ในเมื่อโจวเฉียนยอมหลีกทางไปแล้ว เฝิงรุ่ยเฉิงก็ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ ฉินอวี้โม่จะเข้าร่วมการประมูลของชิ้นนี้ด้วย และเมื่อได้ยินน้ำเสียงเชิงยั่วยุของนาง เขาก็ไม่พอใจอย่างที่สุด
“แปดล้านห้าแสน !”
เขากัดฟันแน่นและขานราคาสู้ต่อไป วันนี้พยัคฆ์หงส์ทองตัวนี้จะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยให้ฉินอวี้โม่แย่งชิงมันไปได้ เขาก็จะเสียหน้าไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้การประมูลครานี้
“แปดล้านห้าแสนหนึ่งหมื่น!”
ฉินอวี้โม่ขานราคาเพิ่มขึ้นหนึ่งหมื่นแก่นหินวิญญาณอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสามารถทบราคาประมูลครั้งละหนึ่งหมื่นแก่นหินวิญญาณได้ ทว่าเฝิงรุ่ยเฉิงกลับทบเพิ่มถึงครั้งละห้าแสนก้อน นี่เขาไม่มีสมองหรืออย่างไรกัน ?
“เก้าล้าน !”
เฝิงรุ่ยเฉิงหน้ามืดตามัวเพราะความโกรธแค้นและไม่สนใจเงินทองของตนอีกต่อไปขณะขานราคาอีกครั้งด้วยความมั่นใจ
“เก้าล้านหนึ่งหมื่น”
ฉินอวี้โม่ก็คาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้วและขานราคาสู้ต่อไป นางไม่สนใจพยัคฆ์หงส์ทองตัวนี้แม้แต่น้อยและเพียงต้องการปั่นราคาให้เฝิงรุ่ยเฉิงสูญเสียไปมากที่สุดเท่านั้น
ไม่ว่าเฝิงรุ่ยเฉิงจะมั่นใจเพียงใด ฉินอวี้โม่ก็ทราบดีว่าเขาย่อมมีราคาสุดท้ายอยู่ในใจและนางจะไม่กดดันจนเกินไป
“สิบล้าน! หากยังเสนอราคาอีก พยัคฆ์หงส์ทองนี่ก็จะเป็นของเจ้า!”
เฝิงรุ่ยเฉิงกัดฟันกรอดและกล่าวออกไป สิบล้านแก่นหินวิญญาณคือขีดจำกัดของตระกูลเฝิงแล้ว หากราคายังเพิ่มขึ้นต่อไป พยัคฆ์หงส์ทองจะสูญเสียมูลค่าดั้งเดิมของมัน
“โอ้ ข้าคิดไว้แล้วว่าหากผู้นำเฝิงทบราคาเพิ่มอีกสักหนึ่งหมื่นแก่นหินวิญญาณ ข้าก็จะยอมแพ้ ไม่คิดเลยว่าท่านจะเพิ่มราคาจนสูงถึงสิบล้านในคราวเดียว ตระกูลเฝิงคู่ควรแก่การเป็นตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวนอย่างแท้จริง”
น้ำเสียงของฉินอวี้โม่แสดงถึงความใสซื่อและจริงใจราวกับนางคิดเช่นนั้นจริง ๆ
“เจ้า…”
เฝิงรุ่ยเฉิงถึงกับพูดไม่ออกไปทันทีในขณะที่คนอื่น ๆ ทั่วทั้งโรงประมูลต่างก็หัวเราะกันอย่างอดไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเฝิงรุ่ยเฉิงหลงกลฉินอวี้โม่เสียแล้ว
“เหอะ !”
เฝิงรุ่ยเฉิงแค่นเสียงเย็นชาและปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิดอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายที่น้ำเสียงเย้ยหยันจากภายนอกยังคงดังเข้ามาถึงหูของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
หลายคนที่โดยปกติแล้วไม่ถูกกับเฝิงรุ่ยเฉิงล้วนรู้สึกสาแก่ใจที่ได้หัวเราะเยาะเขาในวันนี้ มันทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียว
สมาชิกจากตระกูลอื่น ๆ เองก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน แม้แต่โจวเฉียนที่ร่วมมือกับเขาเป็นการชั่วคราวก็ยังรู้สึกสุขใจอยู่ลึก ๆ
“พยัคฆ์หงส์ทองตัวนี้เป็นของผู้นำตระกูลเฝิง…ขอแสดงความยินดีกับผู้นำเฝิงด้วยขอรับ”
พิธีกรงานประมูลกล่าวตามขั้นตอนและห้องโถงเงียบลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘แสดงความยินดี’ ทำให้เฝิงรุ่ยเฉิงรู้สึกเจ็บแค้นใจขึ้นมา
งานประมูลดำเนินต่อไปและของประมูลหลายชิ้นหลังจากนั้นก็ล้วนมีราคาสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และปิดประมูลที่ราคาสูงเสียดฟ้า ห้องพิเศษหลายห้องบนชั้นสองเริ่มมีความเคลื่อนไหวเช่นกันและพวกเขาต่างก็ชนะการประมูลในของที่พวกเขาถูกใจ
อีกครึ่งชั่วยามผ่านไป และในที่สุดลำดับสินค้าของงานประมูลก็ดำเนินมาถึงสามลำดับสุดท้าย
และรายการแรกจากทั้งสามคือ ‘บุรุษใบ้’ นั่นเอง
“นี่คือบุรุษที่จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าส่งมาให้โรงประมูลของเรา หากต้องการครอบครองเขา ไม่เพียงแต่จะต้องมีเงินเท่านั้น ทว่ายังต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสยบเขาได้ หากทำให้เขายอมจำนนไม่ได้ เกรงว่ามันคงลงเอยไม่ดีนัก”
พิธีกรกล่าวอย่างจริงจังขณะแนะนำบุรุษใบ้ต่อทุกคนและบ่งบอกถึงข้อดีข้อเสียในเวลาเดียวกัน บุรุษใบ้ผู้นี้ แม้พลังที่แกร่งกล้าของเขาจะถูกปิดผนึกเอาไว้ ทว่าเขาก็ยังเป็นตัวตนที่ยากเกินจะควบคุม
และหากไม่มีพลังความแข็งแกร่งที่มากพอ บุรุษใบ้จะไม่มีทางจำนนต่อคนผู้นั้น
หลังจากกล่าวแนะนำข้อมูลโดยรวม พิธีกรก็สั่งให้คนแบกกรงขนาดใหญ่ที่ดูงดงามขึ้นมาบนเวที
ภายในกรงงามคือร่างของบุรุษคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิท ร่างกายดูเลอะเทอะสกปรก เส้นผมกระเซอะกระเซิง อีกทั้งใบหน้าก็เปื้อนดินและสิ่งสกปรกจนยากที่จะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้อย่างแน่ชัด
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาในตอนนี้ปิดสนิทราวกับกำลังนอนหลับอย่างสงบ
บุรุษผู้นี้ดูธรรมดามากโดยที่ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาและไม่มีร่องรอยของพลังที่แกร่งกล้า ราวกับเป็นเพียงขอทานธรรมดา ๆ คนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็ทราบดีว่าจะประเมินความสามารถของบุรุษใบ้ผู้นี้ต่ำเกินไปไม่ได้
หากสามารถปิดบังมิให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังในร่างกายเช่นนี้ เชื่อว่าแท้จริงแล้วความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน
“ราคาประมูลเริ่มต้นที่สิบล้านแก่นหินวิญญาณ และการเสนอราคาเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งจะต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านแก่นวิญญาณ”
หลังจากประกาศราคาเริ่มต้นที่สูงจนแทบลืมหายใจ พิธีกรงานประมูลก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกและรอให้ผู้คนเสนอราคาแข่งขันกัน
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองตรงไปที่บุรุษผู้นั้นและไม่พบสิ่งที่ผิดปกติใดๆ
สายตาของคนอื่น ๆ ก็จับจ้องตรงไปเช่นกันพลางคิดพิจารณาถึงคุณค่าของเขาอยู่ในใจ
ถึงอย่างไรราคาประมูลของบุรุษใบ้ผู้นี้ก็สูงกว่าพยัคฆ์หงส์ทองมากและแม้แต่ราคาเริ่มต้นก็เท่ากับราคาปิดประมูลของเสือดาวที่ทรงพลังนั้นแล้ว สุดท้ายแล้วบุรุษใบ้ในกรงเป็นใครกันแน่ ?
“สิบเอ็ดล้าน”
หลังจากความเงียบชั่วครู่ ในที่สุดคนแรกก็ขานราคาด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย
หากพิธีกรของงานกล่าวตามความจริง นอกเหนือจากความแข็งแกร่งที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง บุรุษใบ้ผู้นี้ก็ยังมีลักษณะนิสัยที่ไม่อาจคาดเดาเช่นกัน หากได้มาครอบครอง เขาอาจกลายเป็นผู้ช่วยหรืออาจกลายเป็นเครื่องเตือนใจได้
เพราะเหตุนั้น การขานราคาประมูลจึงต้องผ่านการคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ
“สิบสองล้าน”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องพิเศษถัดจากฉินอวี้โม่
ห้องถัดจากนางคือห้องพิเศษของตระกูลซ่าง—ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเทียนหยวน และผู้ที่ขานราคาเมื่อครู่คือซ่างสี่ซาน—ผู้นำตระกูลซ่างนั่นเอง ซ่างสี่ซานมิใช่เป็นเพียงผู้นำของตระกูลอันดับหนึ่งเท่านั้น ทว่าเขายังเป็นจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าที่สุดในเมืองเทียนหยวนในปัจจุบันนี้อีกด้วย ในเมื่อเขาขานราคาออกไป นั่นก็หมายความว่าเขามีวิธีทำให้บุรุษใบ้ยอมจำนนอย่างแน่นอน
“สิบสามล้าน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซ่างสี่ซาน อีกเสียงหนึ่งก็ดังมาจากอีกห้องหนึ่ง ครานี้เป็นเสียงของสตรีวัยกลางคนซึ่งผสมผสานด้วยเสน่ห์ของความอ่อนโยนที่ทำให้ผู้ฟังวางใจได้มากและไม่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อนาง
“นั่นคือผู้นำตระกูลโหรว—โหรวฉิง ความแข็งแกร่งของนางเป็นรองเพียงแค่ซ่างสี่ซานเท่านั้นและในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดแกร่งกล้าไปกว่าคนทั้งสอง”
หลานเผิงบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับสตรีเจ้าของเสียงนั้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความชื่นชมอย่างชัดเจน
ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ รวมถึงลักษณะนิสัยของโหรวฉิงทำให้หลานเผิงประทับใจในตัวนางอย่างมาก สตรีผู้นี้ตรงไปตรงมาทว่าอ่อนโยน อีกทั้งยังเด็ดขาดและแน่วแน่ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากยิ่งในดินแดนนี้ อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วโหรวฉิงก็ยังด้อยกว่าฉินอวี้โม่อยู่เล็กน้อย
ฉินอวี้โม่เคยได้ยินชื่อของโหรวฉิงมาบ้างแล้ว การที่สตรีคนหนึ่งได้ขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ในเมืองเทียนหยวนถือเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ อีกทั้งนางยังปกครองตระกูลและขับเคลื่อนให้มันพัฒนากลายเป็นตระกูลที่ทรงพลังเป็นอันดับสองของเมืองเทียนหยวนได้เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น โหรวฉิงก็มีอายุมากกว่าร้อยปีแล้วและไม่เคยแต่งงานหรือลงเอยกับผู้ใด แม้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์มากมาย นางก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฉินอวี้โม่ชื่นชมนางอย่างมาก
นางมีความมุ่งมั่นในแบบของตนและไม่เกรงกลัวที่จะเมินเฉยต่อความคิดเห็นของคนทั้งโลก สตรีผู้นี้คู่ควรแก่ความชื่นชมอย่างแท้จริง
“สิบสี่ล้าน”
ไม่นานหลังจากสิ้นเสียงของโหรวฉิง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เจ้าของเสียงนั้นมาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนเช่นกันและครานี้คือตระกูลเฉิน—ตระกูลที่มีความแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเท่ากับตระกูลโหรว
เฉินเซี่ยวลั่ว—ผู้นำตระกูลเฉินเป็นผู้ที่ชำนาญในทักษะด้านการใช้อาวุธโจมตีระยะไกลและด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นธรรมชาติและสบายๆ เขาจึงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ตระกูลเฉินของเขาเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่มีชื่อเสียงดีที่สุด แม้มีความแข็งแกร่งที่ไม่มากเท่ากับตระกูลซ่าง ความเร็วในการพัฒนาของพวกเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็รวดเร็วจนน่าทึ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ นับว่าเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะได้เห็นสหายเฉินและแม่นางโหรวฉิงสนใจในตัวบุรุษลึกลับเช่นนี้”
ซ่างสี่ซานหัวเราะเบา ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามตระกูลเป็นมิตรกันมาตลอดและมีการติดต่อกันเป็นประจำ
“การที่ได้รับการยอมรับจากศูนย์การค้าจ้าวสมุทรจนจัดเป็นของประมูลอันดับท้าย ๆ เช่นนี้ เขาจะต้องมีอะไรดีแน่ ข้าจึงอยากลองดูว่าจะสยบบุรุษลึกลับนี้ได้รึไม่”
เฉินเซี่ยวลั่วเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งและกล่าวจุดประสงค์ในการเข้าร่วมการประมูลครานี้อย่างไม่ปิดบัง
“สหายเฉินพูดถูกแล้ว ข้าอยู่ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้มานานกว่าร้อยปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่น่าสนใจเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าเองก็อยากจะเปิดหูเปิดตามากขึ้น”
เสียงของโหรวฉิงทั้งทรงเสน่ห์และน่าฟังอย่างยิ่ง แม้ไม่เห็นใบหน้าของนางก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของเสียงที่ไพเราะเช่นนี้จะต้องเป็นสตรีงดงามอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมการประมูลต่อไป เชิญแม่นางโหรวฉิงและสหายเฉินประมูลกันเถอะ”
ซ่างสี่ซานครุ่นคิดครู่หนึ่งและตัดสินใจถอนตัวจากการประมูล เขาเพียงสงสัยใคร่รู้เท่านั้น ทว่าในเมื่อเฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงสนใจมากกว่า เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแข่งขันแย่งชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสนใจเกี่ยวกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่หลังจากนี้มากกว่า
“ขอบคุณสหายซ่างมาก”
เฉินเซี่ยวลั่วกล่าวขอบคุณซ่างสี่ซานก่อนกล่าวต่อ “การที่สหายโจวไม่ได้มาเข้าร่วมงานครานี้ด้วยตัวเอง คาดว่าตระกูลโจวคงจะไม่เข้าร่วมการเสนอราคากับเรา”
แท้ที่จริง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามตระกูลเป็นมิตรกันดีในขณะที่ความสัมพันธ์กับตระกูลโจวเป็นเพียงระดับปกติทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเมื่อโจวปิ่งฮุยไม่ได้มาเข้าร่วมงานครานี้และโจวเฉียนไม่กล่าวสิ่งใด นั่นก็หมายความว่าตระกูลโจวไม่มีเจตนาที่จะเข้าร่วมการประมูลบุรุษใบ้ผู้นี้
“ตระกูลโจวของเราจะไม่ร่วมประมูลบุรุษใบ้ผู้นี้”
โจวเฉียนกล่าวออกไปเป็นการยืนยันและถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจสู้กับสามตระกูลได้ นอกจากนี้ โจวปิ่งฮุยก็ไม่ได้วางแผนที่จะประมูลของสิ่งใดในงานครานี้ เขาจึงไม่ได้จัดสรรแก่นหินวิญญาณให้กับโจวเฉียนมากนัก
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี”
เฉินเซี่ยวลั่วยิ้มบาง ๆ และสายตาบรรจบลงที่ห้องพิเศษของฉินอวี้โม่
“ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์อวี้โม่สนใจประมูลบุรุษใบ้หรือไม่ ?”
เขากล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงถึงความดูหมิ่นหรือเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ
ฉินอวี้โม่ก็กำลังจะตอบปฏิเสธออกไป ทว่าจู่ ๆ นางก็เกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างขึ้นมา
ราวกับมีใครบางคนจ้องมองตรงมาที่ตนและทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อมองตอบกลับไป สายตาของนางก็บรรจบลงกับนัยน์ตาสีโลหิตคู่หนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่าบุรุษลึกลับในกรงตรงหน้าลืมตาตั้งแต่เมื่อใด ทว่าดวงตาคู่นั่นเป็นสีโลหิตอย่างประหลาด ในตอนนี้เขาจ้องตรงมาที่ฉินอวี้โม่อย่างไม่กะพริบตาราวกับได้พบคนคุ้นเคยและแววตาเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย แม้ดูน่าหวาดหวั่น ทว่านัยน์ตาสีแดงคู่นั้นก็ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่อาจอธิบายได้ บุรุษที่ดูกระเซอะกระเซิงผู้นั้น แม้ไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน ทว่าฉินอวี้โม่กลับรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเล็กน้อยโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
“ข้าก็สนใจบุรุษใบ้มากเช่นกัน หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าท่านทั้งสองจะยอมมอบบุรุษผู้นี้ให้กับข้า ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด”
เสียงของฉินอวี้โม่ชัดเจนและหนักแน่นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลบางประการและความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้นางต้องการประมูลบุรุษใบ้ในกรงผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น นางมีลางสังหรณ์ในใจว่าหากพลาดไป นางจะต้องเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต
เฉินเซี่ยวลั่วและโหรวฉิงคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะกล่าวเช่นนี้และถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง คนอื่น ๆ ในห้องโถงก็ไม่คาดคิดว่านางจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน พวกเขามองตรงไปที่ห้องพิเศษของนางด้วยความประหลาดใจและกระซิบกระซาบกันเองด้วยคิดว่าเฉินเซี่ยวลั่วคงจะไม่ยอมหลีกทางแน่
“ในเมื่อจอมยุทธ์อวี้โม่แสดงท่าทีต้องการมันเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ขัดข้อง”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินเซี่ยวลั่วก็กล่าวขึ้นก่อน ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องผิดใจกับแขกคนสำคัญของตระกูลหลานเพียงเพราะของประมูลรายการเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของนาง คาดว่าบุรุษลึกลับน่าจะมีความหมายพิเศษบางอย่างกับนาง
“หากน้องอวี้โม่สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง ข้าก็จะยอมแพ้เช่นกัน…”
เสียงของโหรวฉิงดังขึ้นเช่นกัน ทว่าเป็นวาจาที่แสดงถึงเงื่อนไขบางอย่าง