เฝิงรุ่ยเฉิงและโจวเฉียนเริ่มแข่งกันประมูลราคาก้อนหินก้อนนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ฟังการเสนอราคาของทั้งสองอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดขานราคาสู้พวกเขาอีกต่อไป
ผู้ที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเมืองคือบรรดาตระกูลใหญ่ที่อยู่ในห้องพิเศษบนชั้นที่สอง ต่อให้จะต้องการแข่งขัน คนอื่น ๆ ก็ไม่มีโอกาสเท่าไหร่นัก
“เฝิงรุ่ยเฉิง ก่อนหน้านี้ข้ายอมสละพยัคฆ์หงส์ทองให้ท่านไปแล้ว ครานี้ข้าไม่ยอมแพ้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ !”
โจวเฉียนเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย สำหรับพยัคฆ์หงส์ทองก่อนหน้านี้ เขายอมถอนตัวจากการประมูลเพื่อให้เฝิงรุ่ยเฉิงได้มันไปครอบครอง ทว่าครานี้อีกฝ่ายยังคิดจะแย่งก้อนหินประหลาดก้อนนี้ไปจากเขาอีก ช่างเป็นการกระทำที่บัดซบสิ้นดี
“โจวเฉียน ไม่มีทางเสียหรอก ข้าเองก็สนใจในหินก้อนนี้มากเช่นกัน ข้ายอมแพ้ไม่ได้จริง ๆ อีกอย่าง…ในเมื่อข้าประมูลพยัคฆ์หงส์ทองไปได้แล้ว หากไตร่ตรองดูให้ดี ท่านก็น่าจะทราบว่าข้าไม่มีทุนทรัพย์ในการแข่งขันกับท่านมากนักหรอก”
เฝิงรุ่ยเฉิงกล่าวอย่างยั่วยุและแอบรู้สึกหดหู่อยู่ภายในใจ ตระกูลโจวเหนือกว่าตระกูลเฝิงของเขามาเสมอและมันถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาจะทำให้ตระกูลโจวเผชิญกับความสูญเสียให้ได้มากที่สุด
“เหอะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสู้กับท่านไปจนถึงที่สุด!”
โจวเฉียนแค่นเสียงเย็นชา หากมิใช่เพราะเขายังมีข้อตกลงร่วมมือกันกับเฝิงรุ่ยเฉิง เกรงว่าเขาก็คงจะฉีกหน้าอีกฝ่ายไปนานแล้ว
ทั้งสองแข่งขันกันอย่างไม่ยอมแพ้ และไม่นานนัก ราคาประมูลก็เพิ่มสูงขึ้นจนถึงสิบห้าล้านแก่นหินวิญญาณซึ่งเหนือกว่าราคาปิดประมูลของพยัคฆ์หงส์ทองไปมากนัก
“ท่านผู้นำขอรับ เราไม่มีเงินทองมากพอ..”
ผู้อาวุโสตระกูลเฝิงอดกล่าวเตือนผู้นำตระกูลไม่ได้ เขาเชื่อว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่จะใช้เงินทองจำนวนมหาศาลของตระกูลเพื่อประมูลก้อนหินธรรมดานั้นมา
“โจวเฉียน ข้าจะไม่สู้กับท่านแล้ว”
แม้เฝิงรุ่ยเฉิงจะไม่เต็มใจนัก ทว่าเขาก็แค่นเสียงในลำคอและกล่าวออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“โอ้ ? กลัวจะสู้ไม่ได้สินะ ?”
โจวเฉียนหัวเราะอย่างท้าทายทว่าเริ่มรู้สึกลำบากใจอยู่ลึก ๆ การที่เสียเงินทองไปมากถึงเพียงนี้ เมื่อกลับไปที่จวนตระกูล เขาจะต้องคิดหาทางอธิบายกับโจวปิ่งฮุย ไม่มีทางเลยที่เขาจะยอมมอบก้อนหินนี้ให้กับผู้นำตระกูล
“ไม่ทราบว่ามีผู้ใดต้องการประมูลอีกหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นว่าการแข่งขันระหว่างเฝิงรุ่ยเฉิงและโจวเฉียนสิ้นสุดลง พิธีกรก็เอ่ยถามพร้อมกวาดสายตามองทั้งโรงประมูล
“…”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าสามตระกูลใหญ่ก็ไม่สนใจในก้อนหินดังกล่าวและไม่คิดที่จะประมูลมัน
“ฉินอวี้โม่ ของดี ๆ เช่นนี้…เจ้าไม่อยากร่วมประมูลด้วยรึ ?”
โจวเฉียนหันไปทางห้องของฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างยั่วยุพร้อมด้วยสีหน้าของผู้ปราชัย
“ข้าไม่สนใจ”
ฉินอวี้โม่กางแขนทั้งสองออกเล็กน้อยและกล่าวอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสนใจในของประมูลชิ้นนี้ แม้มันจะดูลึกลับไม่น้อย นางก็ได้ใช้พลังวิญญาณแผ่ออกไปสำรวจมันแล้วทว่าไม่พบสิ่งใดที่เด่นชัด การที่มันดูดกลืนพลังมายาได้ เกรงว่าคงเป็นเพราะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างอยู่ข้างในนั้น
เขาสูญเสียทรัพย์สินไปมากถึงสิบห้าล้านแก่นหินวิญญาณเพื่อประมูลก้อนหินไร้ค่า เมื่อโจวเฉียนทราบถึงความจริงเรื่องนี้ เกรงว่าเขาคงแทบอาเจียนออกเป็นเลือด
“คงจะไม่มีเงินมากพอสินะ ?”
โจวหังรุ่ยที่ติดตามมากับโจวเฉียนมองไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมกล่าววาจาดูหมิ่น
“พรืดดด เ! ฮ่า ๆ ๆ”
โหรวฉิงซึ่งอยู่ในห้องพิเศษที่ไม่ไกลจากกันถึงกับหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่และกล่าวต่อ “เจ้าหนุ่มตระกูลโจวเอ๋ย เจ้าไม่รู้เสียแล้วว่าป้ายจ้าวสมุทรหมายถึงสิ่งใด น้องอวี้โม่เป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร นั่นหมายความว่านางสามารถซื้อสินค้าในศูนย์การค้าจ้าวสมุทรทุกสาขาในราคาพิเศษและยังสามารถติดค้างไว้ก่อนได้ ช่างน่าขันจริง ๆ ที่เจ้ากล่าวว่านางไม่มีเงินทองมากพอ”
วาจาของผู้นำตระกูลโหรวทำให้ใบหน้าของโจวหังรุ่ยแดงก่ำด้วยความโมโหและอับอายทันที
มีเพียงผู้นำของแต่ละตระกูลเท่านั้นที่ทราบถึงคุณค่าที่แท้จริงของป้ายจ้าวสมุทร คนที่เป็นเพียงสมาชิกในตระกูลอย่างโจวหังรุ่ยไม่มีทางทราบอย่างแน่นอน แม้แต่คนอื่น ๆ ทั่วทั้งโรงประมูลก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดกล่าวว่าฉินอวี้โม่ไร้ซึ่งเงินทอง เพราะเพียงแค่ป้ายจ้าวสมุทรแผ่นเดียวก็เพียงพอที่นางจะซื้อทั้งเมืองเทียนหยวนได้ง่ายๆ
“งานประมูลในวันนี้สิ้นสุดลงแล้วและเชิญทุกท่านแยกย้ายกลับไปได้ สำหรับท่านที่ชนะการประมูล โปรดรอสักครู่ ประเดี๋ยวจะมีคนนำของของท่านไปส่งให้ถึงที่”
หลานเผิงเหาะลงไปที่เวทียกสูงก่อนกล่าวกับทุกคนพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เหาะกลับไปในห้องพิเศษของฉินอวี้โม่เช่นเดิม
“แม่นางอวี้โม่ ท่านรอที่นี่สักประเดี๋ยว”
หลานเผิงกล่าวออกมาและอธิบายว่าบุรุษใบ้ที่ฉินอวี้โม่ประมูลได้จะถูกนำตัวมาส่งให้นางในไม่ช้า
“ลูกพี่อวี้โม่ พวกเราอยากจะออกไปเที่ยวชมรอบ ๆ เมือง”
ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ กล่าวขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจอยู่ที่นี่อีกแล้วและพวกเขาก็ต้องการออกไปชมรอบ ๆ เมืองเพื่อดูว่าจะมีสิ่งของหรือสมบัติที่น่าสนใจใดที่สามารถซื้อได้หรือไม่
“ข้าจะให้ลุงติงพาทุกคนไปชมรอบ ๆ เมือง”
หลานเผิงโบกมือให้คนไปเรียกลุงติงเพื่อพาฉื่อไท่หลางและคณะไปเที่ยวชมโดยรอบ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธและกล่าวขอบคุณหลานเผิงก่อนออกไปจากห้อง
โหรวฉิงและผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ประมูลสิ่งใด พวกเขาจึงกล่าวอำลาฉินอวี้โม่และเดินทางออกไปจากโรงประมูล ทว่าก่อนที่โหรวฉิงจะเดินจากไป นางก็ไม่ลืมที่จะกำชับฉินอวี้โม่เกี่ยวกับคำสัญญาที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้
ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มและรับปากว่าในวันพรุ่งนี้นางจะเดินทางไปที่จวนตระกูลโหรวอย่างแน่นอน
หลังจากรออยู่ในห้องพิเศษครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มหลายคนก็ยกกรงเข้ามาในห้อง
ภายในกรงนั้นคือบุรุษลึกลับผู้เป็นใบ้ซึ่งกำลังนอนหลับตาอยู่
“พวกเจ้ากลับไปได้”
หลังจากบุรุษหนุ่มเหล่านั้นวางกรงลง หลานเผิงก็กล่าวบอกให้คนเหล่านั้นกลับออกไปก่อน
พวกเขาพยักศีรษะและเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูตามหลังตน
ทว่าทันใดนั้น บุรุษใบ้ในกรงก็ลืมตาโพลงและนัยน์ตาสีโลหิตของเขาก็จับจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่ตนเองและกล่าวโดยไม่มั่นใจนักว่าบุรุษใบ้ตรงหน้าจะเข้าใจความหมายของตนหรือไม่
บุรุษคนนั้นพยักศีรษะก่อนส่ายหน้าและเอ่ยปากราวกับต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ราวกับบุรุษใบ้กำลังจะบอกว่ารู้จักและไม่รู้จักนางในเวลาเดียวกัน
“แม่นางอวี้โม่ ก่อนหน้านี้เราให้คนตรวจสอบร่างกายของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นเสียงของบุรุษผู้นี้จะถูกทำลายให้เสียหายส่งผลให้ไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้ และเขาดูจะไม่รอบรู้นักทว่ามีลักษณะนิสัยที่ทะนงตนไม่น้อย เรายังไม่เคยได้รับเบาะแสใดที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเขา”
หลานเผิงกล่าวอธิบายกับฉินอวี้โม่ว่าบุรุษลึกลับผู้นี้เย่อหยิ่งอย่างมาก การที่บุรุษใบ้พยายามตอบคำถามฉินอวี้โม่เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งจริง ๆ
ต้องกล่าวเลยว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็พยายามมาแล้วหลากหลายวิธีทว่าไม่สามารถทำให้บุรุษใบ้เอ่ยปากได้ ลักษณะท่าทางของเขาดูยโสโอหังยิ่งนักและไม่คิดที่จะพยายามสื่อสารกับผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้บุรุษใบ้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนและมีรอยบาดแผลอยู่เต็มทั่วทั้งร่างกาย หากมิใช่เพราะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เกรงว่าเขาคงตายไปนานแล้ว
“เจ้าต้องการจะติดตามข้าหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่พยายามเอ่ยถามสิ่งใดอีกต่อไป นางคาดเดาได้แล้วว่าบุรุษผู้นี้น่าจะมีความลับซ่อนไว้มากมาย หากต้องการทราบมัน นางทำได้เพียงต้องรอเวลาและไม่เร่งเร้าจนเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น นางเห็นแล้วว่าแววตาของอีกฝ่ายดูซับซ้อนอย่างยิ่งราวกับว่าเขารู้จักตนมาก่อนและนั่นทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ในเวลานี้ นางก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่กับตนเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องหาทางรักษาอาการบาดเจ็บของบุรุษใบ้ผู้นี้ให้ได้และรอจนกว่าเขาจะตอบคำถามข้อสงสัยทั้งหมดที่นางมี
บุรุษลึกลับพยักศีรษะเบา ๆ และประกายแสงสว่างปรากฏในนัยน์ตาสีโลหิตของเขา เขาคลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แม้ใบหน้าในตอนนี้จะเปรอะเปื้อนสกปรกจนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน ทว่ารอยยิ้มของเขาก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาด
“ถ้าเช่นนั้น…เข้าไปในคฤหาสน์มิติของข้าก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่หยิบคฤหาสน์เฟิงหัวออกมาพร้อมกล่าวกับบุรุษใบ้ ทว่าเมื่อหันไปเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของหลานเผิง นางก็กล่าวต่อ “เหตุใดท่านไม่เข้าไปเยี่ยมชมด้วยกันเลยล่ะ ?”
แม้เป็นถึงนายน้องของตระกูลหลาน หลานเผิงก็ไม่เคยเห็นสมบัติฟ้าดินที่ทรงพลังอย่างมิติที่สองมาก่อน อุปกรณ์วิญญาณที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นและมีคุณสมบัติในการบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ก็เป็นเพียงกำไลมิติเล็ก ๆ เท่านั้น
“ท่านจะสะดวกจริง ๆ รึ ?”
แม้แววตาของหลานเผิงจะแสดงถึงความสนใจเป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ยังสงวนท่าทีตนเองไว้ สิ่งสำคัญอย่างมิติที่สองถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจอมยุทธ์ การที่ฉินอวี้โม่เชิญเขาเข้าไปเยี่ยมชมข้างในแสดงให้เห็นว่านางเชื่อใจเขาพอสมควร
“ไม่มีปัญหาหรอก หากท่านต้องการ ท่านก็สามารถอาศัยอยู่ข้างในเป็นเวลาหลายวันได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นนางก็สะบัดมือเบา ๆ เพื่อส่งหลานเผิงและบุรุษใบ้เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
“ว้าว ! ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก !”
เมื่อเห็นทิวทัศน์ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว หลานเผิงก็อดกล่าวด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
คฤหาสน์เฟิงหัวในวันนี้แตกต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เดิมทีแม้เป็นพระราชวังขนาดใหญ่อยู่แล้ว ทว่าปัจจุบันนี้มันพัฒนากลายเป็นนครขนาดใหญ่ ด้านนอกของตัวนครเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีและผืนป่าที่ไร้ขอบเขตซึ่งกว้างใหญ่ไม่ต่างจากโลกมิติอิสระอื่น ๆ
นครขนาดใหญ่ตรงหน้าในตอนนี้ดูเหมือนกับพระราชวังต้องห้ามของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลานเผิงไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักมาก่อน
“มารยา พาเขาไปเที่ยวชมรอบ ๆ เถอะ”
เมื่อฉินอวี้โม่พาแขกเข้ามา แน่นอนว่ามารยาและเหล่าอสูรมายาก็ออกมาต้อนรับโดยเร็ว
แม้ทราบอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่มิใช่สตรีธรรมดา หลานเผิงก็ไม่เคยคาดคิดว่านางจะมีอสูรมายามากมายถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม หลานเผิงก็เรียกสติกลับคืนมาช้าเกินไปจึงถูกมารยาและอสูรอีกมากมายลากออกไปเพื่อพาไปเยี่ยมชมรอบ ๆ คฤหาสน์เฟิงหัว
“เสี่ยวเฮย พาเขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เถอะ”
หลังจากเปิดกรงและชี้ไปยังบุรุษใบ้ข้างในนั้น ฉินอวี้โม่ก็หันไปสั่งการกับเสี่ยวเฮย
บุรุษใบ้ก็มีท่าทีอึดอัดใจขณะยืนนิ่งอยู่ข้างในกรงด้วยท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก
“ไปกันเถอะ ไม่ต้องกังวล พวกเราต่างก็เป็นอสูรพันธสัญญาของนายหญิงและจะไม่ทำร้ายเจ้า”
เสี่ยวเฮยและอสูรหลายตัวที่ยังเหลืออยู่ล้วนสนิทสนมกันมาก ต่อให้บุรุษใบ้มีนัยน์ตาสีแดงโลหิต พวกมันก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อยและแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อบุรุษใบ้ขณะกล่าวอย่างเป็นมิตร
จากนั้นบุรุษใบ้ก็เดินออกมาจากกรงอย่างช้า ๆ และหันมองฉินอวี้โม่ก่อนเผยรอยยิ้มสดใส
“ไปเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้”
ฉินอวี้โม่โบกมือเพื่อให้บุรุษใบ้ตามเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ ออกไป
บุรุษใบ้พยักศีรษะแต่โดยดีและเดินตามอสูรเหล่านั้นไปอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ เจ้าตัวจิ๋วนั่นหายไปไหนเสียล่ะ ?”
หานอวี้ ไป๋ฉี่และอสูรบางตัวยืนล้อมรอบฉินอวี้โม่ เมื่อนึกถึงเจ้าตัวน้อยที่หายตัวไปในระหว่างคิ้วของนาง พวกมันก็อดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
ในเมื่อกล่าวว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ มันก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน การที่เจ้าตัวจิ๋วหายตัวไปในหน้าผากของฉินอวี้โม่เช่นนั้นแล้ว พวกมันก็สงสัยว่านางจะไขปริศนาของโอกาสนั้นอย่างไร ?
“ข้าก็ไม่รู้สึกถึงมันเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากที่เจ้าตัวน้อยหายเข้าไปในหน้าผากของนาง มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนแม้แต่นางเองก็ค้นหามันไม่พบ ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกถึงตัวตนของมันแม้แต่น้อยและไม่อาจสัมผัสได้ถึงร่องรอยใด ๆ ของมัน
“จิ๊บจิ๊บ~”
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ เสียงของเจ้าตัวจิ๋วก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่คลื่นผันผวนบางอย่างจะแผ่ออกไปในอากาศรอบตัวและสิ่งมีชีวิตร่างเล็กก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนไหล่บางของนาง