วันนี้หวังรั่วอีบรรจงแต่งกายมาอย่างประณีตเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อเห็นสตรีโฉมงามที่อื่นอยู่ด้านนอกประตูห้องแล้ว นางก็รู้สึกว่าชุดของนางในวันนี้ดูไร้ราคาไปโดยสิ้นเชิง
หวังรั่วอีเชื่ออยู่เสมอว่าความงามของตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน เพียงนางไม่อยากจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสตรีสิบคนนั้นเท่านั้น มิฉะนั้นนางเองก็คงจะขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นฉินอวี้โม่ที่สวมใส่ชุดสตรีงดงามมาในวันนี้ ความมั่นใจในความงามทั้งหมดของนางก็พังทลายลงในพริบตา
เมื่อวานเป็นเพราะฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยชุดบุรุษบวกกับหวังรั่วอีเอาแต่สนใจฉินอี้เฟยจนไม่มีเวลามองดูฉินอวี้โม่ให้ชัดเจน ทำให้คุณหนูตระกูลหวังไม่เห็นถึงความงามของฉินอวี้โม่ผู้นี้เลยสักนิด
ทว่าในตอนที่นางเปิดประตูออกไปและเห็นฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ด้านนอก หวังรั่วอีก็ได้แต่ตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ใบหน้าของคนตรงหน้างดงามอย่างยากที่จะหาได้บนแผ่นดินนี้ มันเป็นความงามจากเนื้อแท้มิใช่จากการเสริมแต่งเครื่องประทินโฉมหรืออาภรณ์เครื่องประดับ แม้จะเป็นสตรีด้วยกันก็เกรงว่าจะถูกฉินอวี้โม่ดึงดูดใจเอาได้ง่าย ๆ ส่วนเหล่าบุรุษทั้งหลายนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง
“อะไรกัน คุณหนูหวังไม่ได้เชิญพวกเรามาอย่างนั้นหรือ เหตุใดท่านต้องตกใจขนาดนั้น ?” เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของหวังรั่วอี ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มแย้มและกล่าวถาม
“มิได้ ๆ น้องอวี้โม่รีบเข้ามาข้างในเถอะ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวทักทายของฉินอวี้โม่ก็ทำให้หวังรั่วอีได้สติขึ้นมาก่อนจะรีบเชิญสาวงามที่งามจนสตรีอย่างนางต้องตกตะลึงเข้าไปด้านใน
“น้องอวี้โม่งดงามยิ่งนักจนข้ายังรู้สึกอิจฉาเลย”
หวังรั่วอีเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม ทว่าภายในน้ำเสียงและแววตาของนางนั้นไม่มีความชื่นชมจริง ๆ อย่างที่ปากกล่าว
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อน ทว่าคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าหวังรั่วอีผู้นี้จะชื่นชอบพี่ชายของนางอยู่จริง ๆ จนถึงกับต้องยอมฝืนใจตัวเองเพื่อเอ่ยชื่นชมนางเช่นนี้
ตั้งแต่เหตุการณ์บนถนนเมื่อวานนี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะมองนิสัยของสตรีตรงหน้าออกบ้างแล้ว และด้วยการกระทำแต่แรกเริ่มของหวังรั่วอีผู้นี้ก็ทำให้อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่ชอบใจนางเลยสักนิด ทว่าที่ฉินอวี้โม่ยอมมาตามนัดในวันนี้ก็เพื่อจะดูว่าคุณหนูตระกูลหวังกำลังตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่
ภายในห้องอาหารส่วนตัวแห่งตึกเต๋อเยว่นั้น ฉินอวี้โม่เห็นว่ายังมีคนนั่งอยู่อีกหนึ่งคน
คนผู้นี้เป็นสตรีสวมใส่ชุดสีขาวสะอาดตา บนใบหน้างามของนางมีรอยยิ้มบางเบาแบบฉบับสตรีอ่อนหวานปรากฏอยู่ แม้ว่าดูภายนอกแล้วสตรีผู้นี้จะมีท่าทีที่สงบ แต่ทว่ามือสังหารสาวที่คร่ำหวอดในวงการลอบสังหารมาช้านานก็ยังมองเห็นถึงแววแห่งความดูหมิ่นดูแคลนในสายตาของนาง
เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวงามผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ ไกลปืนเที่ยงก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เพราะนางมั่นใจว่าตนไม่เคยไปยั่วยุหรือสร้างเรื่องบาดหมางกับสตรีผู้นี้มาก่อน นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงได้เดียจฉันท์กันถึงเพียงนั้น
“น้องอวี้โม่ ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่น้องสาวที่ดีของข้า หลิวหว่านเยียน ไม่ทราบว่าเจ้าจะเคยได้ยินชื่อนี้บ้างหรือไม่”
หวังรั่วอีอยากจะเข้าไปจับมือฉินอวี้โม่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใจดีและเป็นกันเองของนาง ทว่าฉินอวี้โม่กลับแสดงท่าทีเหมือนไม่ยินยอมทำให้นางไม่กล้าสัมผัสตัวคนที่นางอยากจะใช้เป็นสะพานข้ามไปหาบุรุษที่ตนหมายปอง
ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา แน่นอนว่านางย่อมเคยได้ยินชื่อหลิวหว่านเยียนเป็นธรรมดา
หลิวหว่านเยียนนั้นอยู่ในอันดับแปดในบรรดาสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดสตรีผู้นี้จึงนั่งเชิดหน้าทำท่าทางคล้ายเมินเฉย นางไม่คิดจะลุกขึ้นมาหรือทักทายในตอนที่ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาแม้แต่น้อย ที่นางเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะครองตำแหน่งสาวงามชื่อดังอยู่นี่เอง
เมื่อกล่าวถึงโฉมงามทั้งสิบแห่งดินแดนหวงหลิง แท้จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าขำไม่น้อย
เพราะไม่มีผู้ใดทราบถึงที่มาที่ไป และไม่เคยมีองค์กรหรือขุมกำลังใดออกตัวรับผิดชอบหรือเป็นผู้จัดการในเรื่องดังกล่าว ทว่าเมื่อรู้ตัวกันอีกที สิบอันดับโฉมงามที่ว่าก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาแล้ว
ในรายชื่อสิบโฉมงามที่ว่านี้ก็มีอยู่หลายคนที่มีตระกูลใหญ่ทรงอำนาจคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามในบรรดาพวกนางก็ยังมีสตรีที่เป็นคนธรรมดาสามัญอยู่บ้าง ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันหมดก็คือ สาวงามทั้งสิบคนล้วนมีพรสวรรค์เป็นเลิศและรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ
โฉมงามทั้งสิบคนนี้ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดัง พวกนางมีผู้คนจำนวนมากทั้งบุรุษและสตรีที่มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นมาหลงใหลชื่นชมหรือยกย่องให้เป็นต้นแบบ ที่สำคัญคนเหล่านั้นรักโฉมงามของพวกเขามากและก็ยินดีให้ความช่วยเหลือแก่พวกนางทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เองจึงนับได้ว่าสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินค่อนข้างมีอิทธิพลมากทำให้ปกติแล้วไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุหรือทำให้พวกนางขุ่นเคือง
ตัวอย่างก็อย่างเช่น หวังรั่วอีผู้นี้ที่ปกติแล้วเป็นคนหยิ่งยโส ทว่าเพื่อให้ได้เป็นสหายกับสิบโฉมงามนางจึงต้องพยายามทำตัวดี ๆ ต่อหน้าอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าหลิวหว่านเยียนนั่งนิ่งเฉยไม่ยอมลุกขึ้นมาและกล่าวทักทายฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นแขกของตน หวังรั่วอีก็รู้สึกเสียหน้าและเกิดความกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“ข้าได้ยินชื่อแม่นางหลิวมานานแล้ว แน่นอนว่าข้ารู้สึกเป็นเกียรติ และรู้สึกโชคดีที่ได้พบแม่นาง”
ฉินอวี้โม่เน้นเสียงตรงคำว่า ‘เป็นเกียรติ’ และ ‘โชคดี’ เป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้นน้ำเสียงของนางก็ให้ความรู้สึกที่ดูคลุมเครือคล้ายจงใจประชดประชัน
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็หาที่นั่งให้ตัวเอง เสี่ยวโร่วเองก็นั่งลงข้างกายคุณหนูของนางอย่างสุภาพเรียบร้อย สาวใช้น้อยรู้สึกไม่ชอบและไม่ถูกชะตากับหลิวหว่านเยียนผู้นี้เลยสักนิด นางสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคนอย่างหลิวหว่านเยียนผู้นี้ก้าวขึ้นมาเป็นสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินได้อย่างไร
วันนี้ หลิวหว่านเยียนมีธุระที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในตอนเช้า ทว่าก่อนจะกลับก็ถูกหวังรั่วอีรั้งเอาไว้และชักชวนให้มารับประทานอาหารที่ตึกเต๋อเยว่ คุณหนูตระกูลหวังทั้งคะยั้นคะยอและรบเร้าให้นางมา และบอกกับนางว่าจะแนะนำสหายใหม่ผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ให้รู้จัก
หลิวหว่านเยียนนั้นเย่อหยิ่งมาก นางมักจะวางตัวสูงส่งในฐานะของผู้ที่อยู่ในสิบอันดับโฉมงามแห่งแผ่นดินทำให้ปกติแล้วนางจะไม่สนใจผู้ใดและไม่ตกปากรับคำชวนของใครง่าย ๆ ทว่า เนื่องจากหลิวหว่านเยียนและหวังลั่วอีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ของนางกับหวังรั่วอีส่งผลให้ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรรักและเอ็นดูนางไปด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อหวังรั่วอีออกปากชวนนางจึงไม่ควรปฏิเสธ
ในระหว่างทางที่มาที่ตึกเต๋อเยว่ เมื่อได้ยินหวังรั่วอีเล่าเรื่องราวของฉินอวี้โม่และกล่าวถึงนางอย่างออกนอกหน้า หลิวหว่านเยียนก็รู้สึกเหยียดหยามคุณหนูบ้านนอกตระกูลฉินคนนั้นขึ้นมาทันที
‘เป็นแค่สตรีบ้านนอกจากเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าเหตุใดหวังรั่วอีถึงได้อยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนผู้นั้นนัก’
ในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ยิ่งเห็นหวังรั่วอีรีบเดินออกไปต้อนรับ หลิวหว่านเยียนก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ นางไม่อยากให้ความสนใจฉินอวี้โม่ผู้นี้ อย่างไรในวันนี้นางก็แค่ตามหวังรั่วอีมาทานอาหาร สตรีบ้านนอกคนนั้นจะเป็นเช่นไรก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง
แต่ในตอนที่ได้ยินประโยคที่ฉินอวี้โม่กล่าวเมื่อสักครู่ ใบหน้าที่ยิ่งสงบของหลิวหว่านเยียนก็แปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง ตอนนี้นางเกิดความสนใจขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว โฉมงามอันดับแปดหันไปจ้องมองคุณหนูบ้านนอกผู้นั้นทันที
ทว่าเมื่อได้มองฉินอวี้โม่ชัด ๆ หลิวหว่านเยียนก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
นางคิดว่าวันนี้จะได้พบเจอสตรีบ้านนอกจากเมืองเล็ก ๆ แม้ว่าหน้าตาอาจจะพอใช้ได้ แต่ทว่าก็คงไม่ได้ดูมีสง่าราศีมากมายนัก แต่ทว่าพอได้เห็นใบหน้าอันงดงามสูงส่งดุจเทพเซียนของสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว หลิวหว่านเยียนก็เกิดความอิจฉาตั้งแต่แรกเห็น
เหตุใดรูปลักษณ์ของนางจึงดูสูงส่งโดยไม่ต้องมีการแต่งแต้มเครื่องสำอางหรือสวมใส่เครื่องประดับ ความงามของสตรีผู้นี้เกรงว่าแม้แต่โฉมงามทั้งสิบก็ยังไม่อาจจะเทียบได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงาม หลิวหว่านเยียนก็ตั้งสติและรีบดึงสีหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็ว
นางรีบลอบสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าใจลอยไปหน่อยจนไม่ได้สังเกตว่าน้องอวี้โม่เข้ามา โปรดอย่าถือสาข้าเลยนะ”
แม้ว่าหลิวหว่านเยียนจะรู้สึกโกรธในตอนที่ได้ยินวาจาคล้ายแดกดันของฉินอวี้โม่ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ สาวงามอันดับแปดจึงไม่แสดงมันออกมา
เมื่อได้ฟังที่หลิวหว่านเยียนพูด ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆ หลิวหว่านเยียนผู้นี้รู้จักวิธีการพูดการจาและยังเก็บอาการได้ดี สมแล้วจริงๆ ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงาม
“คำขอโทษนี้ข้าคงรับไว้ไม่ได้ ข้าไม่เคยมีพี่สาว และข้าก็ไม่อยากเป็นน้องสาวของผู้หญิงคนไหนด้วย”
นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูกล่าวออกไปด้วยเสียงเรียบเฉย ปกติแล้วนางไม่ชื่นชอบที่จะมีเรื่องทะเลาะกับสตรีคนอื่น ๆ ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมใครง่าย ๆ
หลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีผงะไป วาจาเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ทำให้พวกนางทั้งสองโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
คนหนึ่งเป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน อีกคนก็เป็นหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่ฉินอวี้โม่เป็นเพียงคุณหนูที่มาจากเมืองเล็กๆ เท่านั้น แม้ว่าจะมีรูปโฉมงดงามกว่า แต่นางก็ควรจะให้เกียรติหญิงสาวรุ่นพี่ทั้งสองบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความโกรธจะสุมอยู่เต็มอก แต่หลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีก็ยังตีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เช่นเดิม
“น้องอวี้โม่ล้อเล่นแล้ว เจ้าอายุน้อยกว่าพวกเรา และข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่อี้เฟย ตามปกติแล้วเจ้าก็ควรจะเรียกข้าว่าพี่ถึงจะถูกมิใช่หรือ ?”
หวังรั่วอีเผยรอยยิ้มหวานแล้วกล่าวออกไปเสียงหวานหู นางพยายามทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ผ่อนคลายลงเพราะจุดประสงค์ของนางในวันนี้ก็เพื่อจะตีสนิทกับฉินอวี้โม่ให้ได้
เมื่อวาน คุณหนูตระกูลหวังเห็นแล้วว่าฉินอี้เฟยบุรุษที่นางหมายปองรักใคร่ห่วงใยผู้เป็นน้องสาวของเขามาก หวังรั่วอีจึงเกิดความคิดดี ๆ ที่จะเอาใจฉินอวี้โม่เพื่อประโยชน์ในการพิชิตใจฉินอี้เฟยในวันข้างหน้า
“คุณหนูหวังและพี่ใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยพลางแสร้งทำหน้างุนงง ก่อนจะหันไปถามเสี่ยวโร่ว “เสี่ยวโร่ว เจ้าเคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงคุณหนูหวังบ้างรึเปล่า ?”
ในตอนที่มองเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็ขยิบตาข้างหนึ่งเป็นสัญญาณ เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวใช้น้อยก็เข้าใจในทันที
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ข้าไม่เคยได้ยินคุณชายใหญ่พูดถึงคุณหนูหวังมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคงเพราะไม่ใช่คนที่สนิทสนมหรือคุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ คุณชายจึงไม่ได้กล่าวถึง”
เมื่อได้ฟังคำตอบเสียงฉะฉานของเสี่ยวโร่วก็ยิ่งทำให้หวังรั่วอีรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม
“คุณหนู ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องสิบโฉมงามมาบ้างแล้วข้าก็เคยสงสัยอยู่ว่าหากนำคุณหนูไปเทียบกับพวกนางทั้งสิบจะเป็นเช่นไรบ้าง วันนี้ข้าได้เห็นคุณหนูหลิวแล้ว แล้วก็แน่ใจแล้วว่าคุณหนูของข้างดงามยิ่งกว่าสิบโฉมงามเสียอีก”
เสี่ยวโร่วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาราวกับเป็นเรื่องคุยเล่นสบาย ๆ ทว่าเนื้อความในคำพูดของสาวใช้น้อยนั้นทำให้หลิวหว่านเยียนเดือดดาลขึ้นมาทันที…นี่ถือว่าเป็นการยั่วยุกันซึ่ง ๆ หน้าชัด ๆ
หลิวหว่านเยียนผู้นี้ไม่ต่างจากนกยูง แม้ไม่ได้ดูดีเท่ากับคุณหนูของนาง ทว่ายังแสร้งวางท่าว่าเหนือกว่า นี่ทำให้เสี่ยวโร่วรู้สึกไม่พอใจและเกิดความรู้สึกต่อต้านหญิงสาวผู้นี้มาก
เมื่อหลิวหว่านเยียนได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่วใบหน้าของนางก็มีร่องรอยของความโกรธปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สาวใช้ผู้นี้กล้าเย้ยหยันนางซึ่ง ๆ หน้า ด้วยการบอกว่านางเทียบกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ !
แม้ว่าหลิวหว่านเยียนจะยอมรับว่าความงามของฉินอวี้โม่นั้นเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การเอ่ยออกมาซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการหยามศักดิ์ศรีหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินเลยสักนิด และนั่นก็ทำให้หลิวหว่านเยียนรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“เสี่ยวโร่ว !” ฉินอวี้โม่แสร้งมองสาวใช้น้อยด้วยสายตาดุดัน ทว่าผู้เป็นคุณหนูก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ ในตอนนี้บรรยากาศในห้องอาหารเริ่มมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ข้าต้องขออภัยคุณหนูทั้งสองด้วย สาวใช้ของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา อย่าได้ถือสานางเลย”
แม้ว่าจะเป็นการกล่าวขอโทษ ทว่าความหมายของฉินอวี้โม่กลับยิ่งทำให้บรรยากาศย่ำแย่ลงไปอีก
คำขอโทษของฉินอวี้โม่ นอกจากจะคล้ายไม่มีเจตนาขออภัยดังคำพูดแล้วก็ยังทำให้ทั้งหลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีรู้สึกระคายหูเป็นอย่างมาก
วันนี้หวังรั่วอีอุตส่าห์ลงทุนเชื้อเชิญสหายที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามมา ทว่าไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะไม่ไว้หน้านางและยังบอกอีกด้วยว่าฉินอี้เฟยนั้นไม่ได้สนิทสนมกับนาง แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงที่ฉินอี้เฟยแทบไม่เคยให้ความสนใจหรือชายตามองนางเลย แต่จู่ ๆ ก็กล่าวออกมาตรง ๆ แบบนี้ก็คล้ายเจตนาจะหักหน้ากันชัด ๆ เช่นนี้ก็ยากที่จะทำให้หวังรั่วอียอมรับได้
ในตอนนี้สีหน้าของหลิวหว่านเยียนเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธอย่างสมบูรณ์แล้ว ในตอนที่สาวใช้ผู้มากับคุณหนูบ้านนอกกล่าววาจาเย้ยหยันนาง นางก็กำลังจะตวาดออกไปเพื่อตำหนิในความไร้มารยาทขาดการอบรมของเด็กคนนี้ ทว่าฉินอวี้โม่กลับชิงเอ่ยคำขอโทษขึ้นมาก่อน นั่นจึงทำให้นางไม่สามารถด่าทอออกไปอย่างใจนึกได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณหนูบ้านนอกผู้นี้จะกล่าวขออภัย ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย นี่ทำให้หลิวหว่านเยียนรู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสาก็ได้เพราะข้าเข้าใจว่าคุณหนูฉินและสาวใช้มาจากเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ที่สำคัญก็อาจจะไม่เคยได้ใกล้ชิดกับบุคคลชั้นสูง สาวใช้ของคุณหนูจึงไม่รู้ความ ไม่รู้จักมารยาทและการพูดจาให้เหมาะสมกับผู้อื่น”
หลิวหว่านเยียนกล่าวออกไปว่านางไม่ถือสา ทว่าแท้จริงแล้วกลับมีเจตนาเสียดสีฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วอย่างแจ้งชัด
“ใช่ เมืองหลิงซีของเราคือเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่อาจเทียบกับนครไป๋อวิ๋นได้ ส่วนเสี่ยวโร่วของข้านั้นนางเพียงแค่ยังเด็กจึงพูดอะไรตรงไปตรงมา เราสองคนสนิทสนมกันมาก นางเป็นเพื่อนเล่นกับข้ามานานแล้วจึงรู้ใจข้าเป็นอย่างดี ในตอนที่ข้าออกไปอยู่ที่เมืองหลิงซีนั้น ท่านปู่และพี่ใหญ่ต่างก็บอกกับข้าและเสี่ยวโร่วว่าอย่าได้เกรงใจ ให้ซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการ ให้ทำสิ่งใดก็ได้ที่พอใจ เป็นเพราะข้ารักเสี่ยวโร่ว ทั้งท่านปู่และพี่ใหญ่จึงเอ็นดูนางไปด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ายอมรับ แล้วกล่าวเป็นเชิงเล่าเรื่องราวเสมือนกำลังสนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไป ทว่านั่นก็เป็นการบอกอ้อม ๆ ให้หลิวหว่านเยียนรู้ถึงสถานะของนาง
เมืองเล็ก ๆ แล้วอย่างไร ? ในเมื่อนางเป็นถึงหลานสาวของผู้นำตระกูลฉินและยังเป็นน้องรักของฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ยกชื่อของผู้นำตระกูลฉินและพี่ชายของตนมาอ้าง สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูจงใจพูดให้หวังรั่วอีและหลิวหว่านเยียนเข้าใจว่าทั้งท่านปู่และพี่ชายรักนางมาก
เมื่อหลิวหว่านเยียนได้ยินคำกล่าวของฉินอวี้โม่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดแล้ว สาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินต้องลอบจิกเล็บลงไปในเนื้อตัวเองเพื่อยับยั้งโทสะ สตรีบ้านนอกสองคนนี้ไม่เพียงแค่เย้ยหยันนางเท่านั้น แต่ยังเหยียดหยามตำแหน่งหนึ่งในสิบโฉมงามของนาง เท่านั้นไม่พอยังกล้าต่อปากต่อคำ ยกตนเองขึ้นมาข่มว่าเหนือกว่านาง !
“คุณหนูหวัง หากไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวกลับก่อน เมื่อแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ข้าอยากจะพาเสี่ยวโร่วไปเปิดหูเปิดตา”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยลาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาเสี่ยวโร่วออกไปในทันที
.