกัน
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ เชิญเข้ามาเลยขอรับ”
เถ้าแก่ผายมือเชิญฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางและวาจาที่เคารพนับถืออย่างยิ่งซึ่งแตกต่างไปจากกิริยาท่าทางที่เขาแสดงต่อโจวปิ่งฮุยอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าโจวปิ่งฮุยก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่างดังกล่าว ทว่าเขาไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
เมื่อได้พบฉินอวี้โม่ผู้เลื่องชื่อ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาและกล่าวทันที “นี่คงจะเป็นท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่สินะ”
จากการได้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าตระกูลหลานให้ความสำคัญกับฉินอวี้โม่มากเพียงใด ต่อให้จะมาจากตระกูลที่มีพื้นเพธรรมดา ทว่าการที่มีป้ายจ้าวสมุทรจากตระกูลหลานนี้ ความสำเร็จในอนาคตของฉินอวี้โม่ก็จะต้องน่าอัศจรรย์อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้จากศิษย์ของตระกูลแล้ว สตรีที่ทั้งทรงพลังจนน่าทึ่งและงดงามดุจเทพเซียนจะเป็นคนธรรมดา ๆ ไปได้อย่างไร ? โจวปิ่งฮุยคาดเดาว่าฉินอวี้โม่น่าจะเป็นจอมยุทธ์จากตระกูลลับสักตระกูล และสาเหตุที่ไม่มีผู้ใดทราบภูมิหลังของนางก็เป็นเพราะตัวตนของนางลึกลับน่าพิศวงจนเกินไปนั่นเอง
“เมื่อวานนี้ศิษย์ของตระกูลโจวทำให้ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ไม่พอใจ ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างสูง วันนี้ข้าพาพวกเขามาขอโทษท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ด้วยตัวเอง ท่านจะจัดการหรือลงโทษกับพวกเขาอย่างไรก็ได้ ขอเพียงท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ไม่ถือโทษโกรธเคืองตระกูลโจวของพวกเราก็พอ”
ผู้นำตระกูลกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบและมันมิใช่วาจาที่กล่าวเกินจริงเช่นกัน ต่อให้โจวเฉียนจะเป็นถึงผู้อาวุใสใหญ่ของตระกูลและโจวหังรุ่ยจะเป็นศิษย์ที่มากพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลโจว มันก็ไม่มีการละเว้นทั้งสิ้น
โจวปิ่งฮุยทราบดีว่าตระกูลของตนต่ำต้อยเพียงใดเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ หากไม่แสดงความจริงใจที่มากพอ อีกฝ่ายจะไม่มีทางยอมรับคำขอโทษ ตราบใดที่นางไม่ลืมความชิงชังหรือความบาดหมางที่มีต่อตระกูลโจว นั่นก็จะทำให้ตระกูลโจวอยู่ไม่เป็นสุขและอาจถึงขั้นล่มสลายในอนาคตก็เป็นได้
“ผู้นำโจวตลกจริงเชียว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดและข้าเองก็กล่าวไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะเดินตรงไปที่เก้าอี้ว่างและนั่งลงอย่างใจเย็น
ท่าทางที่นิ่งเฉยไม่ร้อนรนของฉินอวี้โม่ทำให้โจวปิ่งฮุยยิ่งเชื่อมั่นว่าตัวตนและภูมิหลังของนางจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ข้าได้ยินว่าท่านมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าสู่สามสำนักและเก้านิกายเช่นกัน ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของท่าน ท่านก็คงจะผ่านไปได้ไม่ยาก ในช่วงนี้ข้าขอเชิญท่านไปพักที่จวนตระกูลโจวของเราจะดีกว่า ข้าจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”
ต้องกล่าวเลยว่าในฐานะผู้นำตระกูลโจว โจวปิ่งฮุยมีไหวพริบที่ดีมากทีเดียว เขาทราบว่าหากทำให้ฉินอวี้โม่พึงพอใจได้ มันจะเป็นผลดีต่อตระกูลโจว เขาจึงได้เชิญชวนนางโดยตรง
หากฉินอวี้โม่พักอาศัยอยู่ในจวนตระกูลโจวของพวกเขาในช่วงเวลาหลายวันนี้ จุดยืนของพวกเขาจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อถึงตอนนั้น ลำดับขั้วอำนาจของเมืองเทียนหยวนจะเปลี่ยนไปและสถานะของตระกูลโจวจะพัฒนามากยิ่งขึ้น
เวลานี้ตระกูลโจวของพวกเขาอยู่ในอันดับรั้งท้ายในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ หากได้บารมีของฉินอวี้โม่เข้ามาช่วย การได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเทียนหยวนก็ไม่ยากเกินเอื้อม
“ไม่ล่ะ ข้าชอบพักอยู่ที่นี่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธทันที นางทราบดีว่าโจวปิ่งฮุยต้องการทำสิ่งใดและไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก เพียงแต่ความแค้นของตนเองก็ย่อมต้องชำระด้วยตนเอง ในระหว่างการคัดเลือกที่จะมาถึง หากได้เผชิญหน้ากับโจวหังรุ่ย ฉินอวี้โม่จะไม่ออมมืออย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริง ๆ”
โจวปิ่งฮุยผิดหวังเล็กน้อยทว่าไม่แสดงออกมามากนัก
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการละก็ บอกมาได้เลย ถึงอย่างไรตระกูลโจวของเราก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนและถือว่ามีอิทธิพลในเมืองแห่งนี้พอสมควร หากท่านต้องการความช่วยเหลือใด เราจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
โจวปิ่งฮุยยังไม่คลายกังวลและพยายามกล่าวออกมาอีกครั้ง
สีหน้าของเขาแสดงถึงความจริงจังอย่างชัดเจน การที่ฉินอวี้โม่ปล่อยตระกูลโจวของเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ทำให้เขาไม่เชื่อเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนเองจะต้องชดเชยให้กับบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นเพื่อที่ฉินอวี้โม่ผู้นี้จะไม่คิดแค้นตระกูลโจวของพวกเขาอีก
“ถ้าเช่นนั้น ผู้นำโจวช่วยจัดหาผลึกเพลิงให้ข้าสักจำนวนหนึ่งก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าตระกูลโจวมีอยู่รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกไป
เชื่อว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลโจวจะมีแก่นวิญญาณเพชรและไข่มุกเลี่ยงวารีอยู่ในการครอบครอง ทว่าในฐานะหนึ่งในตระกูลใหญ่ หากต้องการสิ่งที่หาไม่ยากจนเกินไปอย่างผลึกเพลิง พวกเขาก็น่าจะมีอยู่ในการครอบครองจำนวนหนึ่ง ในเมื่อโจวปิ่งฮุยมีท่าทีที่ไม่สบายใจเช่นนี้ นางก็ยินดีตอบสนองให้เขาคลายกังวล
“ไม่มีปัญหา เพียงแค่ผลึกเพลิงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ข้าจะรีบกลับไปรวบรวมมาและส่งให้กับท่านจอมยุทธ์อวี้โม่โดยเร็ว”
โจวปิ่งฮุยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบกล่าวต่อ
หากเปรียบเทียบกับผลึกเพลิงเหล่านั้น การอยู่รอดของตระกูลโจวสำคัญกว่ามาก การใช้ผลึกเพลิงเพื่อบรรเทาความโกรธแค้นที่ฉินอวี้โม่มีต่อตระกูลโจวของเขาก็ถือว่าคุ้มราคาที่ต้องเสียไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณผู้นำโจวมาก”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปาก ครานี้ถือว่านางได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คาดไม่ถึง
เดิมทีนางไม่ได้คิดจะทำอะไรตระกูลโจวหรือวางแผนที่จะข่มขู่รีดทรัพย์จากพวกเขา ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมาด้วยตนเองเช่นนี้ มันก็คงเสียมารยาทเกินไปหากจะไม่รับมันไว้
“โจวเฉียน โจวหังรุ่ย เจ้าทั้งสองยังไม่ขอบคุณท่านจอมยุทธ์อวี้โม่อีกรึ”
โจวปิ่งฮุยหันไปมองโจวเฉียนและโจวหังรุ่ยตาเขม็งเล็กน้อยพร้อมกระตุ้นให้พวกเขากล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่
ทั้งสองไม่กล้าปฏิเสธและรีบขอบคุณนางอย่างรวดเร็วทว่าในหัวใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ถือครองป้ายจ้าวสมุทรซึ่งบ่งบอกว่านางอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลหลาน พวกเขาจะยอมก้มหัวให้กับผู้ที่มีพลังเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวได้อย่างไร ?
“ไม่จำเป็นหรอก ตราบใดที่พวกเขาไม่มาเสนอหน้าให้ข้าเห็นในช่วงนี้ก็พอ ส่วนพวกคนที่ต้องการรังแกสหายของข้าและคิดจะแย่งชิงห้องพักของเราไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้อีก”
ฉินอวี้โม่ไม่ยอมรามือโดยง่ายและกล่าวเสริมเมื่อนึกถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งให้คนขับไล่พวกเขาออกไป”
โจวปิ่งฮุยตอบตกลงในทันที คนเหล่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ที่ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก การที่จะขับไล่พวกเขาออกไปจึงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวล่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวและลุกขึ้นทันที ในเมื่อไม่มีธุระใดอีก นางก็ไม่คิดที่จะสุงสิงกับคนเหล่านี้ให้เสียเวลา
หลังจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ นางมั่นใจว่าตนกลายเป็นคนดังของเมืองเทียนหยวนไปแล้ว เพราะเหตุนั้นในช่วงไม่กี่วันนี้ การเก็บตัวสงบเสงี่ยมมิให้เป็นที่สะดุดตาของผู้คนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“เชิญตามสบายท่านจอมยุทธ์อวี้โม่”
โจวปิ่งฮุยยืนขึ้นและยกฝ่ามือประกบกำปั้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะเบา ๆ และออกจากห้องไป
“เราก็กลับกันเถอะ !”
โจวปิ่งฮุยชำเลืองมองโจวเฉียนและโจวหังรุ่ยอีกครั้งทว่าตอนนี้แววตาเริ่มแสดงถึงความหงุดหงิด เขาทราบมูลค่าของผลึกเพลิงเป็นอย่างดีและในตอนนี้ทั้งตระกูลของตนมีเพียงสิบก้อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ตระกูลโจวอยู่รอดปลอดภัยต่อไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องยอมเสียผลึกเพลิงเหล่านั้น
โจวเฉียนและศิษย์ของเขาเดินตามไปอย่างเงียบเชียบทว่าหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความชิงชังต่อฉินอวี้โม่
ในขณะเดียวกันนี้ ขุมกำลังอื่น ๆ อีกหลายแห่งในเมืองเทียนหยวนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เช่นกัน
ณ จวนตระกูลเฝิง จูโหย่วจ้วงและจูยงผู้ซึ่งพักอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้กำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในเรือนของตนเมื่อผู้นำตระกูลเฝิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าฉุนเฉียวไม่พอใจ
“จูยง เจ้าบอกว่าฉินอวี้โม่นั่นเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ มิใช่รึ ? แล้วเหตุใดนางจึงได้รับการยอมรับจากตระกูลหลานและครอบครองป้ายจ้าวสมุทรได้เล่า ?”
สีหน้าของผู้นำตระกูลเฝิงบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน หากทราบมาก่อนว่าฉินอวี้โม่มีป้ายจ้าวสมุทรอยู่ในการครอบครองและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลหลาน เขาจะกล้าร่วมมือกับตระกูลโจวเพื่อหาเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่ได้อย่างไร ?
“ป้ายจ้าวสมุทรรึ ? เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
จูยงอดที่จะลุกพรวดขึ้นมาไม่ได้พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ
จูโหย่วจ้วงก็ไม่เข้าใจว่าป้ายจ้าวสมุทรที่ผู้นำเฝิงกล่าวถึงคือสิ่งใด สีหน้าของเขาจึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก
“เหตุใดมันจะเป็นไปไม่ได้ ! เมื่อวานนี้ที่โรงเตี๊ยมในเมือง ตระกูลโจวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองมีปัญหาขัดแย้งกับนางและเกิดการปะทะกัน ฉินอวี้โม่นั่นก็หยิบป้ายจ้าวสมุทรออกมาและนางก็ได้รับความดีความชอบจากหลานเผิงซึ่งเป็นนายน้อยของตระกูลหลาน ! เช้าตรู่ของวันนี้ ผู้นำตระกูลโจวก็ถึงขั้นเดินทางไปขอโทษนางด้วยตัวเอง !”
ผู้นำตระกูลเฝิงทราบข่าวตั้งแต่เช้าตรู่และตกตะลึงอย่างที่สุด แน่นอนว่าเขาทราบความหมายของป้ายจ้าวสมุทรเป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ครอบครองแผ่นป้ายที่ล้ำค่าเช่นนั้น ตระกูลเฝิงของเขาไม่กล้ามีเรื่องบาดหมางใจด้วยแน่ เขาถึงขั้นมีความคิดที่จะจับตัวจูยงและจูโหย่วจ้วงส่งไปให้ฉินอวี้โม่เพื่อปกป้องตระกูลเฝิงของตนด้วยซ้ำ
“เป็นไปไม่ได้…เท่าที่ข้ารู้ ฉินอวี้โม่นั่นมาจากเมืองฉินซึ่งเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งและไม่ได้มีภูมิหลังที่โดดเด่นอะไร ไม่มีทางเลยที่นางจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหลานไปได้ ป้ายจ้าวสมุทรนั่นนางอาจได้มันมาโดยบังเอิญและตระกูลหลานจำใจยอมรับนางอย่างเสียมิได้”
จูยงพยายามกล่าวถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ข่าวสารที่พวกเขาได้รับเป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าฉินอวี้โม่มีต้นกำเนิดมาจากที่ใดกันแน่
“ท่านผู้นำ ฉินอวี้โม่นั่นเป็นบุคคลที่มีจิตใจคับแคบและอาฆาตแค้นมาก หากเราไม่กำจัดนางเสีย วันหนึ่งนางอาจจะบุกมาถึงเรือนตระกูลเฝิงเพื่อสะสางความแค้นทั้งหมด ต่อให้ท่านจับเราทั้งสองส่งให้นาง นางก็ไม่มีทางปล่อยตระกูลเฝิงไปง่าย ๆ เชื่อข้าเถอะ…ท่านไปที่ตระกูลโจวเพื่อร่วมมือกันหาทางกำจัดฉินอวี้โม่จะดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีเสี้ยนหนามที่คอยตำพวกเราอีก”
เขาจงใจกล่าวให้ร้ายฉินอวี้โม่ เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้นำตระกูลเฝิงน่าจะคิดส่งตัวพวกตนให้กับฉินอวี้โม่เพื่อหนีรอดจากปัญหา เขาจึงต้องหาทางโน้มน้าวให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดดังกล่าวและรับประกันความปลอดภัยของพวกตน